[เล่ารวดเดียวจบ] แอบรักมาราธอนตั้งแต่วัยอนุบาลจนถึงวัยทำงาน นานเกินไปนะ T^T

กระทู้สนทนา
เอ่อ จริงๆ ไม่ใช่วาระที่ควรเล่าในช่วงปีใหม่ หรืออยากจะเล่าให้ใครรู้ขนาดนั้นหรอกนะคะ
แต่จู่ๆ พอเจอคำถามนี้เข้าไป
http://ppantip.com/topic/33038613/comment517
เคยคุยกับใครนานๆแต่ไม่ได้คบกันมั้ยคะ เเล้วความสัมพันธ์จบแบบไหนเหรอคะ ขอบคุณคะ

ทำเอาความทรงจำมันกระพือออกมาอ่ะค่ะ
ก็เผลอเขียนเล่ายาวจนคิดว่ามาเปิดกระทู้ใหม่เถอะ

เราเคยคุยกับเพื่อนเก่า ที่เรียนด้วยกันมาตั้งแต่อนุบาลจนถึงวัยทำงาน แต่ไม่ได้ลงเอยกันซักที
สปอยตอนจบแบบนี้จะสนุกกันรึเปล่าหว่า แต่ลองอ่านกันดูนะคะ

เรากับเค้าแอบเป็นคู่จิ้นกันตั้งแต่อนุบาล
เพราะเราออกตัวแรงแบบแย่งคู่ผู้ชายมาจับคู่เต้นงานโรงเรียนอ่ะ ก็จองคนนี้ของฉัน
เราสองคนไม่ได้สนิทกันนะแต่คุ้นเคยกันดี จน ป.4-5 ถึงเริ่มมาสนิทกันมากขึ้น
แล้วเค้าดูจะแอบชอบเราอ่ะ เราก็เหมือนกัน แต่เรายังไม่แน่ใจ และไม่ได้คิดอะไร

แล้วในวัยเด็กก็มีดราม่าแบบฟ้าผ่าเปรี้ยง
นอกจากดราม่าครอบครัวที่ไม่ค่อยอบอุ่นแล้ว
เรายังถูกแบนจากกลุ่มเพื่อนสนิทอีก
เราเองยังงงด้วยซ้ำกว่าจะรู้สาเหตุที่เพื่อนโกรธก็จบ ป.6 และเสียเพื่อนสนิทไป

ช่วงนั้นเคว้งคว้างอ้างว้างสุดๆ แล้วสำหรับเด็กคนนึง
โชคดียังมีเพื่อนผู้หญิงที่เข้าใจเรา เลยได้เพื่อนสนิทกลุ่มใหม่
และก็มีกลุ่มเพื่อนผู้ชายของเค้านี่แหละที่ทำให้เรายังพอมีที่พึ่ง
นี่ก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่เราเริ่มสนิทกันโดยไม่มีใครมาล้อ

จนกระทั่งเย็นวันนึง เค้าก็มาแอบนัดขอพบเราหลังเลิกเวร
แล้วก็ยื่นพวงกุญแจรูปหัวใจสีชมพูใส มีกระดิ่งมุ้งมิ้งให้เรา
บอกว่าเป็นของฝากจากไปเที่ยวต่างจังหวัด
มีย้ำว่าให้เก็บไว้ดีๆ ด้วยนะ แล้วเก็บเป็นความลับอย่าบอกใครนะ
ตอนนั้น ป.6 เป็นครั้งแรกที่ใจเต้นตึกตัก และอึ้งสุดๆ
วันต่อมาเห็นของฝากที่เค้าให้เพื่อนคนอื่นนี่ไม่เหมือนของเราเลย แตกต่างกันชัดเจนมาก เราก็แน่ใจแล้วแหละ

แต่หลังจากวันนั้นก็ไม่มีอะไรได้แต่เขินกันไปมา
เราเก็บพวงกุญแจไว้อย่างดีในผอบ ฮ่าๆ ไม่กล้าเอามาห้อยให้ใครเห็น
และไม่บอกใคร กลัวถูกแซว เพราะโดนล้อหนัก
เหมือนเป็นวัยที่เด็กชอบจับคู่เพื่อนต่างเพศที่สนิทกัน มีร้องเป็นเพลงล้อ นำโดยคุณครูสันทนาการ
คล้ายเป็นพิธีละลายพฤติกรรมที่สนุกสนานสำหรับทุกคนแต่คนโดนมันเขิน
ช่วงนั้นยิ่งทำให้ไม่กล้าคุยกันใหญ่ ต่างฝ่ายต่างเป็นพวกขี้อายมากๆ เรียบร้อยเด็กเรียนด้วย
หลังจากจบประถมก็ไม่ได้ติดต่อกันอีก

จนกระทั่งมาเจอกันตอนม.4
เค้าย้ายมาเข้า รร.ชายล้วน ใกล้รร.หญิงล้วนที่เราเรียน เลยได้บังเอิญเจอกันบนรถเมล์
เจอกันครั้งแรกแอบอึ้ง เขินทำตัวไม่ถูก สมองวิ้งมาก รู้สึกตัวลอยเบาหวิว เหมือนโลกหยุดหมุน
แล้วเค้ารุกมากชวนเราคุยอยู่นานตลอดทาง จนถึงขั้นขอเบอร์ด้วยอ่ะ อยากจะกรี๊ด
แล้วเค้านี่เป็นหนุ่มแว่นตี๋หล่อเรียนเก่งอ่ะ แอบเป็นเสป็คตอนนั้นเลยด้วย
จริงๆ ก็แอบมีใจชอบเค้ามาแต่เด็กนะ แต่ทำเป็นเฉยๆ มาตลอด
ยุคนั้นเราไม่มีมือถือหรอก แต่มีพีซีที
จำได้ว่าไม่ได้ให้เบอร์ไป บอกแค่ว่าใช้เบอร์บ้านเบอร์เดิมนั่นแหละอะไรงี้มั้ง
พอยิ่งใกล้ถึงป้ายรร. เค้า เค้าต้องลงก่อนเรา เค้ายิ่งรุกหนักอ่ะ คงจะกลัวพลาดโอกาส
เรางี้ตอนนั้นหน้าสิวด้วยอ่ะ เพิ่งเริ่มแตกเนื้อสาว เริ่มไว้ผมยาว
ใจเรานี่แอบไม่พร้อมเท่าไหร่
แต่ก็ยอมสัญญานัดเจอกันทุกวันจันทร์เพื่อขึ้นรถเมล์ไป รร.ด้วยกัน
เค้าจะมารอเราที่ป้ายใกล้ หน้าบ้านเราทุกเช้า
ถ้ามองจากตึกแถวบ้านเราไปก็จะมองเห็นได้

ปรากฏว่าเราอึดอัดมาก เราเป็นเด็กเรียนแต่ชอบตื่นสายไป รร. สายประจำ
พอมีนัดกับผู้ชายก็ไปทันแค่ครั้งแรกๆ นอกนั้นผิดนัดจนรู้สึกผิด
เราเครียด บางทีพยายามโทรบอกเค้าว่าไม่ต้องรอนะ
เค้าก็ไม่รู้ตัวไม่รับสายอีก ทำให้เราไม่สบายใจทั้งวันกลัวเค้าจะเสียใจ
เราก็ต้องโทรไปขอโทษตอนเย็นหลังจากกลับบ้าน
แต่พอโทรไปหาเค้าก่อน เค้าจะดูตกใจไม่ได้เตรียมตัวเตรียมใจคุยกับเรา ก็จะรีบวางสายตลอด
ทุกอย่างมันไม่ธรรมชาติ มันติดๆ ขัดๆ
บางทีเค้าอยากนัดเรามาติวหนังสือสวนจตุจักร มันไกลมากสำหรับเรา
แล้วเรานี่ก็ไม่ชอบไปไหนง่ะ ไปไหนไม่เป็นเลย
ยิ่งไปที่ไกลๆ แปลกที่แปลกทางก็กลัว คือบ้านเค้าย้ายไปอยู่ชานเมือง ส่วนเราอยู่ในเมืองสุดๆ
เราไม่สะดวกก็ไม่ไป ปฏิเสธตลอด

ความบันเทิงของเราคืออ่านหนังสือดูทีวีอยู่บ้านแค่นั้น สยามยังเดินไม่เป็นไปไม่ถูก
จริงๆ ถ้านัดเดทปกติแบบเดินห้างกินข้าวดูหนังในที่ๆ ไม่ไกลมากเราอาจตกลงนะ
แต่เราก็ไม่ถึงกับอยากนัดเองอ่ะตามนิสัย
แล้วในที่สุดก็นัดเดทนอกสถานที่ครั้งแรกได้สำเร็จ ลงล็อกที่งานสัปดาห์หนังสือ
ตอนนั้นแฮปปี้มากนะ รู้สึกอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก ได้เดินดูหนังสือด้วยกัน ได้จับมือเพราะคนเบียด

แต่สักพักก็กลับมาเครียดกับความสัมพันธ์อีก
อึดอัดกับการรับโทรศัพท์ที่ไม่รู้จะคุยอะไร มีแต่เรื่องเดิมๆ
เราไม่ใช่ผู้หญิงเจ๊าะแจ๊ะเป็นธรรมชาติอ่ะ ออกจะจืดๆ มักคุยแบบเพื่อนกัน
รู้สึกเลยว่าไม่พร้อม วันดีคืนดีเค้าก็โทรมาสารภาพรัก แบบชอบเธอนะ เราก็รู้อยู่แหละแต่ก็ยังอึ้ง
แม้เราจะพอมีใจแต่ก็ตอบปฏิเสธไปทำนองว่าขอเป็นเพื่อนกันไปก่อนนะ เรายังไม่พร้อมมีแฟน
แล้วเค้าก็จ๋อยๆ หายเงียบไปพักนึงเลย
เราสงสารเค้านะ แต่เราเตรียมคำตอบที่ถนอมน้ำใจกว่านี้ไม่เป็น ไม่รู้จะบอกความรู้สึกตอนนั้นยังไง

หลังจากนั้นเค้าก็ไม่โทรมาอีกเลย
แต่ตอน ม.6 ฮิตเล่น MSN กัน เราก็เลยได้กลับมาแชทคุยกับเค้า
ไม่ค่อยจะเป็นไปในเชิงจีบกัน เราพยายามจะพรีเซนตัวตนของเราจริงๆ ตลอด เช่น เราเป็นสาววายเค้าก็รู้

กลับกัน เราแทบไม่รู้จักเรื่องราวทางฝ่ายเค้าเลย
เค้าไม่ยอมแชร์อะไรเลย ไม่เล่าเรื่องเพื่อน ครอบครัว ความชอบของเค้าเท่าไหร่นัก
ไอ้เราก็เป็นพวกไม่ค่อยถาม ชอบให้เล่าเองมากกว่าไม่กล้าละลาบละล้วง เป็นแบบนี้กับทุกคน
เป็นคนมนุษยสัมพันธ์ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ด้วย โตมาเป็นวัยรุ่นที่ไม่ค่อยมีความมั่นใจในตัวเอง

ลึกๆ เราไม่เชื่อเท่าไหร่ว่าเค้าจะชอบเราแบบที่เราเป็นจริงๆ เรารู้สึกเค้าหลงรักเราตอนเด็กมากกว่า
แต่โตขึ้นเราก็ต่างออกไปมาก ไม่ใช่คนร่าเริงพาเพื่อนหัวเราะแบบแต่ก่อน

เราพัวพันกับหนุ่มคนนี้ยาวนานมาก
ไม่มีอะไรคืบหน้าเป็นแบบนี้จนถึงมหาลัยเลย เราปล่อยให้มันเป็นไป เค้าก็ไม่เร่งรัด
ใจเราอ่ะอยากให้เค้าไปคบกับคนอื่นดีกว่า เราไม่ได้คบแบบกั๊กๆ นะ เราชัดเจน
แต่สงสัยจะยังเหมือนให้ความหวังเค้าอยู่ แล้วเราก็ดันไม่มีใครเข้ามาจีบเลยนะจนถึงตอนนี้ ฮ่าๆ

ขอเล่าถึงวัยทำงานเลยนะ มันจะมีบทสรุปสำหรับตัวเราเอง
ก็เหมือนเค้ายังหวังจะจีบเราอยู่น่ะแหละ เราก็ให้สถานะความเป็นเพื่อนเหมือนเดิม
พอนานๆ เข้า เราก็เริ่มใจอ่อน พยายามจะให้โอกาสเค้าหลายที
แต่สุดท้ายมันมีความไม่โอเคอยู่หลายๆ จุด
เค้าไม่ช่วยเติมเต็มให้เราเลย ผลุบๆ โผล่ๆ จนเราค่อยๆ หักคะแนนเค้าไปเรื่อยๆ ในใจ
มีครั้งนึงเจ็บใจมาก เราจบใหม่ ทำงานโดนกดเงินเดือน ได้แค่ 2,500-5,000 บาท
แต่เราแค่อยากลองสายอาชีพใหม่ๆ ผู้คนใหม่ๆ
จริงๆ เราอยากทำงานอิสระทางศิลปะของเรามากกว่า ซึ่งหาเงินได้มากกว่าเงินเดือน 3 เท่า
แต่ด้วยแม่บังคับว่าต้องมีงานทำก็เลยทำเป็นพิธีในระหว่างสับสนกับชีวิตว่าจะไปทางไหน
ที่ทำงานที่แรกเราอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีแต่ผู้ชายห่ามๆ บริษัทโฆษณาเล็กๆ แถวบ้าน
เราพยายามจะทำตัวไม่แต่งสวยเพราะทำให้รู้สึกเคอะเขิน
แล้วไม่รู้ทำไมโชคชะตาต้องให้เราบังเอิญเจอเค้าในวันนึงแบบไม่ตั้งตัวอีกแล้ว

วันนั้นจู่ๆ รถเมล์ก็ทิ้งผู้โดยสารกลางทาง แถววัดแห่งหนึ่ง
เราก็ต้องลงอย่างเซ็งๆ รอคันใหม่ ทว่าพ่อพระเอกเค้าก็โทรมาหาเราหลังจากแทบไม่ได้ติดต่อมาเลย
แล้วขุ่นพระ ดันอยู่ที่วัดนั้นพอดีจร้า ละครมากๆ

เราก็เลยได้รอเจอเค้าที่ป้ายรถเมล์หน้าวัดนั่นแหละ
เค้ามาไหว้หลวงพ่อที่เคยมาบวชด้วยที่นี่ (อะไรจะประจวบเหมาะขนาดนี้)
ช่วงนั้นนี่คือเราไม่ได้ติดต่อเค้าเลย ต่างคนต่างไม่รู้ว่าใครทำงานอะไรที่ไหน
แม้ว่าตอนนั้นคนเริ่มใช้ Facebook กันแล้วล่ะ แต่เราจะเน้นเล่นเกม

เจอกันก็ถามสารทุกข์สุขดิบ
แล้วเค้าก็แย็บถามเราอีกว่าชอบใครแล้วรึยัง เข้าเรื่องอีกละจ้ะ
จริงๆ ตอนนั้นเราแอบชอบเพื่อนที่ทำงานอยู่แหละแต่เราคิดว่ายังไงก็ไม่มีทางเป็นไปได้ เลยตอบไปว่าไม่มี
เค้าก็เลยเหมือนจะจีบเราอีก แล้วที่เจ็บคือนางชักมาพูดจู้จี้ มาบอกเราให้หัดแต่งตัวแต่งหน้า
เจอประโยคนี้เราจี๊ดมาก ขอโทษเถอะ ได้แต่มาคุอยู่ในใจ ใจนึงก็คิดจะเอาเงินที่ไหนแต่ง
เราแต่งสวยเป็นนะ คือเริ่มดูแลตัวเองมากๆ ตั้งแต่ปี 1 เพื่อพิชิตสิว แต่งตัวแต่งหน้าตลอด
แต่คือวันนี้วันซวยของเรามากนะ จะให้สวยได้ไง
แล้วถ้าแต่งสวยก็โดนคนที่ทำงานเจ้าชู้ใส่ เราก็เบื่อไง
พอเจอคำพูดคำนั้นเรานี่หักลบคะแนน รู้สึกดาวน์แบบทิ้งดิ่งเลย
แต่ก็พยายามฝืนใจไปกินข้าวเย็นกับเค้าตามมารยาทที่ตลาดแถวบ้าน
ไม่มีความโรแมนติกใดใดทั้งสิ้น ข้าวต้มข้างทาง  แล้วก็แยกย้าย
เค้าหายเข้ากลีบเมฆ หลุดวงโคจรเราไปอีก แต่เราก็ยังโอเคกับเค้าในฐานะเพื่อนนะ

จนล่าสุดเมื่อปีที่แล้ว เวลาล่วงเลยมาอีก 3 ปี มาราธอนกันเกินไปละ
เราก็ได้ไปมีตติ้งเพื่อนสมัยประถม ย้อยวัยเยาว์กัน
แล้วเพื่อนเก่าที่มาจีบเราคนนี้เงียบหายจากกลุ่มเพื่อนแบบหายหัวไปเลย ติดต่อไม่ได้หลายปี
ทุกคนก็ถามถึง แล้วก็เริ่มเม้ากันเหมือนรู้อะไร ซึ่งเราพอจะเดาออกว่ามีเราเกี่ยวข้องชัวร์

ทีนี้เราเริ่มไม่แฮปปี้ละ
พอจะปะติดปะต่อได้ว่าเค้าเอาเรื่องเราไปปรึกษากับเพื่อนผู้หญิง
กลุ่มที่เป็นเพื่อนร่วมชั้นสมัยประถมซึ่งไม่ได้สนิทกับเราเลย
ตอนโน้นเรานี่คิดว่าเค้าเบี่ยงไปจีบพวกนางแทนแล้วด้วยซ้ำ
เพราะมีช่วงนึงไปเที่ยวตจว. กันเป็นกลุ่ม แต่ไม่ชวนเราด้วย
ที่แท้ก็ไปดราม่าเรื่องเรากับเพื่อนๆ ซึ่งก็รู้จักเราแค่ผิวเผินมาก

เพื่อนๆ ไม่ผิดหรอก แต่เหมือนทุกคนรวมหัวกันเม้า
โดยที่นึกว่าเราไม่รู้ตัวว่าผู้ชายพยายามจีบเราอยู่
ไม่มีใครรู้ในรายละเอียดว่าผู้ชายพยายามสานสัมพันธ์กับเรามาหลายปีแล้วแต่ยังไม่ชนะใจเราซะที
เรารู้สึกหน้าชา ต้องทำเป็นไม่รู้ตัวว่าโดนเม้า และดูเหมือนมีแต่คนห่วงฝ่ายชายที่กินแห้ว
ไม่มีใครคิดถึงใจเราเลย ไม่ถามซักคำด้วยซ้ำ
แต่ก็พอเข้าใจแหละว่าเรื่องส่วนตัว ไม่สนิทกันมากก็คงไม่กล้าถาม
แต่ถ้าจะเม้าซะขนาดนี้ก็ถามกันตรงๆ เลยดีกว่า

ทีนี้มีเพื่อนคนนึงจะแต่งงาน ก็เลยนัดเจอกลุ่มเพื่อนสมัยประถมกันอีกในงานแต่งในไม่กี่เดือนถัดไป
พอถึงวันงานพ่อพระเอกก็โผล่มา นางพุ่งมาหาเราทำท่าจะจีบอีกแล้วจ้า
แต่เรานี่อารมณ์มาคุหน้าหงิกใส่ ไม่ยอมคุยด้วย
ก่อนหน้านี้พยายามหาเบอร์จะโทรไปคุยด้วยแล้วแต่หาไม่ได้
อยากระบายความรู้สึกจริงๆ ทั้งหมดให้เค้ารู้
เพราะเราเริ่มโกรธเค้ามากจนแบบไม่อยากแม้แต่เป็นเพื่อนด้วยแล้วนะ

แล้วในงานนี่เพื่อนยิ่งชงเรายิ่งหน้าชาง่ะ
เกลียดสถานการณ์ชวนอึดอัดและถูกเม้าลับหลังที่สุด
เราชอบคนที่พูดกันเปิดเผยตรงๆ คนที่เป็นผู้นำ ไม่ขี้อายขี้กลัว
สรุปคือก็กลายเป็นว่าเราไม่มองหน้าและไม่คุยกับเค้าตลอดงานเลย
และไม่แม้แต่คิดจะให้ความหวังเค้าอีกแล้ว คือจบจากใจเลยจริงๆ
.
.
.
ขอบคุณคนที่อ่านเรื่องราวความรักที่จบไม่ลงตัว
อาจจะน่าอึดอัดชวนรำคาญไปหน่อย แต่มันก็ทำให้คนเชื่องช้าเรื่องความรักอย่างเราเข้าใจอะไรๆ มากขึ้น
และเราก็มีส่วนผิด เราไม่กล้าเปิดอกเคลียร์ใจเรื่องความสัมพันธ์กับผู้ชายตรงๆ เพื่อปรับจูนกันให้เข้าใจ
ให้รู้กันไปเลยว่าปัญหามันอยู่ที่ไหน เพราะหลายเรื่องมันละเอียดอ่อน
เรามัวกลัวอยู่นั่น กลัวเค้าเสียใจ ไม่อยากเสียเพื่อนดีๆ ไป
ความรักมันต้องใช้เวลาก็จริง แต่ถ้านานเกินไปแบบเรามันจะทำให้กลายเป็นคาราคาซังเปล่าๆ

ขอแค่กล้าถามกล้าบอกความจริงในใจกันตรงๆ
ทำให้มันง่ายและจริงใจ แล้วจับมือก้าวไปพร้อมๆ กัน
อย่าวิ่งไปก่อนแบบพ่อพระเอกที่พยายามจีบเรา
และอย่าเอาแต่อิดออดไม่ยอมไปต่อโดยไม่แก้ปัญหาให้ตรงจุดแบบเราค่ะ

สุดท้ายฝากถึงชายหนุ่มเพื่อนเก่าของเราคนนั้น
เราขออวยพรให้เค้าพบคู่ชีวิตจริงๆ ของเค้าเร็วๆ
เราอยากเห็นเค้ามีความสุขนะ เค้าเป็นคนที่ดี เป็นผู้ชายอบอุ่นมากๆ คนหนึ่งเลย
ผู้หญิงที่รักเค้า และได้แต่งงานกับเค้าน่าจะเป็นผู้หญิงที่โชคดีมากๆ
สำหรับเรื่องของเราเป็นเรื่องของความไม่พอดีกันเท่านั้นเอง
และเราจะจดจำปั๊บปี้เลิฟครั้งกระโน้นเอาไว้นะ
ขอบคุณสำหรับทุกความรู้สึกดีๆ ความหวังดีที่ผ่านมา
ขอโทษที่ทำให้เสียใจชอกช้ำมายาวนานนะ T^T
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่