ก่อนอื่นขอขอบพระคุณทุกๆ ท่าน ที่แวะเวียนเข้ามาอ่านนิยายเรื่องนี้ค่ะ
คนเขียนมือใหม่ภาษาอาจไม่ดีพอขอคำแนะนำติดชมตามจิตศรัทธาด้วยนะคะ
ขอให้มีความสุขกับการอ่านค่ะ
- - - - -
ความเดิมตอนที่แล้ว :
http://ppantip.com/topic/33059777
♫ ♫ ♫ ♫ ♫ ♫ ♫
ตอนที่ ๕ : วิญญาณหลอน(ซ่อนรัก)
บนทางเดินไม้ที่เชื่อมต่อระหว่างอาคารเอไปยังกลุ่มอาคารอื่น พัดชาเดินชมนกชมไม้ประทังความหิว หลังจากหลอกตัวเองว่าไม่ได้หิวๆ แต่ท้องไส้ก็ยังร้องโครกครากไม่หยุดหย่อน..เอาเถอะ รอเลิกงานแล้วกลับไปกินข้าวที่บ้านกับยัยหนูบานเช้า ป้าสมร พี่อิ่มและพี่กุ้ง คิดเท่านี้หัวใจเหงาหงอยก็อุ่นขึ้นมา บอกตรงๆ เพียงไม่กี่วันที่มาอยู่นี่ เธอรู้สึกเป็นสุขอย่างไม่น่าเชื่อ และความจริงอีกอย่างก็คือตั้งแต่ปู่ย่าจากไปชีวิตเธอไม่มีใครเลย เคว้งคว้างโดดเดี่ยวเหมือนอยู่คนเดียวในโลก
เดินผ่านมายังศาลไม้เก่าที่เห็นเอียงกะเท่เร่คาอยู่ข้างไทรต้นใหญ่มาตั้งแต่คราวก่อน จำได้ว่าอิสรภาพให้บรรจุรายการรื้อศาลเก่านี้ลงไปในแผนรีโนเวทด้วย พัดชารีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นบันทึกภาพเพื่อเตือนตัวเองในภายหลัง ขณะกำลังกดชัตเตอร์กล้องโทรศัพท์ พลันสายลมพัดแรงจนกิ่งก้านไทรใหญ่ไหวลู่กรูเกรียว นกสายพันธุ์อะไรไม่รู้กระพือปีกพั่บๆ ส่งเสียงร้องประหลาดหู
พัดชาแหงนคอมองขึ้นไปบนกิ่งสูงระหงของไทรใหญ่ไม่เห็นที่มาของเสียงนก ดึงสายตาลงมาที่หน้าจอโทรศัพท์ กดชัตเตอร์ไปแล้วหรือยังนะ ปรับโฟกัสภาพให้ดีๆ อีกที แสงไม่สวยเอาเสียเลย แดดตอนเที่ยงร้อนจ้า แต่ใต้ร่มเงาไทรสูงใหญ่ใบหนาทึบจนแสงแดดลอดผ่านลงมาไม่ถึง แต่เธอก็กดแชะ! ได้ภาพศาลเก่ากะเท่เร่มาหนึ่งภาพ เก็บโทรศัพท์ใส่ลงกระเป๋าดังเดิม
เดินเพลินๆ เลียบเลาะพงหญ้ารกร้างมาสู่อาคารอีกหลัง พื้นที่โดยรอบถูกโอบล้อมด้วยไม้เลื้อย ส่วนมากเป็นไม้ดอกหอม เล็บมือนางสีส้มอมชมพูที่ปกติจะส่งกลิ่นหอมมากมายยามค่ำคืน ทว่าเที่ยงแสกๆ แบบนี้ก็ยังส่งกลิ่นกรุ่นไม่รู้คลาย พัดชาเกือบจะเอื้อมไปเด็ดช่อหนึ่งออกมาจากพวงเถาที่เลื้อยเกาะขอบกำแพงอยู่ แต่ต้องชะงักเพราะเสียงของใครแว่วมาแต่ไกลๆ จับประโยคไม่ได้ว่าเรียกเธอหรือไม่ ลองเดินไปดูก่อนเผื่อมีใครร้องขอความช่วยเหลือ
มาถึงในอาคาร ห้องห้องหนึ่งประตูกระจกฝ้าบานเล็กเปิดแง้มอยู่ เสียงเรียกดังมาจากตรงนี้เอง อาจมีคนงานบาดเจ็บหรือเป็นลมด้วยอากาศที่ร้อนจัด พัดชาไม่รั้งรอ รีบเข้าไปด้วยความเป็นห่วง ผลักประตูก้าวตามแสงรำไรที่ทอดมาจากภายนอกเข้าไป กลิ่นเหม็นอับราวกับไม่มีคนเข้ามาทำความสะอาดนานนับปีลอยคลุ้ง มองผ่านหยักไย่ใยแมงมุมที่ถูกถักทอแน่นหนาจนทั่วห้องไม่เห็นมีใคร แล้วเสียงที่ได้ยินเมื่อครู่มันมาจากทิศทางไหนกันล่ะ
อิสรภาพและทีมผู้รับเหมาไม่ได้พิถีพิถันกับมื้อเที่ยงมากมายนัก เพียงยี่สิบนาทีทุกคนก็แยกย้ายกลับเข้าหน้างาน ความที่เป็นห่วงว่าพัดชาจะหิว อิสรภาพจึงสั่งข้าวกล่องเผื่อไว้ให้ วีนัสเห็นเขาใส่ใจพัดชามากเท่าไหร่ก็ยิ่งโกรธเกลียดมากขึ้นเท่านั้น ราดหน้าทะเลงี่เง่าไม่เข้าท่าที่ทานไปไม่ถึงครึ่งจาน วีนัสรวบช้อนและบอกกับทุกคนว่าขอตัวไปตามหาน้องสาว
บานเช้าออดอ้อนขอให้ลุงของเธอพานั่งเรือเที่ยวรอบเกาะ รณรงค์ใจหนึ่งไม่อยากขัดหลานสาว แต่อีกใจอยากอยู่ดูแลงานที่นี่อย่างไม่ให้คลาดสายตาด้วยห่วงว่าจะมีใครก่อเรื่อง
“เราก็รู้ ลุงต้องทำงาน”
“ฮึ!” บานเช้ายกมือกอดอกทำหน้าตูม “อาบัวไม่อยู่คนหนึ่งแล้ว ลุงรอนก็ยังจะมาเห็นงานสำคัญกว่าหนูอีก สรุปว่าหนูต้องกลายเป็นหมาหัวเน่าจริงๆ อย่างที่คิดเอาไว้เลยใช่ไหมเนี่ย!”
เจอลูกไม้เก่าเข้าไป ลุงรอนของบานเช้าเลยไม่รอด ยักคอหงึกหงัก
“ก็ได้ๆ” ก็เขามีหลานสาวคนนี้คนเดียวในชีวิตนี่นะ บานเช้ายิ้มบานแฉ่งอย่างกำชัยชนะอีกตามเคย ขณะที่วีนัสดูรูปการณ์แล้วไม่น่าเข้าหาใครได้เลยทั้งรณรงค์ทั้งอิสรภาพ เดินเซ็งๆ กลับมาที่อาคารเอ รีสอร์ทนี้เมื่อไหร่จะรีโนเวทเสร็จสักที อยู่รกร้างวังเวงอย่างกับมีผีสิง กวาดตามองหาพัดชาก็ไม่พบ ไม่รู้ไปทำดราม่าน้ำตาแตกอยู่ที่ไหน
ในห้องแคบใต้ตึกพัดชายังคงพยายามกวาดตาหาที่มาของเสียงเรียก หรือบางทีเธอหิวข้าวจึงหูแว่ว หันหลังจะเดินกลับออกไป แต่ลมแรงพัดบานประตูกระจกปิดดังปึง! ทำใจดีสู้เสือ บอกตัวเองว่าไม่มีอะไรหรอก เดินมาถึงก็รีบคว้ามือจับประตู ปรากฏว่าเปิดไม่ได้ ออกแรงดึงเท่าไหร่ก็ยังเปิดไม่ได้ เหมือนว่าประตูมันจะถูกล็อคจากภายนอก ครั้นแสงสว่างลอดเข้ามาไม้ได้ ห้องทั้งห้องจึงมืดสนิท
หญิงสาวรีบหยิบโทรศัพท์หวังจะกดหาใครสักคน..วีนัสหรืออิสรภาพดีล่ะ เธอไม่มีเบอร์โทรศัพท์ของใครเลยนอกจากสองคนนี้ หัวใจเต้นตุ้มๆ ต่อมๆ ถึงจะเป็นสาวขาลุย ไม่เคยหวั่นทั้งงานหนักงานเบา แต่ก็ไม่ได้แปลว่าจะไม่กลัวผีนะ! สุดท้ายมือสั่นๆ ก็ตัดสินใจกดไปที่หมายเลขของวีนัส นานจนเพลงรอสายจบไปสามรอบวีนัสก็ยังไม่รับสาย ก่อนที่เครื่องจะขึ้นข้อความอำลาและดับไปดื้อๆ
“แบตหมด!” หญิงสาวพ่นเสียงลมหายใจใส่ตัวเอง โกรธโชคชะตาที่ส่งความซวยมาให้ไม่รู้จักหยุดจักหย่อน เหลียวซ้ายแลขวารอบตัวมือตึ๊ดตื๋อ ทันใดนั้นเสียงวัตถุตกกระทบพื้นดังตุ้บ! พัดชากรีดร้องเสียงหลง
“ว๊ายยยย” มือเย็นเฉียบจนเหมือนจะกลายเป็นน้ำแข็งตะครุบปิดตาอัตโนมัติ ก่อนที่เสียงร้องเหมี้ยว...วววว จะดังขึ้น แล้วอาการใจหายใจคว้ำทั้งหมดก็โล่งเป็นปลิดทิ้งราวกับได้ยกภาพผีหัวขาดออกจากอก
“โธ่ เจ้าเหมียว” ลูกตาวาวๆ สะท้อนให้เห็นว่าเจ้าของเสียงตัวน้อยนั่งจุ้มปุ้กอยู่ตรงมุมผนังห้องข้างหน้านี่เอง เธอเดินเข้าไปอุ้มมันขึ้นมาแนบไว้กับอก ลูบมือลงเบาๆ บนขนนุ่มที่เต็มไปด้วยหยักไย่ไยแมงมุม
“ไม่ต้องกลัวนะเจ้าเหมียว เราต้องหาทางออกไปจากที่นี่ แต่ก็คงต้องรอจนกว่าจะมีใครผ่านมา” ว่าแล้วก็กระเตงเจ้าเหมียวเดินกลับไปที่ประตู ส่งเสียงตะโกนขอความช่วยเหลือพร้อมๆ กับที่ในใจเฝ้าภาวนาให้มีใครสักคนเดินผ่านมา
แผนปรับปรุงรีสอร์ทเริ่มต้นจากงานโครงสร้างสถาปัตย์ ตามไทม์ไลน์งานก่อสร้างกลุ่มอาคารเอ-บี-ซีถูกจัดลำดับเข้ารื้อถอนก่อนเพื่อให้แล้วเสร็จภายในหนึ่งเดือน หลังจากนั้นเริ่มลงโครงสร้างใหม่ ทำควบคู่ไปกับงานแลนด์สเคป รณรงค์คาดหวังมากในเรื่องความโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ตามที่ทีมงานของอิสรภาพโฆษณาชวนเชื่อเอาไว้ ส่วนกลุ่มอาคารทรงไทยที่จะปรับเปลี่ยนเป็นพูลวิลล่านั้น ผู้รับเหมามีแผนจะเข้ารื้อทุบบางส่วนต้นเดือนหน้า
บ่ายแก่ อิสรภาพปลีกตัวจากผู้รับเหมาเดินตามหาพัดชาด้วยความเป็นห่วง และเนื่องจากโทรศัพท์ติดต่อเธอไม่ได้ เขาจึงขอแรงคนงานช่วยกันออกตามหา วีนัสก่นด่าอยู่ในใจ นังน้องตัวดีคงกำลังหาทางเรียกร้องความสนใจจากอิสรภาพ ซึ่งเธอจะไม่ยอมให้พัดชาทำสำเร็จ
อาณาบริเวณเกินกว่าสองร้อยไร่อันเป็นที่ตั้งของรีสอร์ท ไม่มีทั้งพิกัดสัญญานอินเตอร์เน็ต ส่วนคลื่นสัญญาณโทรศัพท์ก็เบาบางเหลือแสน หนำซ้ำต้นไม้ใบหญ้าก็เทอะทะหนาทึบ อิสรภาพเริ่มร้อนใจมากขึ้นเมื่อพระอาทิตย์จวนจะลาลับฟ้าแต่ยังหาพัดชาไม่พบ
“จวนจะค่ำแล้ว ถ้ายังหาไม่เจอคงหาต่อไปลำบากครับ เพราะระบบไฟฟ้าจากพลังงานโซล่าเซลของที่นี่ซัพพอร์ตเฉพาะช่วงกลางวัน” หัวหน้าทีมผู้รับเหมาเอ่ย
“โทรบอกนายหัวดีไหมครับ”คนงานท้องถิ่นคนหนึ่งออกความเห็น “นายหัวรู้จักที่นี่ดีทุกซอกทุกมุม หลับตาเดินยังได้” เขาว่า ซึ่งอิสรภาพก็เห็นด้วย และป่านนี้รณรงค์คงพายัยหนูบานเช้าท่องเที่ยวจนจบทริปแล้ว วีนัสแอบเบือนหน้าหนีขึ้นฟ้าไปทำปากขมุบขมิบสาปแช่งให้ยัยน้องเนรคุณหลงทางติดอยู่ที่นี่ไปจนถึงพรุ่งนี้เช้า
คุณลุงผู้แสนดีพาหลานสาวล่องเรือเที่ยวรอบเกาะจนจบทริป และกลับถึงบ้านตั้งแต่สองชั่วโมงที่แล้วพอรับสายจากอิสรภาพขอความช่วยเหลือตามหาพัดชาที่หายตัวไปก็รีบขับรถย้อนกลับไปที่รีสอร์ททันที สังหรณ์อยู่แล้วว่าต้องเกิดเรื่อง เขาแบกหน้าเข้มๆ ลงมาจากรถ เห็นกลุ่มผู้รับเหมาและคนงานยืนรออยู่ก็นึกโกรธที่ผู้ช่วยของอิสรภาพดีแต่ก่อเรื่อง แต่ในความโกรธเขาก็ไม่วายกังวลว่าถ้าค่ำแล้วยังหาไม่พบ พัดชาอาจได้รับอันตรายไหนจะงูเงี้ยวเขี้ยวขอ ทั้งยังแมลงมีพิษที่ชอบออกหากินยามราตรี แต่ที่สำคัญเขาจำได้ว่าพัดชายังไม่ได้ทานข้าวกลางวัน
รณรงค์หยิบไฟฉายที่มีติดรถเป็นประจำด้วยนิสัยรอบคอบแจกจ่ายให้กับทุกคน บอกเส้นทางปลีกย่อยรอบๆ รีสอร์ทพร้อมทั้งกำชับทุกคนให้หาดูอย่างละเอียด โดยเฉพาะห้องบางห้องที่อยู่ในจุดอับยากต่อการมองเห็น รวมถึงแนวต้นไม้ใหญ่กิ่งใบหนาทึบหรือพงหญ้ารกๆ ก็ห้ามละเลย
ยิ่งเห็นว่าทุกคนกระจายกำลังออกตามหาพัดชากันจ้าละหวั่นโดยเฉพาะอิสรภาพที่ดูออกอาการเป็นห่วงเป็นใยมากกว่าใคร วีนัสยิ่งเดือดดาล แทนที่จะได้กลับไปนอนแช่น้ำอุ่นในอ่างสบายๆ ที่บ้านของรณรงค์ ดันต้องมาเดินฝ่าความมืดตามหายัยคนก่อเรื่องในรีสอร์ทร้างวังเวงแบบนี้ โอ๊ย! วีนัสล่ะเบื่อ!
นาฬิกาบอกเวลาหนึ่งทุ่มตรง ปกติหลังพระอาทิตย์ตกไปแล้วที่นี่จะมีเพียงแสงไฟสำรองจากสปอตไลท์ที่ส่องเข้าหาทะเล ในตัวรีสอร์ทตอนนี้จึงมืดและเงียบสงัด นอกจากไฟฉายที่มีอยู่ในมือกันคนละกระบอกก็ปราศจากแสงสว่างอื่น วีนัสเป็นผู้หญิงคนเดียวที่เหลืออยู่จึงขอตัวรออยู่ในรถ คนอื่นไปด้วยกันเป็นคู่บ้าง เป็นกลุ่มบ้าง ส่วนนายหัวรอนรู้จักที่นี่ดีจึงไปเพียงลำพัง ถึงอย่างไรก็ต้องตามหาเธอให้เจอ รณรงค์บอกกับตัวเอง ไม่ใช่เป็นห่วงเป็นใยเธอหรอก แค่ไม่อยากให้ใครมาเป็นอะไรในรีสอร์ทของเขาเท่านั้น
รีสอร์ทฝั่งอาคารซีที่แทบจะเดินผ่านไปแล้ว รณรงค์ได้ยินเสียงกุกกักแว่วมาในรัศมีใกล้ๆ ในความสงัดเสียงทุ้มขรึมของรณรงค์ตะโกนขึ้น
“พัดชา..” ดังกึกก้องจนสะท้อนไปทั่ว เสียงกุกกักดังขึ้นอีก ชายหนุ่มเหลียวหลังไปที่กลุ่มห้องชั้นล่างใต้อาคาร เงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจ เสียงนั้นลอดมาจากห้องกระจกซึ่งอดีตเคยเป็นห้องเพนทรี่แม่บ้าน วิ่งไปถึงหน้าประตูพบว่าตะขอสับสนิมเขรอะหักคาอยู่กับตัวล็อค
“อยู่ในนั้นรึเปล่าพัดชา” ไม่ใช่แค่ตะโกนก้อง หากมือยังตะบี้ตะบันทุบปังๆ เสียงเล็กตะกุยครืดคราดบนบานประตูสะท้อนออกมาจากด้านใน และไม่ว่าในนั้นจะใช่พัดชาหรือเปล่ารณรงค์ก็ไม่ลังเล สีข้างกำยำพุ่งเข้ากระแทกบานประตูสุดกำลัง ประตูเก่าเปิดผลัวะออก ลูกแมวขนขาวปุกปุยกระโจนออกมา ร่างเล็กๆ ของพัดชานอนฟุบอยู่บนพื้น ความคิดโกรธที่เธอก่อเรื่องจนทำเอาวุ่นวายกันไปหมดผลุบหายไปไหนเสียแล้วไม่รู้ ชายหนุ่มปราดเข้าไปประคองเธอขึ้นจากพื้น มือใหญ่ตะปบใบหน้าน้อยเขย่าเบาๆ ให้คนหมดสติรู้สึกตัว
"พัดชา ตื่นสิ พัดชา" แต่เปล่าประโยชน์ ปลุกเรียกอย่างไรเจ้าตัวก็ไม่ขยับ เนื้อตัวเธอเย็นเฉียบ รณรงค์ไม่มัวชักช้าร่ำไรช้อนตัวเธอขึ้นกอดไว้ในอ้อมแขน สาวเท้าไวๆ พาเธอกลับมาที่รถรวดเร็วราวกับเหาะ
วีนัสมองเห็นนายหัวรอนเดินดุ่มหน้าตาขึงขังมาที่รถ ร่างของพัดชาหลับใหลอยู่ในอ้อมแขนเขา วีนัสเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน เขาไปเจอตัวมาจากไหนนะ น่าจะหลงเข้าป่าหรือตกทะเลตายไปเสียให้รู้แล้วรู้รอด นังน้องสารพัดพิษ นี่คงคิดจะยั่วยวนรณรงค์และเรียกร้องความเห็นใจจากอิสรภาพ ไม่กวาดเอาทีมผู้รับเหมา คนงาน และผู้ชายทั้งเกาะไปด้วยเลยล่ะ!
รักเอ๋ย.. รู้ไหมใครตามหาอยู่
คนเขียนมือใหม่ภาษาอาจไม่ดีพอขอคำแนะนำติดชมตามจิตศรัทธาด้วยนะคะ
ขอให้มีความสุขกับการอ่านค่ะ
- - - - -
ความเดิมตอนที่แล้ว :
http://ppantip.com/topic/33059777
♫ ♫ ♫ ♫ ♫ ♫ ♫
ตอนที่ ๕ : วิญญาณหลอน(ซ่อนรัก)
บนทางเดินไม้ที่เชื่อมต่อระหว่างอาคารเอไปยังกลุ่มอาคารอื่น พัดชาเดินชมนกชมไม้ประทังความหิว หลังจากหลอกตัวเองว่าไม่ได้หิวๆ แต่ท้องไส้ก็ยังร้องโครกครากไม่หยุดหย่อน..เอาเถอะ รอเลิกงานแล้วกลับไปกินข้าวที่บ้านกับยัยหนูบานเช้า ป้าสมร พี่อิ่มและพี่กุ้ง คิดเท่านี้หัวใจเหงาหงอยก็อุ่นขึ้นมา บอกตรงๆ เพียงไม่กี่วันที่มาอยู่นี่ เธอรู้สึกเป็นสุขอย่างไม่น่าเชื่อ และความจริงอีกอย่างก็คือตั้งแต่ปู่ย่าจากไปชีวิตเธอไม่มีใครเลย เคว้งคว้างโดดเดี่ยวเหมือนอยู่คนเดียวในโลก
เดินผ่านมายังศาลไม้เก่าที่เห็นเอียงกะเท่เร่คาอยู่ข้างไทรต้นใหญ่มาตั้งแต่คราวก่อน จำได้ว่าอิสรภาพให้บรรจุรายการรื้อศาลเก่านี้ลงไปในแผนรีโนเวทด้วย พัดชารีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นบันทึกภาพเพื่อเตือนตัวเองในภายหลัง ขณะกำลังกดชัตเตอร์กล้องโทรศัพท์ พลันสายลมพัดแรงจนกิ่งก้านไทรใหญ่ไหวลู่กรูเกรียว นกสายพันธุ์อะไรไม่รู้กระพือปีกพั่บๆ ส่งเสียงร้องประหลาดหู
พัดชาแหงนคอมองขึ้นไปบนกิ่งสูงระหงของไทรใหญ่ไม่เห็นที่มาของเสียงนก ดึงสายตาลงมาที่หน้าจอโทรศัพท์ กดชัตเตอร์ไปแล้วหรือยังนะ ปรับโฟกัสภาพให้ดีๆ อีกที แสงไม่สวยเอาเสียเลย แดดตอนเที่ยงร้อนจ้า แต่ใต้ร่มเงาไทรสูงใหญ่ใบหนาทึบจนแสงแดดลอดผ่านลงมาไม่ถึง แต่เธอก็กดแชะ! ได้ภาพศาลเก่ากะเท่เร่มาหนึ่งภาพ เก็บโทรศัพท์ใส่ลงกระเป๋าดังเดิม
เดินเพลินๆ เลียบเลาะพงหญ้ารกร้างมาสู่อาคารอีกหลัง พื้นที่โดยรอบถูกโอบล้อมด้วยไม้เลื้อย ส่วนมากเป็นไม้ดอกหอม เล็บมือนางสีส้มอมชมพูที่ปกติจะส่งกลิ่นหอมมากมายยามค่ำคืน ทว่าเที่ยงแสกๆ แบบนี้ก็ยังส่งกลิ่นกรุ่นไม่รู้คลาย พัดชาเกือบจะเอื้อมไปเด็ดช่อหนึ่งออกมาจากพวงเถาที่เลื้อยเกาะขอบกำแพงอยู่ แต่ต้องชะงักเพราะเสียงของใครแว่วมาแต่ไกลๆ จับประโยคไม่ได้ว่าเรียกเธอหรือไม่ ลองเดินไปดูก่อนเผื่อมีใครร้องขอความช่วยเหลือ
มาถึงในอาคาร ห้องห้องหนึ่งประตูกระจกฝ้าบานเล็กเปิดแง้มอยู่ เสียงเรียกดังมาจากตรงนี้เอง อาจมีคนงานบาดเจ็บหรือเป็นลมด้วยอากาศที่ร้อนจัด พัดชาไม่รั้งรอ รีบเข้าไปด้วยความเป็นห่วง ผลักประตูก้าวตามแสงรำไรที่ทอดมาจากภายนอกเข้าไป กลิ่นเหม็นอับราวกับไม่มีคนเข้ามาทำความสะอาดนานนับปีลอยคลุ้ง มองผ่านหยักไย่ใยแมงมุมที่ถูกถักทอแน่นหนาจนทั่วห้องไม่เห็นมีใคร แล้วเสียงที่ได้ยินเมื่อครู่มันมาจากทิศทางไหนกันล่ะ
อิสรภาพและทีมผู้รับเหมาไม่ได้พิถีพิถันกับมื้อเที่ยงมากมายนัก เพียงยี่สิบนาทีทุกคนก็แยกย้ายกลับเข้าหน้างาน ความที่เป็นห่วงว่าพัดชาจะหิว อิสรภาพจึงสั่งข้าวกล่องเผื่อไว้ให้ วีนัสเห็นเขาใส่ใจพัดชามากเท่าไหร่ก็ยิ่งโกรธเกลียดมากขึ้นเท่านั้น ราดหน้าทะเลงี่เง่าไม่เข้าท่าที่ทานไปไม่ถึงครึ่งจาน วีนัสรวบช้อนและบอกกับทุกคนว่าขอตัวไปตามหาน้องสาว
บานเช้าออดอ้อนขอให้ลุงของเธอพานั่งเรือเที่ยวรอบเกาะ รณรงค์ใจหนึ่งไม่อยากขัดหลานสาว แต่อีกใจอยากอยู่ดูแลงานที่นี่อย่างไม่ให้คลาดสายตาด้วยห่วงว่าจะมีใครก่อเรื่อง
“เราก็รู้ ลุงต้องทำงาน”
“ฮึ!” บานเช้ายกมือกอดอกทำหน้าตูม “อาบัวไม่อยู่คนหนึ่งแล้ว ลุงรอนก็ยังจะมาเห็นงานสำคัญกว่าหนูอีก สรุปว่าหนูต้องกลายเป็นหมาหัวเน่าจริงๆ อย่างที่คิดเอาไว้เลยใช่ไหมเนี่ย!”
เจอลูกไม้เก่าเข้าไป ลุงรอนของบานเช้าเลยไม่รอด ยักคอหงึกหงัก
“ก็ได้ๆ” ก็เขามีหลานสาวคนนี้คนเดียวในชีวิตนี่นะ บานเช้ายิ้มบานแฉ่งอย่างกำชัยชนะอีกตามเคย ขณะที่วีนัสดูรูปการณ์แล้วไม่น่าเข้าหาใครได้เลยทั้งรณรงค์ทั้งอิสรภาพ เดินเซ็งๆ กลับมาที่อาคารเอ รีสอร์ทนี้เมื่อไหร่จะรีโนเวทเสร็จสักที อยู่รกร้างวังเวงอย่างกับมีผีสิง กวาดตามองหาพัดชาก็ไม่พบ ไม่รู้ไปทำดราม่าน้ำตาแตกอยู่ที่ไหน
ในห้องแคบใต้ตึกพัดชายังคงพยายามกวาดตาหาที่มาของเสียงเรียก หรือบางทีเธอหิวข้าวจึงหูแว่ว หันหลังจะเดินกลับออกไป แต่ลมแรงพัดบานประตูกระจกปิดดังปึง! ทำใจดีสู้เสือ บอกตัวเองว่าไม่มีอะไรหรอก เดินมาถึงก็รีบคว้ามือจับประตู ปรากฏว่าเปิดไม่ได้ ออกแรงดึงเท่าไหร่ก็ยังเปิดไม่ได้ เหมือนว่าประตูมันจะถูกล็อคจากภายนอก ครั้นแสงสว่างลอดเข้ามาไม้ได้ ห้องทั้งห้องจึงมืดสนิท
หญิงสาวรีบหยิบโทรศัพท์หวังจะกดหาใครสักคน..วีนัสหรืออิสรภาพดีล่ะ เธอไม่มีเบอร์โทรศัพท์ของใครเลยนอกจากสองคนนี้ หัวใจเต้นตุ้มๆ ต่อมๆ ถึงจะเป็นสาวขาลุย ไม่เคยหวั่นทั้งงานหนักงานเบา แต่ก็ไม่ได้แปลว่าจะไม่กลัวผีนะ! สุดท้ายมือสั่นๆ ก็ตัดสินใจกดไปที่หมายเลขของวีนัส นานจนเพลงรอสายจบไปสามรอบวีนัสก็ยังไม่รับสาย ก่อนที่เครื่องจะขึ้นข้อความอำลาและดับไปดื้อๆ
“แบตหมด!” หญิงสาวพ่นเสียงลมหายใจใส่ตัวเอง โกรธโชคชะตาที่ส่งความซวยมาให้ไม่รู้จักหยุดจักหย่อน เหลียวซ้ายแลขวารอบตัวมือตึ๊ดตื๋อ ทันใดนั้นเสียงวัตถุตกกระทบพื้นดังตุ้บ! พัดชากรีดร้องเสียงหลง
“ว๊ายยยย” มือเย็นเฉียบจนเหมือนจะกลายเป็นน้ำแข็งตะครุบปิดตาอัตโนมัติ ก่อนที่เสียงร้องเหมี้ยว...วววว จะดังขึ้น แล้วอาการใจหายใจคว้ำทั้งหมดก็โล่งเป็นปลิดทิ้งราวกับได้ยกภาพผีหัวขาดออกจากอก
“โธ่ เจ้าเหมียว” ลูกตาวาวๆ สะท้อนให้เห็นว่าเจ้าของเสียงตัวน้อยนั่งจุ้มปุ้กอยู่ตรงมุมผนังห้องข้างหน้านี่เอง เธอเดินเข้าไปอุ้มมันขึ้นมาแนบไว้กับอก ลูบมือลงเบาๆ บนขนนุ่มที่เต็มไปด้วยหยักไย่ไยแมงมุม
“ไม่ต้องกลัวนะเจ้าเหมียว เราต้องหาทางออกไปจากที่นี่ แต่ก็คงต้องรอจนกว่าจะมีใครผ่านมา” ว่าแล้วก็กระเตงเจ้าเหมียวเดินกลับไปที่ประตู ส่งเสียงตะโกนขอความช่วยเหลือพร้อมๆ กับที่ในใจเฝ้าภาวนาให้มีใครสักคนเดินผ่านมา
แผนปรับปรุงรีสอร์ทเริ่มต้นจากงานโครงสร้างสถาปัตย์ ตามไทม์ไลน์งานก่อสร้างกลุ่มอาคารเอ-บี-ซีถูกจัดลำดับเข้ารื้อถอนก่อนเพื่อให้แล้วเสร็จภายในหนึ่งเดือน หลังจากนั้นเริ่มลงโครงสร้างใหม่ ทำควบคู่ไปกับงานแลนด์สเคป รณรงค์คาดหวังมากในเรื่องความโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ตามที่ทีมงานของอิสรภาพโฆษณาชวนเชื่อเอาไว้ ส่วนกลุ่มอาคารทรงไทยที่จะปรับเปลี่ยนเป็นพูลวิลล่านั้น ผู้รับเหมามีแผนจะเข้ารื้อทุบบางส่วนต้นเดือนหน้า
บ่ายแก่ อิสรภาพปลีกตัวจากผู้รับเหมาเดินตามหาพัดชาด้วยความเป็นห่วง และเนื่องจากโทรศัพท์ติดต่อเธอไม่ได้ เขาจึงขอแรงคนงานช่วยกันออกตามหา วีนัสก่นด่าอยู่ในใจ นังน้องตัวดีคงกำลังหาทางเรียกร้องความสนใจจากอิสรภาพ ซึ่งเธอจะไม่ยอมให้พัดชาทำสำเร็จ
อาณาบริเวณเกินกว่าสองร้อยไร่อันเป็นที่ตั้งของรีสอร์ท ไม่มีทั้งพิกัดสัญญานอินเตอร์เน็ต ส่วนคลื่นสัญญาณโทรศัพท์ก็เบาบางเหลือแสน หนำซ้ำต้นไม้ใบหญ้าก็เทอะทะหนาทึบ อิสรภาพเริ่มร้อนใจมากขึ้นเมื่อพระอาทิตย์จวนจะลาลับฟ้าแต่ยังหาพัดชาไม่พบ
“จวนจะค่ำแล้ว ถ้ายังหาไม่เจอคงหาต่อไปลำบากครับ เพราะระบบไฟฟ้าจากพลังงานโซล่าเซลของที่นี่ซัพพอร์ตเฉพาะช่วงกลางวัน” หัวหน้าทีมผู้รับเหมาเอ่ย
“โทรบอกนายหัวดีไหมครับ”คนงานท้องถิ่นคนหนึ่งออกความเห็น “นายหัวรู้จักที่นี่ดีทุกซอกทุกมุม หลับตาเดินยังได้” เขาว่า ซึ่งอิสรภาพก็เห็นด้วย และป่านนี้รณรงค์คงพายัยหนูบานเช้าท่องเที่ยวจนจบทริปแล้ว วีนัสแอบเบือนหน้าหนีขึ้นฟ้าไปทำปากขมุบขมิบสาปแช่งให้ยัยน้องเนรคุณหลงทางติดอยู่ที่นี่ไปจนถึงพรุ่งนี้เช้า
คุณลุงผู้แสนดีพาหลานสาวล่องเรือเที่ยวรอบเกาะจนจบทริป และกลับถึงบ้านตั้งแต่สองชั่วโมงที่แล้วพอรับสายจากอิสรภาพขอความช่วยเหลือตามหาพัดชาที่หายตัวไปก็รีบขับรถย้อนกลับไปที่รีสอร์ททันที สังหรณ์อยู่แล้วว่าต้องเกิดเรื่อง เขาแบกหน้าเข้มๆ ลงมาจากรถ เห็นกลุ่มผู้รับเหมาและคนงานยืนรออยู่ก็นึกโกรธที่ผู้ช่วยของอิสรภาพดีแต่ก่อเรื่อง แต่ในความโกรธเขาก็ไม่วายกังวลว่าถ้าค่ำแล้วยังหาไม่พบ พัดชาอาจได้รับอันตรายไหนจะงูเงี้ยวเขี้ยวขอ ทั้งยังแมลงมีพิษที่ชอบออกหากินยามราตรี แต่ที่สำคัญเขาจำได้ว่าพัดชายังไม่ได้ทานข้าวกลางวัน
รณรงค์หยิบไฟฉายที่มีติดรถเป็นประจำด้วยนิสัยรอบคอบแจกจ่ายให้กับทุกคน บอกเส้นทางปลีกย่อยรอบๆ รีสอร์ทพร้อมทั้งกำชับทุกคนให้หาดูอย่างละเอียด โดยเฉพาะห้องบางห้องที่อยู่ในจุดอับยากต่อการมองเห็น รวมถึงแนวต้นไม้ใหญ่กิ่งใบหนาทึบหรือพงหญ้ารกๆ ก็ห้ามละเลย
ยิ่งเห็นว่าทุกคนกระจายกำลังออกตามหาพัดชากันจ้าละหวั่นโดยเฉพาะอิสรภาพที่ดูออกอาการเป็นห่วงเป็นใยมากกว่าใคร วีนัสยิ่งเดือดดาล แทนที่จะได้กลับไปนอนแช่น้ำอุ่นในอ่างสบายๆ ที่บ้านของรณรงค์ ดันต้องมาเดินฝ่าความมืดตามหายัยคนก่อเรื่องในรีสอร์ทร้างวังเวงแบบนี้ โอ๊ย! วีนัสล่ะเบื่อ!
นาฬิกาบอกเวลาหนึ่งทุ่มตรง ปกติหลังพระอาทิตย์ตกไปแล้วที่นี่จะมีเพียงแสงไฟสำรองจากสปอตไลท์ที่ส่องเข้าหาทะเล ในตัวรีสอร์ทตอนนี้จึงมืดและเงียบสงัด นอกจากไฟฉายที่มีอยู่ในมือกันคนละกระบอกก็ปราศจากแสงสว่างอื่น วีนัสเป็นผู้หญิงคนเดียวที่เหลืออยู่จึงขอตัวรออยู่ในรถ คนอื่นไปด้วยกันเป็นคู่บ้าง เป็นกลุ่มบ้าง ส่วนนายหัวรอนรู้จักที่นี่ดีจึงไปเพียงลำพัง ถึงอย่างไรก็ต้องตามหาเธอให้เจอ รณรงค์บอกกับตัวเอง ไม่ใช่เป็นห่วงเป็นใยเธอหรอก แค่ไม่อยากให้ใครมาเป็นอะไรในรีสอร์ทของเขาเท่านั้น
รีสอร์ทฝั่งอาคารซีที่แทบจะเดินผ่านไปแล้ว รณรงค์ได้ยินเสียงกุกกักแว่วมาในรัศมีใกล้ๆ ในความสงัดเสียงทุ้มขรึมของรณรงค์ตะโกนขึ้น
“พัดชา..” ดังกึกก้องจนสะท้อนไปทั่ว เสียงกุกกักดังขึ้นอีก ชายหนุ่มเหลียวหลังไปที่กลุ่มห้องชั้นล่างใต้อาคาร เงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจ เสียงนั้นลอดมาจากห้องกระจกซึ่งอดีตเคยเป็นห้องเพนทรี่แม่บ้าน วิ่งไปถึงหน้าประตูพบว่าตะขอสับสนิมเขรอะหักคาอยู่กับตัวล็อค
“อยู่ในนั้นรึเปล่าพัดชา” ไม่ใช่แค่ตะโกนก้อง หากมือยังตะบี้ตะบันทุบปังๆ เสียงเล็กตะกุยครืดคราดบนบานประตูสะท้อนออกมาจากด้านใน และไม่ว่าในนั้นจะใช่พัดชาหรือเปล่ารณรงค์ก็ไม่ลังเล สีข้างกำยำพุ่งเข้ากระแทกบานประตูสุดกำลัง ประตูเก่าเปิดผลัวะออก ลูกแมวขนขาวปุกปุยกระโจนออกมา ร่างเล็กๆ ของพัดชานอนฟุบอยู่บนพื้น ความคิดโกรธที่เธอก่อเรื่องจนทำเอาวุ่นวายกันไปหมดผลุบหายไปไหนเสียแล้วไม่รู้ ชายหนุ่มปราดเข้าไปประคองเธอขึ้นจากพื้น มือใหญ่ตะปบใบหน้าน้อยเขย่าเบาๆ ให้คนหมดสติรู้สึกตัว
"พัดชา ตื่นสิ พัดชา" แต่เปล่าประโยชน์ ปลุกเรียกอย่างไรเจ้าตัวก็ไม่ขยับ เนื้อตัวเธอเย็นเฉียบ รณรงค์ไม่มัวชักช้าร่ำไรช้อนตัวเธอขึ้นกอดไว้ในอ้อมแขน สาวเท้าไวๆ พาเธอกลับมาที่รถรวดเร็วราวกับเหาะ
วีนัสมองเห็นนายหัวรอนเดินดุ่มหน้าตาขึงขังมาที่รถ ร่างของพัดชาหลับใหลอยู่ในอ้อมแขนเขา วีนัสเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน เขาไปเจอตัวมาจากไหนนะ น่าจะหลงเข้าป่าหรือตกทะเลตายไปเสียให้รู้แล้วรู้รอด นังน้องสารพัดพิษ นี่คงคิดจะยั่วยวนรณรงค์และเรียกร้องความเห็นใจจากอิสรภาพ ไม่กวาดเอาทีมผู้รับเหมา คนงาน และผู้ชายทั้งเกาะไปด้วยเลยล่ะ!