ธรรมะเป็นของพระพุทธเจ้าหรึอไม่

กระทู้คำถาม
กล่าวคือวันนี้ผมใด้ฟังการบัญยายธรรมะของพระอาจารย์ท่านหนึ่งท่านบอกว่าธรรมะเป็นของพระพุทธเจ้าพระอาจารย์ท่านนั้นกล่าวว่าพระพุทธเจ้าคิดเองและบัญญัติใว้นั้นว่าเป็นของพระพุทเจ้าไม่ใช่ของไครเป็นของพระพุทธเจ้าทั้งหมด (พูดภาษาบ้านๆก็แล้วกันว่าธรรมะหรึออะไรก็ดีที่พระพุทธเจ้าบัญญัติใว้เป็นของพระพุทธเจ้าหมด ว่าพระพุทธเจ้าคิดเองทำเองและบัญญัติเอง พระอาจารย์ท่านนั้นบัญยายตามที่ผมกล่าวมาข้างต้นนั้นและ
     แต่บางพระสูตรและพุทธประวัติบอกใว้ว่าธรรมะหรึออะไรก็ดีที่พระพุทธเจ้าได้บัญญัติใว้นั้น พระพุทเจ้าบอกว่าไม่ชั้ยของพระองค์ พระองค์บอกว่าเป็นของโลกเป็นของธรรมชาติไม่ชั้ยของพระองค์ พระองค์บอกว่าพระองค์เป็นคนเห็นธรรมะและเห็นสัจธรรมคือสี่งที่เป็นจริงตามธรรมชาติที่มีอยู่แล้วเมื่อพระองค์
ที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้ นั้นก็หมายความว่าธรรมะหรึอสี่งที่พระองค์บัญญัติไม่ชั้ยของพระอง แต่พระอาจารย์ท่านนั้นบัญยายว่าเป็นของพระพระพุทธเจ้าได้อย่างไร เรื้องที่ผมกล่าวมานั้นจะถูกหรึอผิดเช่นใดก็ตาม ขอให้ท่านผู้รู้ช่วยแบ่งบัณความรู้นั้นๆแก่ข้าพเจ้าด้วย
แล้วพระอาจารย์ท่านนั้นก็ยังบัณยายอีกว่าบัณยายตามพุทธวจน จากพระโอษฐ์ของพระพุทธอวค์ อันนี้ไม่ได้หมายความว่าผมมีตรรกะน่ะครับผมพูดตามที่ใด้ยินและใด้เรียนรู้มา (หมายเหตุ ภาษาอาจจะเขียนไม่ตรงเพราะว่าเป็นคนลาว )
แก้ไขข้อความเมื่อ
คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 31
ธรรม คือสิ่งที่มีอยู่แล้ว
จะมีพระพุทธเจ้าเกิดขึ้นหรือไม่ก็ตาม
ความสุขก็เป็น 'ธรรม' เมตตา ก็เป็น 'ธรรม' ใช่มั้ยครับ
ความทุกข์ ก็เป็น 'ธรรม' โทสะ ก็เป็น 'ธรรม' ใช่มั้ยครับ
ในที่นี้ สุข ทุกข์ เมตตา โทสะ เป็นเพียงตัวอย่างธรรม  เพื่อให้เห็นว่า ธรรม ไม่ได้มีด้านกุศลด้านเดียว ด้านอกุศล ก็เป็นธรรม เช่นกัน (อกุศลธรรม)

ไม่ว่าจะ ก่อนหน้า หรือภายหลังจากมีพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นในโลกแล้ว
ก็มีความสุข ความทุกข์ มีเมตตา มีความโกรธ หรือธรรมอื่นๆ อยู่แล้ว ใช่มั้ยครับ

ดังน้ันแม้จะไม่ทรงอุบัติในโลก แม้จะไม่ทรงสอน แม้จะไม่ทรงบัญญัติจำแนกธรรม ให้เห็น ให้เข้าใจ ให้ได้รับรู้
ก็มีสิ่งเหล่านี้อยู่แล้ว (มีอยู่ก่อนแล้ว และยังมีต่อไป) ใช่มั้ยครับ

เพียงแต่พระองค์เปิดธรรมให้เห็นได้ชัด เหมือนการที่หงายของที่ถูกปิดคว่ำอยู่ให้ได้เห็น เหมือนการจุดไฟในที่มืดเพื่อหวังว่าคนตาดีจะได้มองเห็นว่ามีอะไรอยู่ตรงน้น
และทรงบัญญัติธรรมอย่างเป็นหลักเพื่อศึกษาและปฏิบัติขึ้นมาเพื่อบอกสอนให้คนสามารถดำเนินตามได้ ถึงความพ้นทุกข์ตามได้

ธรรม ในลักษณะนึง จึงเป็นสิ่งที่มีอยู่ก่อนแล้วโดยธรรมชาติ เพียงแต่ทรงบอกสอนให้เห็น ให้ดำเนินตาม
ธรรม ลักษณะนี้จึงไม่มีใครเป็นเจ้าของ

ธรรม ในอีกลักษณะนึง เป็นสิ่งที่ทรงวางเอาไว้ บัญญัติเอาไว้
โดยทรงเห็นว่าสิ่งที่พระองค์ทรงตรัสรู้น้ันเป็นสิ่งที่บอกสอนให้คนอื่นเห็นและเข้าใจได้ยาก
เพื่อบอกสอนได้ว่าทรงตรัสรู้อะไร จะเห็นตาม ดำเนินตามได้อย่างไร ควรทำอะไร อย่างไรบ้าง ไม่ควรทำอะไร อย่างไรบ้าง
ทรงแจกแจง จำแนก ออกเป็นหมวดหมู่ เพื่อการทบทวนทำความเข้าใจ และพิจารณาได้อย่างเป็นระบบ
ตลอดจนการเปรียบเทียบกับอะไรบางอย่างให้เห็นภาพของธรรมนั้นๆ ได้ชัดขึ้นด้วยการอุปมา
ซึ่งล้วนเกื้อหนุนซึ่งกันและกัน เป็นองค์รวมเดียวเพื่อนำไปสู่จุดมุ่งหมายหรือถึงความพ้นทุกข์ได้
ธรรม ลักษณะนี้จึงเกิดจากปัญญาตรัสรู้ของพระองค์ ที่ไม่ได้มีอยู่โดยธรรมชาติครับ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่