เท่าที่รู้อาร์เจนทาวิส แมกนิฟิเซนส์ เคยอยู่บริเวณเทือกเขาแอนดีส ในอเมริกาใต้ รวมทั้งที่ราบปัมปาส ในประเทศอาร์เจนตินา มันมีน้ำหนักพอๆ กับเครื่องบิน "ไลต์แอร์คราฟต์" คือ น้ำหนักกว่า 68 กิโลกรัม
พอสยายปีกแล้ว มันจะดูตัวใหญ่และน่ากลัวเอาเรื่อง เพราะปีกซ้ายจนถึงปีกขวามีความยาวประมาณ 23 ฟุต หรือ 7 เมตร
ศ.สันคาร์ ชัตตารี นักธรณีวิทยาจากพิพิธภัณฑ์มหาวิทยาลัยเทกซัสเทค รัฐเทกซัส สหรัฐอเมริกา ไขความลับ ทำไมอาร์เจนทาวิส แมกนิฟิเซนส์ ถึงบินได้ว่า
ถ้ามีลมหนุนแล้ว นกตัวนี้จะบินได้ประมาณ 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง แต่ละวันมันอาจบินได้ไกลถึง 300 กิโลเมตร
ชัตตารีนำลักษณะการบินของอาร์เจนทาวิส แมกนิฟิเซนส์ ไปวิเคราะห์ โดยใช้ซอฟต์แวร์ที่เลียนแบบการบิน จึงพบว่า อาร์เจนทาวิส แมกนิฟิเซนส์ ก็เหมือนกับนกใหญ่ๆ ที่อยู่บนดินทั่วๆ ไป คือใหญ่เกินกว่าที่จะบิน แต่ถ้ามีอากาศที่เหมาะสมแล้ว มันจะบินได้
อากาศที่เหมาะสมก็คือ เมื่อมีกระแสอากาศไหลขึ้น หรือมีลมยกอยู่บริเวณตีนเขา
ส่วนขั้นตอนที่ยากที่สุดของการบินคือ ตอนบินขึ้น เพราะต้องใช้เทคนิคอย่าง บินลงจากจุดสูงๆ ของเทือกเขาไปจนถึงวิ่งลงจากเนินเขาที่มีความชันประมาณ 10 องศา เพื่อให้ได้พลังงานหนุน หรือมีลมต้านดันอยู่เบื้องหลัง
ส่วนนกอินทรีฮาสท์
ทรีฮาสท์ (อังกฤษ: Haast's Eagle; (ชื่อวิทยาศาสตร์: Harpagornis moorei) คืออินทรีสายพันธุ์หนึ่งซึ่งสูญพันธุ์ไปแล้ว ครั้งหนึ่งมันเคยอาศัยอยู่ที่เกาะใต้ของนิวซีแลนด์ เป็นสายพันธุ์อินทรีที่เชื่อกันว่ามีขนาดใหญ่ที่สุดเท่าที่มีมา
อินทรีฮาสท์มีถิ่นกำเนิดในนิวซีแลนด์ ได้ชื่อว่าเป็นนกอินทรีที่ใหญ่ที่สุดในโลโดยมันมีความยาวจากปลายปีกข้างหนึ่งไปยังอีกข้างหนึ่งกว่า 10 ฟุต หรือสามเมตร น้ำหนักราว 15 -20 กิโลกรัม กรงเล็บของอินทรีฮาสท์มีขนาดพอ ๆ กับเล็บเสือโคร่ง จัดว่าเป็นนักล่าที่น่ากลัวที่สุดของนิวซีแลนด์ เนื่องจากนกอินทรีชนิดนี้อาศัยอยู่ในเกาะใต้ซึ่งพื้นที่ส่วนใหญ่ปกคลุมด้วยป่าหนาทึบ
มันจึงมีปีกที่ค่อนข้างสั้นเมื่อเทียบตามสัดส่วนร่างกาย ทั้งนี้เพื่อให้เป็นประโยชน์ขณะที่บินล่าเหยื่อในป่า ช่วงปีกค่อนข้างสั้นและแผ่กว้างทำให้อินทรีฮาสท์ไม่ร่อนหาเหยื่อจากที่สูงเหมือนอย่างพวกแร้ง แต่มักจะบินไปตามแนวป่ามากกว่า
เหยื่อสำคัญของอินทรีฮาสท์คือบรรดานกโมอาชนิดต่าง ๆ โดยเฉพาะนกโมอายักษ์ที่หนักกว่า 250 กิโลกรัม แม้ว่าโมอายักษ์จะใหญ่กว่าอินทรีฮาสท์หลายเท่า แต่มันก็ค่อนข้างเชื่องช้าและยังมีคอและศีรษะขนาดเล็กทำให้ง่ายต่อการโจมตี โดยอินทรีฮาสต์จะโฉบลงที่ลำคอหรือไม่ก็ศีรษะของเหยื่อ ก่อนใช้กรงเล็บสังหารเหยื่อของมัน เนื่องจากเหยื่อของมันมีขนาดใหญ่มาก อินทรีฮาสต์จึงมักกินเหยื่อที่พื้นและอยู่กับซากเป็นเวลาหลายวัน การที่อินทรีฮาสต์ล่าเหยื่อขนาดใหญ่อย่างนกโมอายักษ์ ก็เพราะว่าในนิวซีแลนด์ มันเป็นนักล่าที่ใหญ่ที่สุดของดินแดนแห่งนี้ ตามปกติสัตว์จำพวกเหยี่ยวและนกอินทรีจะล่าเหยื่อที่มีขนาดเล็กกว่าพวกมันเพื่อให้ง่ายต่อการนำขึ้นไปกินบนกิ่งไม้สูงทั้งนี้ เพื่อไม่ให้ถูกสัตว์นักล่าบนพื้นดินชนิดอื่นที่แข็งแรงกว่ามาแย่งเหยื่อไป แต่ในนิวซีแลนด์ไม่มีสัตว์นักล่าบนพื้นดิน ที่แข็งแกร่งกว่าอินทรีฮาสท์ ทำให้พวกมันสามารถกินเหยื่อบนพื้นดินได้โดยไม่ต้องกลัวถูกแย่งไป ไม่เคยมีชาวผิวขาวคนใดได้เห็น นกอินทรีฮาสท์ คงมีเพียงชาวมาวรีเท่านั้นที่เคยเห็นมัน
พวกมาวรีเรียกนกอินทรีชนิดนี้ว่า "โปวาไก" (Pouakai) ในตำนานพื้นบ้านเล่าว่า มันจะเกาะอยู่บนยอดไม้สูง เมื่อมนุษย์เดินผ่าน มันจะพุ่งเข้าจู่โจมโดยใช้กรงเล็บขยุ้มที่ศีรษะเหยื่อ และเมื่อเหยื่อตายแล้วมันจะนำกลับไปที่รัง เมื่อดูจากกรงเล็บและขนาดของมันแล้ว ก็พอจะกล่าวได้ว่า ตำนานนี้ไม่เกินจริงนัก
ภาพวาดนกอิทรียักษ์ฮาสท์กำลังล่านกโมอา
กระดูกของอินทรียักษ์ ถูกค้นพบครั้งแรกในปี 1871 ระหว่างการขุดค้นกระดูกนกโมอาที่บึงเกลมมาร์ก (Glemmark) ในแคนเทอร์บรี (Canterbury) จากนั้นได้มีการศึกษา และตั้งชื่อในปีต่อมา กระดูกของอินทรีฮาสท์ไม่ได้พบทั่วไป แต่มีอยู่เฉพาะในเกาะใต้ และทางตอนใต้ของเกาะเหนือของประเทศนิวซีแลนด์เท่านั้น
นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่านกอินทรีฮาสท์เป็นนกนักล่าที่น่ากลัวที่สุดของนิวซีแลนด์พวกมันสามารถล่าเหยื่อขนาดใหญ่อย่างนกโมอาที่หนักกว่า 250 กิโลกรัมได้ โดยนกอินทรีฮาสท์จะใช้วิธีพุ่งเข้าชนเหยื่อ แรงปะทะของมันจะทำให้นกโมอาเสียหลักล้มลง จากนั้นมันจึงเล่นงานด้วยกรงเล็บ นอกจากนี้พวกมันก็อาจเล่นงานชาวพื้นเมืองเหมือนดังในตำนานก็ได้
จากหลักฐานที่พบ สรุปได้ว่าอินทรีฮาสท์สูญพันธุ์ไปเมื่อ 500 ปีก่อน สาเหตุของการสูญพันธุ์น่าจะเกี่ยวเนื่องกับการเข้ามาของชาวมาวรี ทั้งนี้เมื่อเหยื่อขนาดใหญ่อย่างนกโมอาถูกมนุษย์ล่า ทำให้นกอินทรีขาดแหล่งอาหาร นอกจากนี้ยังมีหลักฐานว่า ชาวมาวรีล่าอินทรีเหล่านี้เพื่อใช้ขนทำเสื้อด้วย อย่างไรก็ดี ในช่วงปี 1800 มีผู้อ้างว่า ได้ยิงอินทรียักษ์สองตัว แม้ไม่มีหลักฐานยืนยัน แต่ก็พอจะพูดได้ว่านั่นเป็นข่าวการพบเห็นครั้งสุดท้าย เพราะนับแต่นั้นมาก็ไม่เคยมีใครพบนกอินทรีชนิดนี้อีกเลย
ขอถามหน่อยครับ อยากทราบคำตอบ
นกอาร์เจนทาวิส แมกนิฟิเซนส์ กับ นกอินทรีฮาสท์ ตัวไหนใหญ่กว่ากันครับ
พอสยายปีกแล้ว มันจะดูตัวใหญ่และน่ากลัวเอาเรื่อง เพราะปีกซ้ายจนถึงปีกขวามีความยาวประมาณ 23 ฟุต หรือ 7 เมตร
ศ.สันคาร์ ชัตตารี นักธรณีวิทยาจากพิพิธภัณฑ์มหาวิทยาลัยเทกซัสเทค รัฐเทกซัส สหรัฐอเมริกา ไขความลับ ทำไมอาร์เจนทาวิส แมกนิฟิเซนส์ ถึงบินได้ว่า
ถ้ามีลมหนุนแล้ว นกตัวนี้จะบินได้ประมาณ 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง แต่ละวันมันอาจบินได้ไกลถึง 300 กิโลเมตร
ชัตตารีนำลักษณะการบินของอาร์เจนทาวิส แมกนิฟิเซนส์ ไปวิเคราะห์ โดยใช้ซอฟต์แวร์ที่เลียนแบบการบิน จึงพบว่า อาร์เจนทาวิส แมกนิฟิเซนส์ ก็เหมือนกับนกใหญ่ๆ ที่อยู่บนดินทั่วๆ ไป คือใหญ่เกินกว่าที่จะบิน แต่ถ้ามีอากาศที่เหมาะสมแล้ว มันจะบินได้
อากาศที่เหมาะสมก็คือ เมื่อมีกระแสอากาศไหลขึ้น หรือมีลมยกอยู่บริเวณตีนเขา
ส่วนขั้นตอนที่ยากที่สุดของการบินคือ ตอนบินขึ้น เพราะต้องใช้เทคนิคอย่าง บินลงจากจุดสูงๆ ของเทือกเขาไปจนถึงวิ่งลงจากเนินเขาที่มีความชันประมาณ 10 องศา เพื่อให้ได้พลังงานหนุน หรือมีลมต้านดันอยู่เบื้องหลัง
ส่วนนกอินทรีฮาสท์
ทรีฮาสท์ (อังกฤษ: Haast's Eagle; (ชื่อวิทยาศาสตร์: Harpagornis moorei) คืออินทรีสายพันธุ์หนึ่งซึ่งสูญพันธุ์ไปแล้ว ครั้งหนึ่งมันเคยอาศัยอยู่ที่เกาะใต้ของนิวซีแลนด์ เป็นสายพันธุ์อินทรีที่เชื่อกันว่ามีขนาดใหญ่ที่สุดเท่าที่มีมา
อินทรีฮาสท์มีถิ่นกำเนิดในนิวซีแลนด์ ได้ชื่อว่าเป็นนกอินทรีที่ใหญ่ที่สุดในโลโดยมันมีความยาวจากปลายปีกข้างหนึ่งไปยังอีกข้างหนึ่งกว่า 10 ฟุต หรือสามเมตร น้ำหนักราว 15 -20 กิโลกรัม กรงเล็บของอินทรีฮาสท์มีขนาดพอ ๆ กับเล็บเสือโคร่ง จัดว่าเป็นนักล่าที่น่ากลัวที่สุดของนิวซีแลนด์ เนื่องจากนกอินทรีชนิดนี้อาศัยอยู่ในเกาะใต้ซึ่งพื้นที่ส่วนใหญ่ปกคลุมด้วยป่าหนาทึบ
มันจึงมีปีกที่ค่อนข้างสั้นเมื่อเทียบตามสัดส่วนร่างกาย ทั้งนี้เพื่อให้เป็นประโยชน์ขณะที่บินล่าเหยื่อในป่า ช่วงปีกค่อนข้างสั้นและแผ่กว้างทำให้อินทรีฮาสท์ไม่ร่อนหาเหยื่อจากที่สูงเหมือนอย่างพวกแร้ง แต่มักจะบินไปตามแนวป่ามากกว่า
เหยื่อสำคัญของอินทรีฮาสท์คือบรรดานกโมอาชนิดต่าง ๆ โดยเฉพาะนกโมอายักษ์ที่หนักกว่า 250 กิโลกรัม แม้ว่าโมอายักษ์จะใหญ่กว่าอินทรีฮาสท์หลายเท่า แต่มันก็ค่อนข้างเชื่องช้าและยังมีคอและศีรษะขนาดเล็กทำให้ง่ายต่อการโจมตี โดยอินทรีฮาสต์จะโฉบลงที่ลำคอหรือไม่ก็ศีรษะของเหยื่อ ก่อนใช้กรงเล็บสังหารเหยื่อของมัน เนื่องจากเหยื่อของมันมีขนาดใหญ่มาก อินทรีฮาสต์จึงมักกินเหยื่อที่พื้นและอยู่กับซากเป็นเวลาหลายวัน การที่อินทรีฮาสต์ล่าเหยื่อขนาดใหญ่อย่างนกโมอายักษ์ ก็เพราะว่าในนิวซีแลนด์ มันเป็นนักล่าที่ใหญ่ที่สุดของดินแดนแห่งนี้ ตามปกติสัตว์จำพวกเหยี่ยวและนกอินทรีจะล่าเหยื่อที่มีขนาดเล็กกว่าพวกมันเพื่อให้ง่ายต่อการนำขึ้นไปกินบนกิ่งไม้สูงทั้งนี้ เพื่อไม่ให้ถูกสัตว์นักล่าบนพื้นดินชนิดอื่นที่แข็งแรงกว่ามาแย่งเหยื่อไป แต่ในนิวซีแลนด์ไม่มีสัตว์นักล่าบนพื้นดิน ที่แข็งแกร่งกว่าอินทรีฮาสท์ ทำให้พวกมันสามารถกินเหยื่อบนพื้นดินได้โดยไม่ต้องกลัวถูกแย่งไป ไม่เคยมีชาวผิวขาวคนใดได้เห็น นกอินทรีฮาสท์ คงมีเพียงชาวมาวรีเท่านั้นที่เคยเห็นมัน
พวกมาวรีเรียกนกอินทรีชนิดนี้ว่า "โปวาไก" (Pouakai) ในตำนานพื้นบ้านเล่าว่า มันจะเกาะอยู่บนยอดไม้สูง เมื่อมนุษย์เดินผ่าน มันจะพุ่งเข้าจู่โจมโดยใช้กรงเล็บขยุ้มที่ศีรษะเหยื่อ และเมื่อเหยื่อตายแล้วมันจะนำกลับไปที่รัง เมื่อดูจากกรงเล็บและขนาดของมันแล้ว ก็พอจะกล่าวได้ว่า ตำนานนี้ไม่เกินจริงนัก
ภาพวาดนกอิทรียักษ์ฮาสท์กำลังล่านกโมอา
กระดูกของอินทรียักษ์ ถูกค้นพบครั้งแรกในปี 1871 ระหว่างการขุดค้นกระดูกนกโมอาที่บึงเกลมมาร์ก (Glemmark) ในแคนเทอร์บรี (Canterbury) จากนั้นได้มีการศึกษา และตั้งชื่อในปีต่อมา กระดูกของอินทรีฮาสท์ไม่ได้พบทั่วไป แต่มีอยู่เฉพาะในเกาะใต้ และทางตอนใต้ของเกาะเหนือของประเทศนิวซีแลนด์เท่านั้น
นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่านกอินทรีฮาสท์เป็นนกนักล่าที่น่ากลัวที่สุดของนิวซีแลนด์พวกมันสามารถล่าเหยื่อขนาดใหญ่อย่างนกโมอาที่หนักกว่า 250 กิโลกรัมได้ โดยนกอินทรีฮาสท์จะใช้วิธีพุ่งเข้าชนเหยื่อ แรงปะทะของมันจะทำให้นกโมอาเสียหลักล้มลง จากนั้นมันจึงเล่นงานด้วยกรงเล็บ นอกจากนี้พวกมันก็อาจเล่นงานชาวพื้นเมืองเหมือนดังในตำนานก็ได้
จากหลักฐานที่พบ สรุปได้ว่าอินทรีฮาสท์สูญพันธุ์ไปเมื่อ 500 ปีก่อน สาเหตุของการสูญพันธุ์น่าจะเกี่ยวเนื่องกับการเข้ามาของชาวมาวรี ทั้งนี้เมื่อเหยื่อขนาดใหญ่อย่างนกโมอาถูกมนุษย์ล่า ทำให้นกอินทรีขาดแหล่งอาหาร นอกจากนี้ยังมีหลักฐานว่า ชาวมาวรีล่าอินทรีเหล่านี้เพื่อใช้ขนทำเสื้อด้วย อย่างไรก็ดี ในช่วงปี 1800 มีผู้อ้างว่า ได้ยิงอินทรียักษ์สองตัว แม้ไม่มีหลักฐานยืนยัน แต่ก็พอจะพูดได้ว่านั่นเป็นข่าวการพบเห็นครั้งสุดท้าย เพราะนับแต่นั้นมาก็ไม่เคยมีใครพบนกอินทรีชนิดนี้อีกเลย
ขอถามหน่อยครับ อยากทราบคำตอบ