นายของผม (๒)
วชิรพักตร์
ส่วนเจ้ากรมท่านแรกนั้น ท่านเป็นคุณหลวงในขณะที่ผมเพิ่งจะเป็นนักเรียนนายสิบได้ไม่นาน ขณะที่ฝึกอยู่กลางสนามฟุตบอล ก็ได้แต่เห็นท่านขี่จักรยานไปรอบ ๆ กรม ยังไม่ทันจะจำหน้าได้ ท่านก็ย้ายไปเสียแล้ว
ท่านต่อมาเป็นสมาชิกของคณะรัฐประหาร เมื่อ ๘ พฤศจิกายน ๒๔๙๐ ท่านก็คงไม่เห็นหน้าผมหรอก เพราะส่วนใหญ่ท่านจะไปทำงาน ทางกรมพละศึกษา และท่านถัดไปก็เหมือนกัน ผมเป็นเพียงนายสิบปลายแถว ไม่มีวันจะได้ใกล้ชิดท่านสักครั้งจนท่านเกษียณไปอีก แต่จำได้ว่าครั้งหนึ่งที่ผมไปดูภาพยนต์ ที่โรงภาพยนต์ศรีเยาวราชเมื่อครั้งที่ยังรุ่งเรือง ผมตีตั๋วชั้นต่ำสุดราคาเพียง ๔.๕๐ บาท ส่วนท่านดูชั้นถัดไปราคาแค่ ๖.๐๐ บาทเท่านั้น ทำให้ผมเลื่อมใสว่าท่านเป็นผู้ที่รักสันโดษและสมถะจริง ๆ
อีกท่านหนึ่งดำรงตำแหน่งอยู่นานมาก จนผมได้ผ่านการสอบเลื่อนฐานะเป็นนายทหารสัญญาบัตร เจ้ากรมท่านนี้เป็นผู้ที่เคร่งครัดในระเบียบวินัยมาก เวลาท่านเดิน หรือนั่งรถผ่านหน้าหน่วยใด เวรยามไม่บอกทำความเคารพเป็นโดนดี ผมเคยได้ยินท่านเล่าให้นายทหารผู้ใหญ่ฟังว่า สมัยที่ท่านเป็นร้อยตรี ไม่ว่าผู้บังคับบัญชาจะผ่านมาห่างไกลแค่ไหนจะต้องทำความเคารพทุกครั้ง จะเห็นหรือไม่เห็นก็ต้องทำ ท่านยังย้ำพร้อมกับเอามือชี้ที่ศรีษะของท่านเองว่า ดูซิโค้งจนหัวจะล้านอยู่แล้วเห็นไหม
ในยุคของท่านนั้น มีระเบียบอยู่ข้อหนึ่งว่า เมื่อท่านนั่งรถผ่านกองรักษาการณ์ ผู้บังคับกองรักษาการณ์คนใดเรียกแถวทำความเคารพไม่ทัน จะต้องดองเวรสามวัน โดยไม่มีข้อแม้ใด ๆ ทั้งสิ้น ทุกคนที่เข้าเวรกองรักษาการณ์ จึงต้องเป็นผู้ที่มีหูไวตาไวตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา
เมื่อกองรักษาการณ์เดินแถวจากกองร้อยไปเปลี่ยนเวร หรือเดินจากกองรักษาการณ์กลับกองร้อย จะต้องมีแตรเดี่ยวนำหน้าแถว ถ้าท่านว่าง ท่านมักจะออกจากห้องมายืนที่ระเบียง ซึ่งแถวจะต้องผ่านและเลี้ยวโค้งพอดี ถ้าผู้ควบคุมแถวไม่ตั้งสติให้มั่น บอกแถวทำความเคารพไม่พร้อมเพรียง หรือเดินเท้าไม่พร้อม หรือแถวคดเป็นงูเลื้อย เป็นต้องโดนสั่งกลับหลังหันไปเดินมาใหม่ จนกว่าจะเรียบร้อย
สมัยนั้นยังไม่มีเครื่องปรับอากาศ ห้องของเจ้ากรมจึงเปิดหน้าต่างและประตูกว้าง ที่ประตูมีเพียงบังตาพับปิดเปิด พอไม่ให้คนที่อยู่ข้างนอกกับข้างในแลเห็นกันเท่านั้น ถ้ามีผู้มาขอพบท่านเจ้ากรม นายทหารคนสนิทจะต้องชิดเท้ารายงาน หน้าบังตานั้นเสียก่อน เมื่อได้ยินคำว่าเชิญ จึงจะเปิดบังตาให้ผู้มาเยือนผ่านเข้าไปได้ และในห้องของท่านก็ยังไม่มีการติดออดหรือกริ่งไฟฟ้า ท่านจะใช้กริ่งกลมแบบหมุนลาน และกดปุ่มด้านบน เสียงไม่ค่อยดังเท่าไรนัก เวลาท่านจะเรียกนายทหารคนสนิท หรือเรียกเจ้าหน้าที่มาเก็บแฟ้มที่ท่านลงนามแล้ว ก็จะกดกริ่งนั้น ถ้ากริ่งดังสองหนแล้ว ยังไม่มีใครเข้าไปเสนอหน้า บางทีกริ่งนั้นก็อาจจะกระเด็นลอดบังตา ออกมาข้างนอกก็ได้
เมื่อผมมีอาวุโสสูงขึ้นจนถึงระดับนายพัน ผมก็ได้พบกับเจ้ากรมท่านอื่น อีกเป็นลำดับ บางท่านที่ได้สนิทสนมกับผมมาตั้งแต่ท่านยังเป็นหัวหน้าหน่วยรอง ท่านก็ได้เรียกผมไปใช้สอยใกล้ชิด ในเรื่องต่าง ๆ ที่ท่านไม่รู้จะใช้ใคร ส่วนบางท่านแม้จะรู้จักคุ้นเคยกับผม ท่านก็ไม่เรียกใช้ผม ท่านจะสั่งงานผ่านตามสายบังคับบัญชาเท่านั้น แต่ท่านก็เมตตาทักทายทุกครั้งที่ผมทำความเคารพท่าน
มีอยู่ท่านหนึ่งเมื่อสมัยที่ท่านเป็นเสนาธิการกรม เวลาท่านไปประชุมกับหน่วยอื่นของกองทัพบก ในสายงานที่เกี่ยวข้องกับหน้าที่ของผม ท่านก็จะเอาผมติดไปเป็นเจ้าหน้าที่คอยถือแฟ้ม ระหว่างนั่งรถไปกลับ หรือบางทีก็รับประทานอาหารกลางวัน ท่านก็จะคุยเรื่องต่าง ๆ เหมือนกับว่าผมเป็นนายทหารคนสนิท ซึ่งทำให้ผมได้ความรู้กว้างขวางออกไป อย่างที่ไม่มีหลักสูตรใดจะสอนได้
ที่ผมจำได้ดีก็คือท่านว่า พวกจ่าสิบเอกที่ได้เลื่อนเป็นนายทหารนั้น เมื่อเป็นนายสิบ ส่วนใหญ่จะเป็นนายสิบชั้นดี มีความรู้ในหน้าที่ของตน และขยันขันแข็ง ตรงต่อเวลา ซื่อสัตย์ไว้ใจได้ แต่พอเป็นนายทหารได้ไม่เท่าไรกลายเป็นนายทหารชั้นเลอะ แล้วท่านก็ขยายความต่อไปว่า เป็นเพราะส่วนใหญ่มีความรู้จำกัด สามารถทำงานได้ดีในระดับของตนเท่านั้น พอได้รับหน้าที่สูงขึ้นความรู้ก็ไม่เพียงพอ ทำงานไม่คล่องเลยกลายเป็นความเฉื่อยชา
นายของผม (๒) ๗ ม.ค.๔๘
วชิรพักตร์
ส่วนเจ้ากรมท่านแรกนั้น ท่านเป็นคุณหลวงในขณะที่ผมเพิ่งจะเป็นนักเรียนนายสิบได้ไม่นาน ขณะที่ฝึกอยู่กลางสนามฟุตบอล ก็ได้แต่เห็นท่านขี่จักรยานไปรอบ ๆ กรม ยังไม่ทันจะจำหน้าได้ ท่านก็ย้ายไปเสียแล้ว
ท่านต่อมาเป็นสมาชิกของคณะรัฐประหาร เมื่อ ๘ พฤศจิกายน ๒๔๙๐ ท่านก็คงไม่เห็นหน้าผมหรอก เพราะส่วนใหญ่ท่านจะไปทำงาน ทางกรมพละศึกษา และท่านถัดไปก็เหมือนกัน ผมเป็นเพียงนายสิบปลายแถว ไม่มีวันจะได้ใกล้ชิดท่านสักครั้งจนท่านเกษียณไปอีก แต่จำได้ว่าครั้งหนึ่งที่ผมไปดูภาพยนต์ ที่โรงภาพยนต์ศรีเยาวราชเมื่อครั้งที่ยังรุ่งเรือง ผมตีตั๋วชั้นต่ำสุดราคาเพียง ๔.๕๐ บาท ส่วนท่านดูชั้นถัดไปราคาแค่ ๖.๐๐ บาทเท่านั้น ทำให้ผมเลื่อมใสว่าท่านเป็นผู้ที่รักสันโดษและสมถะจริง ๆ
อีกท่านหนึ่งดำรงตำแหน่งอยู่นานมาก จนผมได้ผ่านการสอบเลื่อนฐานะเป็นนายทหารสัญญาบัตร เจ้ากรมท่านนี้เป็นผู้ที่เคร่งครัดในระเบียบวินัยมาก เวลาท่านเดิน หรือนั่งรถผ่านหน้าหน่วยใด เวรยามไม่บอกทำความเคารพเป็นโดนดี ผมเคยได้ยินท่านเล่าให้นายทหารผู้ใหญ่ฟังว่า สมัยที่ท่านเป็นร้อยตรี ไม่ว่าผู้บังคับบัญชาจะผ่านมาห่างไกลแค่ไหนจะต้องทำความเคารพทุกครั้ง จะเห็นหรือไม่เห็นก็ต้องทำ ท่านยังย้ำพร้อมกับเอามือชี้ที่ศรีษะของท่านเองว่า ดูซิโค้งจนหัวจะล้านอยู่แล้วเห็นไหม
ในยุคของท่านนั้น มีระเบียบอยู่ข้อหนึ่งว่า เมื่อท่านนั่งรถผ่านกองรักษาการณ์ ผู้บังคับกองรักษาการณ์คนใดเรียกแถวทำความเคารพไม่ทัน จะต้องดองเวรสามวัน โดยไม่มีข้อแม้ใด ๆ ทั้งสิ้น ทุกคนที่เข้าเวรกองรักษาการณ์ จึงต้องเป็นผู้ที่มีหูไวตาไวตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา
เมื่อกองรักษาการณ์เดินแถวจากกองร้อยไปเปลี่ยนเวร หรือเดินจากกองรักษาการณ์กลับกองร้อย จะต้องมีแตรเดี่ยวนำหน้าแถว ถ้าท่านว่าง ท่านมักจะออกจากห้องมายืนที่ระเบียง ซึ่งแถวจะต้องผ่านและเลี้ยวโค้งพอดี ถ้าผู้ควบคุมแถวไม่ตั้งสติให้มั่น บอกแถวทำความเคารพไม่พร้อมเพรียง หรือเดินเท้าไม่พร้อม หรือแถวคดเป็นงูเลื้อย เป็นต้องโดนสั่งกลับหลังหันไปเดินมาใหม่ จนกว่าจะเรียบร้อย
สมัยนั้นยังไม่มีเครื่องปรับอากาศ ห้องของเจ้ากรมจึงเปิดหน้าต่างและประตูกว้าง ที่ประตูมีเพียงบังตาพับปิดเปิด พอไม่ให้คนที่อยู่ข้างนอกกับข้างในแลเห็นกันเท่านั้น ถ้ามีผู้มาขอพบท่านเจ้ากรม นายทหารคนสนิทจะต้องชิดเท้ารายงาน หน้าบังตานั้นเสียก่อน เมื่อได้ยินคำว่าเชิญ จึงจะเปิดบังตาให้ผู้มาเยือนผ่านเข้าไปได้ และในห้องของท่านก็ยังไม่มีการติดออดหรือกริ่งไฟฟ้า ท่านจะใช้กริ่งกลมแบบหมุนลาน และกดปุ่มด้านบน เสียงไม่ค่อยดังเท่าไรนัก เวลาท่านจะเรียกนายทหารคนสนิท หรือเรียกเจ้าหน้าที่มาเก็บแฟ้มที่ท่านลงนามแล้ว ก็จะกดกริ่งนั้น ถ้ากริ่งดังสองหนแล้ว ยังไม่มีใครเข้าไปเสนอหน้า บางทีกริ่งนั้นก็อาจจะกระเด็นลอดบังตา ออกมาข้างนอกก็ได้
เมื่อผมมีอาวุโสสูงขึ้นจนถึงระดับนายพัน ผมก็ได้พบกับเจ้ากรมท่านอื่น อีกเป็นลำดับ บางท่านที่ได้สนิทสนมกับผมมาตั้งแต่ท่านยังเป็นหัวหน้าหน่วยรอง ท่านก็ได้เรียกผมไปใช้สอยใกล้ชิด ในเรื่องต่าง ๆ ที่ท่านไม่รู้จะใช้ใคร ส่วนบางท่านแม้จะรู้จักคุ้นเคยกับผม ท่านก็ไม่เรียกใช้ผม ท่านจะสั่งงานผ่านตามสายบังคับบัญชาเท่านั้น แต่ท่านก็เมตตาทักทายทุกครั้งที่ผมทำความเคารพท่าน
มีอยู่ท่านหนึ่งเมื่อสมัยที่ท่านเป็นเสนาธิการกรม เวลาท่านไปประชุมกับหน่วยอื่นของกองทัพบก ในสายงานที่เกี่ยวข้องกับหน้าที่ของผม ท่านก็จะเอาผมติดไปเป็นเจ้าหน้าที่คอยถือแฟ้ม ระหว่างนั่งรถไปกลับ หรือบางทีก็รับประทานอาหารกลางวัน ท่านก็จะคุยเรื่องต่าง ๆ เหมือนกับว่าผมเป็นนายทหารคนสนิท ซึ่งทำให้ผมได้ความรู้กว้างขวางออกไป อย่างที่ไม่มีหลักสูตรใดจะสอนได้
ที่ผมจำได้ดีก็คือท่านว่า พวกจ่าสิบเอกที่ได้เลื่อนเป็นนายทหารนั้น เมื่อเป็นนายสิบ ส่วนใหญ่จะเป็นนายสิบชั้นดี มีความรู้ในหน้าที่ของตน และขยันขันแข็ง ตรงต่อเวลา ซื่อสัตย์ไว้ใจได้ แต่พอเป็นนายทหารได้ไม่เท่าไรกลายเป็นนายทหารชั้นเลอะ แล้วท่านก็ขยายความต่อไปว่า เป็นเพราะส่วนใหญ่มีความรู้จำกัด สามารถทำงานได้ดีในระดับของตนเท่านั้น พอได้รับหน้าที่สูงขึ้นความรู้ก็ไม่เพียงพอ ทำงานไม่คล่องเลยกลายเป็นความเฉื่อยชา