ปกติ ผมมักจะพูดถึง "สัมมาทิฏฐิ" บ่อยๆ โดยบอกว่าเป็นสิ่งสำคัญอย่างแรกที่ชาวพุทธจำเป็นต้องมี ซึ่งสัมมาทิฏฐิที่ผมเข้าใจ สรูปก็คือการเชื่อในกฏแห่งกรรม การเวียนว่ายตายเกิด ชาตินี้มี ชาติหน้ามี เป็นต้น (ดู Spoil)
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ทานที่ให้แล้ว มีผล
ยัญที่บูชาแล้ว มีผล
สังเวยที่บวงสรวงแล้ว มีผล
ผลวิบากของกรรมที่ทำดี ทำชั่วแล้ว มีอยู่
โลกนี้มี โลกหน้ามี
มารดามี บิดามี
สัตว์ที่เป็นอุปปาติกะมี
สมณพราหมณ์ทั้งหลาย ผู้ดำเนินชอบ ปฏิบัติชอบ ซึ่งประกาศโลกนี้โลกหน้าให้แจ่มแจ้งเพราะรู้ยิ่งด้วยตนเอง ในโลก มีอยู่
และหากจะพูดถึงเรื่องบัว 4 เหล่าของพระพุทธเจ้า 3 เหล่าแรก ได้แก่ บัวพ้นน้ำ บัวปริ่มน้ำ และ บัวใต้น้ำ ทั้ง 3 พระพุทธเจ้าตรัสว่าสามารถเกิดดวงตาเห็นธรรมได้ (ยากง่ายตามลำดับ) ซึ่งทั้ง 3 จะมีสิ่งที่เหมือนกันคือ สัมมาทิฏฐิ
ในขณะที่บัวเหล่าสุดท้าย เหล่าที่ 4 คือ บัวที่จมใต้โคลนตม เป็นประเภทที่ไม่สามารถเกิดดวงตาเห็นธรรมได้ เป็นได้เพียงอาหารเต่า ซึ่งสิ่งที่บัวประเภทนี้มี และแตกต่างจากประเภทอื่นๆ ก็คือ "มิจฉาทิฏฐิ" (หรือก็คือไม่มีสัมมาทิฏฐินั่นเอง)
มาถึงประเด็นที่ทำให้เกิดกระทู้นี้ครับ มีกระทู้หนึ่ง ผมได้ตอบท่านเตชะปัญโญ (ขออภัยที่เอ่ยนาม) ซึ่งพูดถึงเรื่องการละตัวตน โดยผมบอกว่า ตราบใดที่ยังเป็น "มิจฉาทิฏฐิ" ไม่เชื่อชาตินี้ ชาติหน้า ไม่เชื่อกฏแห่งกรรม เชื่อว่าตายแล้วสูญ ท่านเตชะปัญโญไม่สามารถละความเป็นตัวตน ละความยึดมั่นถือมั่น ละความเป็นตัวกูของกูได้
ท่านเตชะปัญโญตอบกลับว่า ผมเข้าใจความหมายของสัมมาทิฏฐิผิด โดยบอกว่า
"...สัมมาทิฎฐิเกิดจากการทำลายสังโยชน์ตัวแรกคือ สักกายทิฎฐิอันเป็นความเห็นผิดว่ามีตัวตน (อัตตา) ได้..."
แม้ว่าผมจะเข้ามาที่ห้องศาสนาเป็นประจำ แต่ก็เป็นเพียงผู้ศึกษาธรรมหรือปฏิบัติธรรมแบบประชาชนทั่วไป ไม่ได้ศึกษาแบบปริยัติ ศึกษาบาลี พระไตรปิฏก อรรถกถา ฯลฯ พอมีอะไรที่เกินกว่าที่ตนเองรู้ ก็เลยต้องหาข้อมูลเพิ่มเติม
แต่ก่อนที่จะหาข้อมูล ความสงสัยของผมก็คือ หากสัมมาทิฏฐิ เป็นตามที่ท่านเตชะปัญโญบอก นั่นหมายความว่า ต้องเป็นพระอริยะเจ้าเท่านั้นจึงจะเกิดสัมมาทิฏฐิ ถ้าอย่างนั้น แล้วสัมมาทิฏฐิที่อยู่ในบัว 4 เหล่ามันคืออะไร
และในที่สุด ผมก็ได้คำตอบครับ (หากผิดถูกประการใด รบกวนผู้รู้แก้ไขหรือขยายความให้ด้วยนะครับ) ซึ่งนอกจากผมจะได้ความรู้แล้ว ท่านเตชะปัญโญก็น่าจะได้รับความรู้พร้อมกันไปด้วย
สัมมาทิฏฐิ แยกเป็น 2 ระดับครับ นั่นคือ ระดับโลกิยะ (ก็คือมนุษย์ปกติหรือพุทธศาสนิกชนทั่วไป) กับ โลกุตระหรือระดับของพระอริยะเจ้า (ในพระไตรปิฏกใช้คำว่า สาสวะ กับ อนาสวะ)
ระดับโลกิยะ (ยังเป็นสาสวะ) ก็จะเป็นตามที่ผมเข้าใจและได้ยกมาตอนต้นถูกต้องแล้ว (โดยสรุปคือ เชื่อเรื่องการเวียนว่ายตายเกิด กฏแห่งกรรม ภพภูมิ ฯลฯ)
ในขณะที่ถ้าพระอริยะเจ้า (เป็นอนาสวะ) สัมมาทิฏฐิจะเป็นในส่วนเมื่อเกิดปัญญารู้แจ้ง (เท่าที่ได้อ่าน พระอริยะที่เป็นสัมมาทิฏฐินี้ต้องบรรลุถึงขั้นพระอรหันต์เท่านั้น)
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้[๒๕๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สัมมาทิฐิเป็นไฉน ดูกรภิกษุทั้งหลาย
เรากล่าวสัมมาทิฐิเป็น ๒ อย่าง คือ สัมมาทิฐิที่ยังเป็นสาสวะ เป็นส่วนแห่งบุญ
ให้ผลแก่ขันธ์ อย่าง ๑ สัมมาทิฐิของพระอริยะ ที่เป็นอนาสวะ เป็นโลกุตระ
เป็นองค์มรรค อย่าง ๑ ฯ
[๒๕๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สัมมาทิฐิที่ยังเป็นสาสวะ เป็นส่วนแห่งบุญ
ให้ผลแก่ขันธ์ เป็นไฉน คือ ความเห็นดังนี้ว่า ทานที่ให้แล้ว มีผล ยัญที่บูชา
แล้ว มีผล สังเวยที่บวงสรวงแล้ว มีผล ผลวิบากของกรรมที่ทำดี ทำชั่วแล้ว
มีอยู่ โลกนี้มี โลกหน้ามี มารดามี บิดามี สัตว์ที่เป็นอุปปาติกะมี สมณพราหมณ์
ทั้งหลาย ผู้ดำเนินชอบ ปฏิบัติชอบ ซึ่งประกาศโลกนี้โลกหน้าให้แจ่มแจ้ง
เพราะรู้ยิ่งด้วยตนเอง ในโลก มีอยู่ นี้สัมมาทิฐิที่ยังเป็นสาสวะ เป็นส่วนแห่งบุญ
ให้ผลแก่ขันธ์ ฯ
[๒๕๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สัมมาทิฐิของพระอริยะที่เป็นอนาสวะ
เป็นโลกุตระ เป็นองค์มรรค เป็นไฉน ดูกรภิกษุทั้งหลาย ปัญญา ปัญญินทรีย์
ปัญญาพละ ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ ความเห็นชอบ องค์แห่งมรรค ของภิกษุผู้มี
จิตไกลข้าศึก มีจิตหาอาสวะมิได้ พรั่งพร้อมด้วยอริยมรรค เจริญอริยมรรคอยู่
นี้แล สัมมาทิฐิของพระอริยะที่เป็นอนาสวะ เป็นโลกุตระ เป็นองค์มรรค ฯ
อย่างไรก็ตาม หากผู้รู้ท่านใดจะขยายความเพิ่มเติมแบบเข้าใจง่ายๆ เป็นความรู้ ก็จะยินดีมากครับ
ทำความเข้าใจกับคำว่า "สัมมาทิฏฐิ" ที่ถูกต้อง
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
และหากจะพูดถึงเรื่องบัว 4 เหล่าของพระพุทธเจ้า 3 เหล่าแรก ได้แก่ บัวพ้นน้ำ บัวปริ่มน้ำ และ บัวใต้น้ำ ทั้ง 3 พระพุทธเจ้าตรัสว่าสามารถเกิดดวงตาเห็นธรรมได้ (ยากง่ายตามลำดับ) ซึ่งทั้ง 3 จะมีสิ่งที่เหมือนกันคือ สัมมาทิฏฐิ
ในขณะที่บัวเหล่าสุดท้าย เหล่าที่ 4 คือ บัวที่จมใต้โคลนตม เป็นประเภทที่ไม่สามารถเกิดดวงตาเห็นธรรมได้ เป็นได้เพียงอาหารเต่า ซึ่งสิ่งที่บัวประเภทนี้มี และแตกต่างจากประเภทอื่นๆ ก็คือ "มิจฉาทิฏฐิ" (หรือก็คือไม่มีสัมมาทิฏฐินั่นเอง)
มาถึงประเด็นที่ทำให้เกิดกระทู้นี้ครับ มีกระทู้หนึ่ง ผมได้ตอบท่านเตชะปัญโญ (ขออภัยที่เอ่ยนาม) ซึ่งพูดถึงเรื่องการละตัวตน โดยผมบอกว่า ตราบใดที่ยังเป็น "มิจฉาทิฏฐิ" ไม่เชื่อชาตินี้ ชาติหน้า ไม่เชื่อกฏแห่งกรรม เชื่อว่าตายแล้วสูญ ท่านเตชะปัญโญไม่สามารถละความเป็นตัวตน ละความยึดมั่นถือมั่น ละความเป็นตัวกูของกูได้
ท่านเตชะปัญโญตอบกลับว่า ผมเข้าใจความหมายของสัมมาทิฏฐิผิด โดยบอกว่า
"...สัมมาทิฎฐิเกิดจากการทำลายสังโยชน์ตัวแรกคือ สักกายทิฎฐิอันเป็นความเห็นผิดว่ามีตัวตน (อัตตา) ได้..."
แม้ว่าผมจะเข้ามาที่ห้องศาสนาเป็นประจำ แต่ก็เป็นเพียงผู้ศึกษาธรรมหรือปฏิบัติธรรมแบบประชาชนทั่วไป ไม่ได้ศึกษาแบบปริยัติ ศึกษาบาลี พระไตรปิฏก อรรถกถา ฯลฯ พอมีอะไรที่เกินกว่าที่ตนเองรู้ ก็เลยต้องหาข้อมูลเพิ่มเติม
แต่ก่อนที่จะหาข้อมูล ความสงสัยของผมก็คือ หากสัมมาทิฏฐิ เป็นตามที่ท่านเตชะปัญโญบอก นั่นหมายความว่า ต้องเป็นพระอริยะเจ้าเท่านั้นจึงจะเกิดสัมมาทิฏฐิ ถ้าอย่างนั้น แล้วสัมมาทิฏฐิที่อยู่ในบัว 4 เหล่ามันคืออะไร
และในที่สุด ผมก็ได้คำตอบครับ (หากผิดถูกประการใด รบกวนผู้รู้แก้ไขหรือขยายความให้ด้วยนะครับ) ซึ่งนอกจากผมจะได้ความรู้แล้ว ท่านเตชะปัญโญก็น่าจะได้รับความรู้พร้อมกันไปด้วย
สัมมาทิฏฐิ แยกเป็น 2 ระดับครับ นั่นคือ ระดับโลกิยะ (ก็คือมนุษย์ปกติหรือพุทธศาสนิกชนทั่วไป) กับ โลกุตระหรือระดับของพระอริยะเจ้า (ในพระไตรปิฏกใช้คำว่า สาสวะ กับ อนาสวะ)
ระดับโลกิยะ (ยังเป็นสาสวะ) ก็จะเป็นตามที่ผมเข้าใจและได้ยกมาตอนต้นถูกต้องแล้ว (โดยสรุปคือ เชื่อเรื่องการเวียนว่ายตายเกิด กฏแห่งกรรม ภพภูมิ ฯลฯ)
ในขณะที่ถ้าพระอริยะเจ้า (เป็นอนาสวะ) สัมมาทิฏฐิจะเป็นในส่วนเมื่อเกิดปัญญารู้แจ้ง (เท่าที่ได้อ่าน พระอริยะที่เป็นสัมมาทิฏฐินี้ต้องบรรลุถึงขั้นพระอรหันต์เท่านั้น)
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
อย่างไรก็ตาม หากผู้รู้ท่านใดจะขยายความเพิ่มเติมแบบเข้าใจง่ายๆ เป็นความรู้ ก็จะยินดีมากครับ