การเดินทางของคณะสำรวจของ 4 สาวเริ่มขึ้นช่วงก่อนปี 2558 มาเยือน สมาชิกในคณะสำรวจต่างติดตามข่าวคราวการเดินทางของคณะรพินทร์ ไพรวัลย์ที่หายสาบสูญไปมานานหลายปีแล้ว (เนื่องจากคณะสำรวจทำใจอ่านเพชรพระอุมาที่ไม่มีแงซายไม่ได้นั่นเอง จึงค้างเติ่งแค่เล่ม 24 เพชรพระอุมาที่ไม่มีแงซายจะน่าสนใจได้เยี่ยงไร) จากบันทึกของคุณพนมเทียน ทำให้ทราบว่าจุดสุดท้ายในประเทศไทยที่มีคนพบเห็นคณะเดินทางของคุณรพินทร์นั้นอยู่ที่ป่าแถบกาญจนบุรี
การไปเยือนกาญจนบุรีครั้งนี้เป็นครั้งที่ 2 แล้วค่ะ พิกัดที่เราจะออกเดินทางไปนั้นอยู่ที่อำเภอทองผาภูมิ จุดตัดชายแดนไทยและเมียนมาร์อีกแห่งหนึ่ง ซึ่งพวกเราก็คิดว่าการเดินทางไปทองผาภูมิ ไม่จำเป็นต้องนั่งรถจี๊บตุเลง ๆ อย่างการเดินทางของคุณรพินทร์อีกแล้ว (มั้ง) จึงเลือกใช้ บขส. กรุงเทพ-ด่านเจดีย์สามองค์ ค่ารถประมาณ 230 บาท ซึ่งเดี๋ยวนี้ระบบการจองของ บขส.ก็ดีแล้วนะ จองในเว็บไซด์ได้เลย หรือใครอยากลุ้นระลึกไปรถตู้ก็ได้นะ มีให้ขึ้นทั้งที่กองสลากและเซ็นจูรี่ อนุสาวรีย์ แต่ครั้งก่อนนั่งรถตู้กลับแล้วเข็ดจริง ๆ อีกอย่างเราไม่ค่อยชอบลงรถตอนที่รถเติมแก๊สด้วย ทั้งที่จริงก็น่าจะไปเติมหลังจากส่งสิ (เราคิดงั้นนะ)
เช้าวันนั้นเป็นวันที่อากาศสดใส พนักงานออฟฟิคบางคนก็ยังทำงานอยู่ ทำให้ถนนโล่งพอควร ทำให้ใช้เวลาเดินทางไปถึงตัวเมืองกาญจนบุรีภายใน 3 ชั่วโมง แต่เดี๋ยวก่อน ถ้าคุณซื้อตั๋วโดยไปลงที่ทองผาภูมิเลย เราจะมีโปรโมชั่นบวกเพิ่มอีก 2 ชั่วโมงให้คุณทันที คุณจะได้ไม่ต้องไปต่อรถที่ไหน แต่ถ้าอยากแวะตัวเมืองกาญก่อน แนะนำร้านก๋วยเตี๋ยวต้มยำ แซ่บมากเลยค่ะ (เนื่องจากความจำเราไม่ดี และร้านนั้นเราไปเมื่อหลายปีแล้ว อีกทั้งครั้งนี้ไม่ได้ลงที่ตัวเมืองกาญ แต่จำได้ว่าเป็นร้านขนาดสองห้องติดกับร้านไอติม ร้านนี้มีชื่อก๋วยเตี๋ยวแปลก ๆ และมีระดับความเผ็ดด้วยค่ะ) โดยบริเวณขนส่งนี้ก็สามารถขึ้นสองแถว สามล้อตุ๊ก ๆ หรือรถทัวร์ไปเที่ยวตามที่ต่าง ๆ ได้ ทั้งค่ายสุรสีห์ สังขละ สะพานข้ามแม่น้ำแคว เป็นต้น หรือจะนั่งรถตู้กลับกรุงเทพที่ขึ้นที่นี่ได้เหมือนกันค่ะ
กลับมาที่ทองผาภูมิต่อนะคะ หลังจากตรวจบัตรประชาชนและพาสปอร์ตที่ด่านเสร็จ บขส.จะมาจอดส่งเราที่ร้านข้าวแห่งหนึ่งในทองผาภูมิ ซึ่งในจุดนี้เราสามารถซื้อตั๋ว บขส. สำหรับขากลับได้ค่ะ โดยรอบเร็วสุดคือ 9.30 น. และจะออกทุกหนึ่งชั่วโมง คราวนี้พวกเราก็โทรกริ๊งกร๊างหาเจ้าของที่พักเลยค่ะ ระหว่างนั้นเสียงร้องโครกครากก็ดังขึ้น แหมก็นั่งมาตั้งนาน ก็หิวเป็นธรรมดา อาจจะเป็นความสงสารหรือสมเพชก็ไม่รู้ พี่เจ้าของที่พักก็เลยบอกว่า แถวนี้มีร้านก๊วยเตี๋ยวเนื้ออร่อย ๆ อยู่ ไปกินสิ พวกเราเป็นผู้หญิงควรจะมียางอายและความเกรงใจหน่อยใช่ไหมค่ะ ซึ่งพวกเราก็บอกทันทีว่า “ร้านอยู่ไหนคะพี่” เมื่อได้พิกัดเรียบร้อยก็เดินมุ่งหน้าไปทันที ดูไม่ค่อยหิวเลยเนอะ ร้านก๊วยเตี๋ยวเนื้อ ”รสเด็ดทองผาภูมิ” เป็นร้านค้ากึ่งบ้าน ไม้กึ่งปูน ชั้นล่างสร้างด้วยไม้ที่ดูแล้วก็น่าจะผ่านเวลามานานพอสมควร แต่แข็งแรงและมั่นใจได้ว่า ส่วนชั้นบนเป็นปูนค่ะ ยังคงอยู่ได้อีกนาน ร้านนี้มีให้เลือกทั้งหมู เนื้อ และปลา ทั้งน้ำใสและน้ำตก ชิ้น สด เปื่อย ตุ๋น มีหมดค่ะ อีกอย่างไม่ต้องปรุงก็อร่อยแล้วค่ะ แต่ถ้าใครไม่ทานเผ็ดแบบไม่มีพริกสักเม็ดเลย ก็บอกคุณลุงคุณป้าก่อนนะคะ เพราะเขาจะใส่ลงมาในชามให้เลย คุณลุงคุณป้าก็ใจดี สั่งแบบมึน ๆ ตาลายเพราะความหิว ก็เอามาให้ถูก หลังจากอิ่มหนำสำราญ เราก็แวะเติมเสบียงสำหรับออกเดินทางและของตักบาตรที่มินิมาร์ท เพราะเพื่อนบอกว่า เราควรอุดหนุนคนในพื้นที่สิ แต่เซเว่นก็มีนะคะ ได้ของครบแล้วก็กลับไปหาพี่เจ้าของที่พักที่นั่งรออยู่ได้เลย
พี่ที่เป็นเจ้าของรีสอร์ทบ้านเก็บตะวัน (เพื่อนบอกว่าโฮมสเตย์ แต่เราเชื่อว่ามันคือรีสอร์ทค่ะ) ก็ขับรถมารับไปที่พัก พาไปถึงที่ ว้าว! บริการดีมากเลย เหมาะกับพวกไม่ค่อยคิดไม่ค่อยหาอะไรอย่างพวกเราจริง ๆ เอ๊ะ ยังไงกัน สำหรับราคาที่พักของเรา เขาคิด 650 ต่อคนค่ะ ซึ่งรวมอาหาร 2 มื้อ เช้าเย็นไว้เรียบร้อยแล้ว ลาภปากจริง ๆ ไม่ต้องออกไปเสาะแสวงหาของกินที่ไหน เพราะเราคิดว่า กว่าจะออกไปคงกลับมายาก ก็ไม่ได้เอารถไปนี่ค่ะ
ที่พักของเราอยู่เหนือเขื่อนวชิราลงกรณ์ค่ะ โอ้ แม่เจ้า หน้าติดภูเขา หลังติดน้ำ ที่มันจะฮวงจุ้ยดีไปไหน แน่นอน ฮวงจุ้ยดีแบบนี้ แถบนี้เป็นรีสอร์ทเกือบทั้งหมดค่ะ ข้าง ๆ ขวาเป็นรีสอร์ทเรือนแพ ข้างซ้ายเป็นแคมป์ช้าง มีช้างลงมาเล่นน้ำด้วย แต่ที่นี่รับแต่คนต่างชาติเข้าพักเท่านั้นค่ะ จากที่สืบทราบมาว่า เขาจะให้ชาวต่างชาติได้มาสัมผัสช้าง ให้อาหารช้าง เล่นกับช้าง โดยมีควาญช้างคอยดูแลอย่างใกล้ชิด และช้างพวกนี้ก็แก่แล้ว ดังนั้นจึงไม่คึกมาก อีกอย่างที่พักแต่ละที่ก็ห่างกันพอสมควร เพราะฉะนั้นไม่ต้องกลัวว่าจะมีช้างหลงเดินมาข้างหน้าต่างแต่อย่างใด แต่แหม พวกเราก็อยากเข้าไปดูช้างบ้าง แต่เขาให้เขาเฉพาะคนต่างชาติ ก็อยากลองเดินหลง ๆ เข้าไปแล้วบอกว่า “ไอมายช่ายโคนทายหนาก๊ะ” แต่เขาใช้ระบบจองก่อนเท่านั้นด้วย ก็เลยเป็นอันพับไป แต่ไม่เป็นไร เราเวลานั่งรถผ่านจะคอยชะเง้อชะแง้ยืดคอมองช้างไว้ล่ะกัน
ในช่วงก่อนหยุดยาวปีใหม่ ที่พักโล่งมากค่ะ เพราะส่วนใหญ่คงจะมาฉลองปีใหม่กันเลย ดังนั้นพวกเราจึงเลือกชี้ตามสบายเลยว่าจะพักหลังไหน ที่นี่ไม่มีแอร์ มีพัดลมให้ทุกห้องค่ะ แต่เครื่องปรับอากาศที่ดีที่สุดก็คือต้นไม้ค่ะ ต้นไม้เยอะมาก มีความสุขท่ามกลางขุนเขาจริง ๆ จนเราพักเรื่องตามหาคุณรพินทร์ไปชั่วแวบนึง ไม่ได้ลืมจริง ๆ นะคะ อันนี้หน้าตาที่พักของเราค่ะ
ช่วงบ่ายอากาศค่อนข้างร้อน พี่เจ้าของที่พักจึงชวนพวกเราไปเล่นน้ำ แต่ใครไม่อยากเปียกก็มีเรือคายัคและแคนนูให้พายนะคะ เมื่อใส่เสื้อชูชีพเสร็จแล้ว ก็สาวเชือกโป๊ะให้ออกไป พร้อมออกเดินทางกันรึยังค่ะ เชิญขึ้นบนโป๊ะได้เลยค่ะ
ถ้ามีเพลงเกม RPG เปิดขึ้นมาล่ะก้อ นี่มันฉากเปิดเกมเลยนะเนี่ย สวยหรือไม่สวยเราจะให้ท่านตัดสินกันเอง เชิญยลภาพเลยได้ค่ะ
อันนี้เป็นภาพบรรยากาศด้านหลังของที่พักค่ะ น้ำมาจากแม่น้ำหลาย ๆ สายมาบรรจบและกักตุนอยู่บนเขื่อนวชิราลงกรณ์ เห็นด้านหลังไปแล้ว ก็มาดูด้านหน้าบ้างนะคะ ภาพนี้ถ่ายจากบนโป๊ะ ลอยล่องออกไปสู่ความเวิ้งว้างเพื่อเก็บภาพเลยทีเดียว
ส่วนใครใคร่พายเรือก็พาย ใคร่ลงน้ำก็ลงนะคะ ส่วนพวกเรานั้นได้ลิ้มลองการพายเรือและออกไปสู่ความเวิ้งว้างอันไกลโพ้นแล้ว เพื่อความปลอดภัยของเราก็เลยให้พี่เจ้าของที่พักพายให้ ฮ่า ๆ ก็กลัวน้ำนี่ แต่ที่จริงสามารถพายได้เองนะคะ แค่บอกเขาก่อนว่าจะพายเรือออกไป เพราะเขาจะได้มาคอยดูด้วย เผื่อเกิดอะไรขึ้น แต่ถ้าเป็นไปได้แนะนำให้เรือเล็กควรออกจากฝั่งและออกไปแตะขอบฟ้าดูสักครั้งนะคะ หลังจากพายเรือและกระโดดลงน้ำตูมตามแล้ว พวกเราก็กลับมากลิ้ง ๆ นอน ๆ พักผ่อนที่เรือนแพบนฝั่ง รอให้แสงอาทิตย์ลาลับขอบฟ้าไป และมื้ออาหารที่กำลังจะเริ่มต้น (เหมือนตั้งใจรออย่างหลังมากกว่าเลยแฮะ)
แต่น่าเสียดายที่ไม่ได้ใครถ่ายมื้ออาหารเหล่านั้นสักมื้อเลย พออาหารลงมาทีไรก็ฟาดเรียบหมดไม่เหลือทุกที แฟนพี่เจ้าของที่พักทำอาหารเก่งมากเลยค่ะ จะมีกับข้าว 3 อย่างมาให้ ทั้งปลาทอดเปรี้ยวหวาน ผัดผัก แกงจืด ต้มยำ ผัดผักหวาน ฯลฯ หรือถ้าใครมีรีเควสพิเศษ พี่เขาก็ยินดีทำให้ค่ะ พี่เขาบอกว่าอยากให้คนที่มากินอาหารที่นี่ไม่เบื่อ เลยคิดเมนูไม่ให้ซ้ำกัน บางคนมาเป็นเดือน เขาคิดจนไม่รู้จะสรรสร้างเมนูอย่างไรเลย หลังจากอาหารหลัก ก็มีผลไม้ตบท้ายค่ะ แตงโมกรอบมาก ปลื้มสุด ๆ หลังจากพระอาทิตย์ตกไปแล้ว อากาศเริ่มเย็นขึ้น เสื้อหนาวที่หอบหิ้วมามีโอกาสได้ใช้แล้ว เมืองไทยหนาวแล้วจริง ๆ
หลังจากนอนหลับไปและตื่นขึ้นมาตอนตี 5 เพราะนอนเร็วในรอบหลายเดือน หลับตั้งแต่สามทุ่ม กลายเป็นเด็กอนามัยไปซะแล้ว อีกอย่างเราโดนเพื่อนมันแย่งผ้าห่มไปด้วย ดึงคืนมามันก็ดึงกลับไปอีก ก็เลยตัดสินใจออกไปตายเอาดาบหน้าดีกว่า เมื่อเดินออกมาที่ระเบียงห้องพัก คุณก็จะเห็นพระจันทร์ลอยเด่นเหนือน้ำ และดาวพราวระยิบระยับ แหม ถ้าได้จิบชาร้อน ๆ คงดูดีพิลึก แต่พี่เจ้าของคงไม่คิดว่า ใครจะบ้าตื่นมาตอนนี้ เพราะนัดกันว่าจะตักบาตรพระตอน 7.30 น. ก็เลยบริการตัวเองโดยการไปต้มน้ำร้อนเองซะเลย ที่นี่มีเคาเตอร์ให้ชงกาแฟ โอวัลตินได้ค่ะ อยู่บริเวณที่กินข้าวเลย รอน้ำร้อนไปก็เต้นไปด้วย อยู่นิ่งแทบไม่ได้เลย เพราะอากาศหนาวมาก แต่หลังจากได้โอวัลตินสักแก้ว ก็รู้สึกขอบคุณเพื่อนที่มันแย่งผ้าห่มไป ทำให้เราได้ชมบรรยากาศดี ๆ อย่างนี้ แต่นั่งได้ไม่นานก็ง่วงอีก ก็เลยกลับเข้าไปนอนอีกครั้ง
7.30 น. แล้ว พระมาแล้ว เหล่าขี้เซาทั้งหลายต่างรีบวิ่งตาลีตาเหลือก หอบหิ้วข้าวของที่จะใส่บาตรลงมาจากที่พัก พวกเราตักบาตรร่วมกับอีกครอบครัวหนึ่งซึ่งมาพักก่อนหน้าเราหลายวันแล้ว พี่เจ้าของที่พักบอกว่า วันนี้พระมีธุระเกี่ยวกับเททององค์พระปีใหม่ที่ต่างจังหวัด ก็เลยไม่ได้พายเรือมา แต่จะนั่งสปีตโบ๊ตมาแทน เราก็โอ้ พระนั่งสปีตโบ๊ต ตื่นเต้นกันยิ่งนัก รู้สึกกลายเป็นคนตื่นเต้นกับทุกเรื่องเลย ฮ่า ๆ รอสักพักพระก็นั่งสปีตโบ๊ตสีเหลือง พลขับก็หน้าตาขึงขัง พวกเขาค่อย ๆ ต่อแถวไปใส่บาตรบนโป๊ะที่เอาไปเล่นน้ำเมื่อวานน่ะแหละค่ะ ก็อย่างที่บอกว่ากลัวน้ำ ดังนั้นจึงส่งเพื่อนให้ไปใส่บาตร ส่วนตัวเองเกาะชายเสื้อเพื่อนไว้ ถ้ามันเกิดตกไป ก็ตกไป เราจะได้ไม่ตกด้วย แต่ครอบครัวที่เขาพักดูดีมากค่ะ ใส่บาตรทั้งครอบครัว ให้ทุกคนมีส่วนร่วม มีแบ่งข้าวให้เราได้ตักใส่บาตรด้วย จนบางทีเราก็รู้สึกละอายเลยทีเดียว
หลังจากพระให้ศีลให้พรและกลับไปแล้ว พี่เจ้าของก็บอกในวันที่เราจะกลับว่า พระไม่ได้จำวัดนะ แต่พระอยู่ในสำนักสงฆ์ มีคนมาพักที่นี่แล้วข้ามไปปฏิบัติธรรมเยอะแยะเลย ข้าง ๆ ฝั่งโน้น ก็เป็นสำนักปฏิบัติธรรมของชี จนเพื่อนที่ใฝ่ธรรมบอกว่า "ถ้าพี่บอกเร็วกว่านี้จะไปนั่งปฏิบัติธรรมแล้ว"
ข้าวเช้าเราสามารถปิ้งขนมปัง ชงกาแฟ โอวันติลได้นะคะ อุปกรณ์มีพร้อม แต่แค่นั้นยังไม่พอ คุณจะได้รับข้าวต้มหมูด้วย มันยอดมากเลยล่ะซาร่า อร่อยจริง ๆ แน่นอนว่าบริการที่นี่นอกจากอาหาร 2 มื้อแล้ว ยังมีบริการขับรถพาเที่ยวอีกด้วย แต่ต้องเป็นในช่วงที่ไม่ค่อยมีคนอย่างช่วงนี้ ฮี่ ๆ (แสยะยิ้มอย่างชั่วร้าย) พี่เจ้าของที่พักก็แสนใจดี ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ใด ๆ เลย ก็พาพวกเราเที่ยวตะลอน ๆ ไปตลาดและสะพานแขวน ที่คนในพื้นที่เท่านั้นที่จะรู้ ที่นี่ไง
เดินไปเดินมาก็เริ่มชักจะเวียนหัว หลังจากหยุดพักถ่ายรูปแก้กลัวสักพัก ก็มุ่งเดินทางต่อไปยังวัดท่าขนุน ตอนแรกเราคิดว่าวัดมีแค่นี้
แต่ช้าก่อน เธอเห็นเจดีย์ลิบ ๆ บนเขานั่นไหม นั่นก็เป็นส่วนหนึ่งของวัดท่าขนุนด้วยนะ คุณลุงแถวนั้นบอกว่า “เดินขึ้นไปได้นะหนู” เราถึงกลับผงะถอยกรูดไปหลายก้าวเลยทีเดียว หลังจากเดินเอ้อระเหยและนั่งดูพระและอุบาสกขุดหินขุดทรายเตรียมก่อสร้างต่อเติมโบสถ์
การเดินทางของคณะสำรวจตามรอยคณะเดินทางของรพินทร์ ไพรวัลย์ที่ทองผาภูมิ กาญจนบุรี 4 วัน 3 คืน
การไปเยือนกาญจนบุรีครั้งนี้เป็นครั้งที่ 2 แล้วค่ะ พิกัดที่เราจะออกเดินทางไปนั้นอยู่ที่อำเภอทองผาภูมิ จุดตัดชายแดนไทยและเมียนมาร์อีกแห่งหนึ่ง ซึ่งพวกเราก็คิดว่าการเดินทางไปทองผาภูมิ ไม่จำเป็นต้องนั่งรถจี๊บตุเลง ๆ อย่างการเดินทางของคุณรพินทร์อีกแล้ว (มั้ง) จึงเลือกใช้ บขส. กรุงเทพ-ด่านเจดีย์สามองค์ ค่ารถประมาณ 230 บาท ซึ่งเดี๋ยวนี้ระบบการจองของ บขส.ก็ดีแล้วนะ จองในเว็บไซด์ได้เลย หรือใครอยากลุ้นระลึกไปรถตู้ก็ได้นะ มีให้ขึ้นทั้งที่กองสลากและเซ็นจูรี่ อนุสาวรีย์ แต่ครั้งก่อนนั่งรถตู้กลับแล้วเข็ดจริง ๆ อีกอย่างเราไม่ค่อยชอบลงรถตอนที่รถเติมแก๊สด้วย ทั้งที่จริงก็น่าจะไปเติมหลังจากส่งสิ (เราคิดงั้นนะ)
เช้าวันนั้นเป็นวันที่อากาศสดใส พนักงานออฟฟิคบางคนก็ยังทำงานอยู่ ทำให้ถนนโล่งพอควร ทำให้ใช้เวลาเดินทางไปถึงตัวเมืองกาญจนบุรีภายใน 3 ชั่วโมง แต่เดี๋ยวก่อน ถ้าคุณซื้อตั๋วโดยไปลงที่ทองผาภูมิเลย เราจะมีโปรโมชั่นบวกเพิ่มอีก 2 ชั่วโมงให้คุณทันที คุณจะได้ไม่ต้องไปต่อรถที่ไหน แต่ถ้าอยากแวะตัวเมืองกาญก่อน แนะนำร้านก๋วยเตี๋ยวต้มยำ แซ่บมากเลยค่ะ (เนื่องจากความจำเราไม่ดี และร้านนั้นเราไปเมื่อหลายปีแล้ว อีกทั้งครั้งนี้ไม่ได้ลงที่ตัวเมืองกาญ แต่จำได้ว่าเป็นร้านขนาดสองห้องติดกับร้านไอติม ร้านนี้มีชื่อก๋วยเตี๋ยวแปลก ๆ และมีระดับความเผ็ดด้วยค่ะ) โดยบริเวณขนส่งนี้ก็สามารถขึ้นสองแถว สามล้อตุ๊ก ๆ หรือรถทัวร์ไปเที่ยวตามที่ต่าง ๆ ได้ ทั้งค่ายสุรสีห์ สังขละ สะพานข้ามแม่น้ำแคว เป็นต้น หรือจะนั่งรถตู้กลับกรุงเทพที่ขึ้นที่นี่ได้เหมือนกันค่ะ
กลับมาที่ทองผาภูมิต่อนะคะ หลังจากตรวจบัตรประชาชนและพาสปอร์ตที่ด่านเสร็จ บขส.จะมาจอดส่งเราที่ร้านข้าวแห่งหนึ่งในทองผาภูมิ ซึ่งในจุดนี้เราสามารถซื้อตั๋ว บขส. สำหรับขากลับได้ค่ะ โดยรอบเร็วสุดคือ 9.30 น. และจะออกทุกหนึ่งชั่วโมง คราวนี้พวกเราก็โทรกริ๊งกร๊างหาเจ้าของที่พักเลยค่ะ ระหว่างนั้นเสียงร้องโครกครากก็ดังขึ้น แหมก็นั่งมาตั้งนาน ก็หิวเป็นธรรมดา อาจจะเป็นความสงสารหรือสมเพชก็ไม่รู้ พี่เจ้าของที่พักก็เลยบอกว่า แถวนี้มีร้านก๊วยเตี๋ยวเนื้ออร่อย ๆ อยู่ ไปกินสิ พวกเราเป็นผู้หญิงควรจะมียางอายและความเกรงใจหน่อยใช่ไหมค่ะ ซึ่งพวกเราก็บอกทันทีว่า “ร้านอยู่ไหนคะพี่” เมื่อได้พิกัดเรียบร้อยก็เดินมุ่งหน้าไปทันที ดูไม่ค่อยหิวเลยเนอะ ร้านก๊วยเตี๋ยวเนื้อ ”รสเด็ดทองผาภูมิ” เป็นร้านค้ากึ่งบ้าน ไม้กึ่งปูน ชั้นล่างสร้างด้วยไม้ที่ดูแล้วก็น่าจะผ่านเวลามานานพอสมควร แต่แข็งแรงและมั่นใจได้ว่า ส่วนชั้นบนเป็นปูนค่ะ ยังคงอยู่ได้อีกนาน ร้านนี้มีให้เลือกทั้งหมู เนื้อ และปลา ทั้งน้ำใสและน้ำตก ชิ้น สด เปื่อย ตุ๋น มีหมดค่ะ อีกอย่างไม่ต้องปรุงก็อร่อยแล้วค่ะ แต่ถ้าใครไม่ทานเผ็ดแบบไม่มีพริกสักเม็ดเลย ก็บอกคุณลุงคุณป้าก่อนนะคะ เพราะเขาจะใส่ลงมาในชามให้เลย คุณลุงคุณป้าก็ใจดี สั่งแบบมึน ๆ ตาลายเพราะความหิว ก็เอามาให้ถูก หลังจากอิ่มหนำสำราญ เราก็แวะเติมเสบียงสำหรับออกเดินทางและของตักบาตรที่มินิมาร์ท เพราะเพื่อนบอกว่า เราควรอุดหนุนคนในพื้นที่สิ แต่เซเว่นก็มีนะคะ ได้ของครบแล้วก็กลับไปหาพี่เจ้าของที่พักที่นั่งรออยู่ได้เลย
พี่ที่เป็นเจ้าของรีสอร์ทบ้านเก็บตะวัน (เพื่อนบอกว่าโฮมสเตย์ แต่เราเชื่อว่ามันคือรีสอร์ทค่ะ) ก็ขับรถมารับไปที่พัก พาไปถึงที่ ว้าว! บริการดีมากเลย เหมาะกับพวกไม่ค่อยคิดไม่ค่อยหาอะไรอย่างพวกเราจริง ๆ เอ๊ะ ยังไงกัน สำหรับราคาที่พักของเรา เขาคิด 650 ต่อคนค่ะ ซึ่งรวมอาหาร 2 มื้อ เช้าเย็นไว้เรียบร้อยแล้ว ลาภปากจริง ๆ ไม่ต้องออกไปเสาะแสวงหาของกินที่ไหน เพราะเราคิดว่า กว่าจะออกไปคงกลับมายาก ก็ไม่ได้เอารถไปนี่ค่ะ
ที่พักของเราอยู่เหนือเขื่อนวชิราลงกรณ์ค่ะ โอ้ แม่เจ้า หน้าติดภูเขา หลังติดน้ำ ที่มันจะฮวงจุ้ยดีไปไหน แน่นอน ฮวงจุ้ยดีแบบนี้ แถบนี้เป็นรีสอร์ทเกือบทั้งหมดค่ะ ข้าง ๆ ขวาเป็นรีสอร์ทเรือนแพ ข้างซ้ายเป็นแคมป์ช้าง มีช้างลงมาเล่นน้ำด้วย แต่ที่นี่รับแต่คนต่างชาติเข้าพักเท่านั้นค่ะ จากที่สืบทราบมาว่า เขาจะให้ชาวต่างชาติได้มาสัมผัสช้าง ให้อาหารช้าง เล่นกับช้าง โดยมีควาญช้างคอยดูแลอย่างใกล้ชิด และช้างพวกนี้ก็แก่แล้ว ดังนั้นจึงไม่คึกมาก อีกอย่างที่พักแต่ละที่ก็ห่างกันพอสมควร เพราะฉะนั้นไม่ต้องกลัวว่าจะมีช้างหลงเดินมาข้างหน้าต่างแต่อย่างใด แต่แหม พวกเราก็อยากเข้าไปดูช้างบ้าง แต่เขาให้เขาเฉพาะคนต่างชาติ ก็อยากลองเดินหลง ๆ เข้าไปแล้วบอกว่า “ไอมายช่ายโคนทายหนาก๊ะ” แต่เขาใช้ระบบจองก่อนเท่านั้นด้วย ก็เลยเป็นอันพับไป แต่ไม่เป็นไร เราเวลานั่งรถผ่านจะคอยชะเง้อชะแง้ยืดคอมองช้างไว้ล่ะกัน
ในช่วงก่อนหยุดยาวปีใหม่ ที่พักโล่งมากค่ะ เพราะส่วนใหญ่คงจะมาฉลองปีใหม่กันเลย ดังนั้นพวกเราจึงเลือกชี้ตามสบายเลยว่าจะพักหลังไหน ที่นี่ไม่มีแอร์ มีพัดลมให้ทุกห้องค่ะ แต่เครื่องปรับอากาศที่ดีที่สุดก็คือต้นไม้ค่ะ ต้นไม้เยอะมาก มีความสุขท่ามกลางขุนเขาจริง ๆ จนเราพักเรื่องตามหาคุณรพินทร์ไปชั่วแวบนึง ไม่ได้ลืมจริง ๆ นะคะ อันนี้หน้าตาที่พักของเราค่ะ
ช่วงบ่ายอากาศค่อนข้างร้อน พี่เจ้าของที่พักจึงชวนพวกเราไปเล่นน้ำ แต่ใครไม่อยากเปียกก็มีเรือคายัคและแคนนูให้พายนะคะ เมื่อใส่เสื้อชูชีพเสร็จแล้ว ก็สาวเชือกโป๊ะให้ออกไป พร้อมออกเดินทางกันรึยังค่ะ เชิญขึ้นบนโป๊ะได้เลยค่ะ
ถ้ามีเพลงเกม RPG เปิดขึ้นมาล่ะก้อ นี่มันฉากเปิดเกมเลยนะเนี่ย สวยหรือไม่สวยเราจะให้ท่านตัดสินกันเอง เชิญยลภาพเลยได้ค่ะ
อันนี้เป็นภาพบรรยากาศด้านหลังของที่พักค่ะ น้ำมาจากแม่น้ำหลาย ๆ สายมาบรรจบและกักตุนอยู่บนเขื่อนวชิราลงกรณ์ เห็นด้านหลังไปแล้ว ก็มาดูด้านหน้าบ้างนะคะ ภาพนี้ถ่ายจากบนโป๊ะ ลอยล่องออกไปสู่ความเวิ้งว้างเพื่อเก็บภาพเลยทีเดียว
ส่วนใครใคร่พายเรือก็พาย ใคร่ลงน้ำก็ลงนะคะ ส่วนพวกเรานั้นได้ลิ้มลองการพายเรือและออกไปสู่ความเวิ้งว้างอันไกลโพ้นแล้ว เพื่อความปลอดภัยของเราก็เลยให้พี่เจ้าของที่พักพายให้ ฮ่า ๆ ก็กลัวน้ำนี่ แต่ที่จริงสามารถพายได้เองนะคะ แค่บอกเขาก่อนว่าจะพายเรือออกไป เพราะเขาจะได้มาคอยดูด้วย เผื่อเกิดอะไรขึ้น แต่ถ้าเป็นไปได้แนะนำให้เรือเล็กควรออกจากฝั่งและออกไปแตะขอบฟ้าดูสักครั้งนะคะ หลังจากพายเรือและกระโดดลงน้ำตูมตามแล้ว พวกเราก็กลับมากลิ้ง ๆ นอน ๆ พักผ่อนที่เรือนแพบนฝั่ง รอให้แสงอาทิตย์ลาลับขอบฟ้าไป และมื้ออาหารที่กำลังจะเริ่มต้น (เหมือนตั้งใจรออย่างหลังมากกว่าเลยแฮะ)
แต่น่าเสียดายที่ไม่ได้ใครถ่ายมื้ออาหารเหล่านั้นสักมื้อเลย พออาหารลงมาทีไรก็ฟาดเรียบหมดไม่เหลือทุกที แฟนพี่เจ้าของที่พักทำอาหารเก่งมากเลยค่ะ จะมีกับข้าว 3 อย่างมาให้ ทั้งปลาทอดเปรี้ยวหวาน ผัดผัก แกงจืด ต้มยำ ผัดผักหวาน ฯลฯ หรือถ้าใครมีรีเควสพิเศษ พี่เขาก็ยินดีทำให้ค่ะ พี่เขาบอกว่าอยากให้คนที่มากินอาหารที่นี่ไม่เบื่อ เลยคิดเมนูไม่ให้ซ้ำกัน บางคนมาเป็นเดือน เขาคิดจนไม่รู้จะสรรสร้างเมนูอย่างไรเลย หลังจากอาหารหลัก ก็มีผลไม้ตบท้ายค่ะ แตงโมกรอบมาก ปลื้มสุด ๆ หลังจากพระอาทิตย์ตกไปแล้ว อากาศเริ่มเย็นขึ้น เสื้อหนาวที่หอบหิ้วมามีโอกาสได้ใช้แล้ว เมืองไทยหนาวแล้วจริง ๆ
หลังจากนอนหลับไปและตื่นขึ้นมาตอนตี 5 เพราะนอนเร็วในรอบหลายเดือน หลับตั้งแต่สามทุ่ม กลายเป็นเด็กอนามัยไปซะแล้ว อีกอย่างเราโดนเพื่อนมันแย่งผ้าห่มไปด้วย ดึงคืนมามันก็ดึงกลับไปอีก ก็เลยตัดสินใจออกไปตายเอาดาบหน้าดีกว่า เมื่อเดินออกมาที่ระเบียงห้องพัก คุณก็จะเห็นพระจันทร์ลอยเด่นเหนือน้ำ และดาวพราวระยิบระยับ แหม ถ้าได้จิบชาร้อน ๆ คงดูดีพิลึก แต่พี่เจ้าของคงไม่คิดว่า ใครจะบ้าตื่นมาตอนนี้ เพราะนัดกันว่าจะตักบาตรพระตอน 7.30 น. ก็เลยบริการตัวเองโดยการไปต้มน้ำร้อนเองซะเลย ที่นี่มีเคาเตอร์ให้ชงกาแฟ โอวัลตินได้ค่ะ อยู่บริเวณที่กินข้าวเลย รอน้ำร้อนไปก็เต้นไปด้วย อยู่นิ่งแทบไม่ได้เลย เพราะอากาศหนาวมาก แต่หลังจากได้โอวัลตินสักแก้ว ก็รู้สึกขอบคุณเพื่อนที่มันแย่งผ้าห่มไป ทำให้เราได้ชมบรรยากาศดี ๆ อย่างนี้ แต่นั่งได้ไม่นานก็ง่วงอีก ก็เลยกลับเข้าไปนอนอีกครั้ง
7.30 น. แล้ว พระมาแล้ว เหล่าขี้เซาทั้งหลายต่างรีบวิ่งตาลีตาเหลือก หอบหิ้วข้าวของที่จะใส่บาตรลงมาจากที่พัก พวกเราตักบาตรร่วมกับอีกครอบครัวหนึ่งซึ่งมาพักก่อนหน้าเราหลายวันแล้ว พี่เจ้าของที่พักบอกว่า วันนี้พระมีธุระเกี่ยวกับเททององค์พระปีใหม่ที่ต่างจังหวัด ก็เลยไม่ได้พายเรือมา แต่จะนั่งสปีตโบ๊ตมาแทน เราก็โอ้ พระนั่งสปีตโบ๊ต ตื่นเต้นกันยิ่งนัก รู้สึกกลายเป็นคนตื่นเต้นกับทุกเรื่องเลย ฮ่า ๆ รอสักพักพระก็นั่งสปีตโบ๊ตสีเหลือง พลขับก็หน้าตาขึงขัง พวกเขาค่อย ๆ ต่อแถวไปใส่บาตรบนโป๊ะที่เอาไปเล่นน้ำเมื่อวานน่ะแหละค่ะ ก็อย่างที่บอกว่ากลัวน้ำ ดังนั้นจึงส่งเพื่อนให้ไปใส่บาตร ส่วนตัวเองเกาะชายเสื้อเพื่อนไว้ ถ้ามันเกิดตกไป ก็ตกไป เราจะได้ไม่ตกด้วย แต่ครอบครัวที่เขาพักดูดีมากค่ะ ใส่บาตรทั้งครอบครัว ให้ทุกคนมีส่วนร่วม มีแบ่งข้าวให้เราได้ตักใส่บาตรด้วย จนบางทีเราก็รู้สึกละอายเลยทีเดียว
หลังจากพระให้ศีลให้พรและกลับไปแล้ว พี่เจ้าของก็บอกในวันที่เราจะกลับว่า พระไม่ได้จำวัดนะ แต่พระอยู่ในสำนักสงฆ์ มีคนมาพักที่นี่แล้วข้ามไปปฏิบัติธรรมเยอะแยะเลย ข้าง ๆ ฝั่งโน้น ก็เป็นสำนักปฏิบัติธรรมของชี จนเพื่อนที่ใฝ่ธรรมบอกว่า "ถ้าพี่บอกเร็วกว่านี้จะไปนั่งปฏิบัติธรรมแล้ว"
ข้าวเช้าเราสามารถปิ้งขนมปัง ชงกาแฟ โอวันติลได้นะคะ อุปกรณ์มีพร้อม แต่แค่นั้นยังไม่พอ คุณจะได้รับข้าวต้มหมูด้วย มันยอดมากเลยล่ะซาร่า อร่อยจริง ๆ แน่นอนว่าบริการที่นี่นอกจากอาหาร 2 มื้อแล้ว ยังมีบริการขับรถพาเที่ยวอีกด้วย แต่ต้องเป็นในช่วงที่ไม่ค่อยมีคนอย่างช่วงนี้ ฮี่ ๆ (แสยะยิ้มอย่างชั่วร้าย) พี่เจ้าของที่พักก็แสนใจดี ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ใด ๆ เลย ก็พาพวกเราเที่ยวตะลอน ๆ ไปตลาดและสะพานแขวน ที่คนในพื้นที่เท่านั้นที่จะรู้ ที่นี่ไง
เดินไปเดินมาก็เริ่มชักจะเวียนหัว หลังจากหยุดพักถ่ายรูปแก้กลัวสักพัก ก็มุ่งเดินทางต่อไปยังวัดท่าขนุน ตอนแรกเราคิดว่าวัดมีแค่นี้
แต่ช้าก่อน เธอเห็นเจดีย์ลิบ ๆ บนเขานั่นไหม นั่นก็เป็นส่วนหนึ่งของวัดท่าขนุนด้วยนะ คุณลุงแถวนั้นบอกว่า “เดินขึ้นไปได้นะหนู” เราถึงกลับผงะถอยกรูดไปหลายก้าวเลยทีเดียว หลังจากเดินเอ้อระเหยและนั่งดูพระและอุบาสกขุดหินขุดทรายเตรียมก่อสร้างต่อเติมโบสถ์