สวัสดีคะ เราอยากเเชร์ประสบการณ์ของเรา เผื่อว่าจะเป็นแรงบันดาลใจให้ใครคนอื่นได้
ตอนเด็กๆ ทุกคนมักมีความฝันอยากเป็นนู้นอยากเป็นนี้ เเต่สุดท้ายหลายๆ คนก็มีแพทเทิลชีวิตเหมือนๆ กันคือ เรียนจบมาพร้อมกับลืมความฝันว่าอยากจะเป็นอะไร ทำงานในสายอาชีพที่มั่นคง เเล้วก็พัฒนาให้สูงขึ้นๆ ....
เราเป็นคนที่เขียนอะไรไม่เก่ง ถ้ามีอะไรที่อ่านเเล้วดูงงๆ ขอโทษไว้ตรงนี้ด้วยนะคะ คอมเมนท์ถามได้เลยคะ จะกลับมาตอบ (จะมีใครอ่านมั้ย ?? 5555 )
เราขอแยกเป็นบทๆ นะคะ จะได้ง่ายต่อการเขียนของเรา ให้ทุกๆ คนอ่านเข้าใจ
บทที่ 1 ตัวตน
เราเกิดมาในครอบครัวที่สบายมากๆ เรียกว่าลูกคุณหนูคนนึง ได้เรียนในโรงเรียนที่มีชื่อเสียง แต่ชีวิตในตอนเด็กเราจะรู้จักเเค่บ้าน ครอบครัว โรงเรียน เเค่นั้น เเล้วเราก็เป็นเด็กที่ดื้อมากๆ คือไม่มีอะไรก็หาเรื่องให้มี (เด็กงี่เง่าละมั้งคะ) รู้สึกต่อต้านพ่อแม่ รู้สึกว่าตัวเองเก่งนะยะ (55555 พอนึกย้อนตัวเองเเล้วอดขำไม่ได้ ตอนนั้นคิดได้ยังไง) พอเข้ามหาลัยได้ เลยคิดว่าออกมาอยู่เองดีกว่า ไปเช่าหออยู่ทั้งๆ ที่บ้านก็อยู่ใกล้มหาลัยกว่ามากๆ เดินไปก็ได้ =='
สิ่งเเรกที่คิดว่าตัวเองเจ๋งเเต่คิดผิดคืองานบ้านคะ !! เกิดมามีเเม่บ้านทำให้ตลอด ก็จำๆ เอาคะว่าซักผ้าต้องแยก 2 ถัง เราก็เเยก ฉลาดมากกกกก เเยกชุดอยู่บ้าน กับชุดไปข้างนอก ซักเสร็จน้ำตาเเทบไหล เสื้อขาวกลายเป็นสีน้ำเงินอ่อน ๆ T____T" ไม่รู้จริงๆ ว่าต้องแยกผ้าสีกับผ้าขาว เเล้วเรื่องของงานบ้านทั้งหมด เราก็พังมาตลอด
พอใช้ชีวิตอยู่คนเดียวก็หาสัตว์เลี้ยงคะ โดนเพื่อนๆ เบรค "ตัวเองคนเดียวยังจะไม่รอด ยังจะหาภาระมาเพิ่ม" คือตอนนั้นมันเหงา เเค่อยากมีเพื่อนอยู่ด้วย ตั้งเเต่เด็กก็โตมากับเเมวตลอด ตอนนั้นโดนยุเเยงคะ ได้น้องหมามาตัวนึง เราไม่เคยมีความสุขกับการเรียนเลย ไม่ใช่ว่าการสอนไม่ดี เเต่เป็นเพราะตัวเราเอง เรามีความสุขที่ได้วาดรูป เราลงเรียนออกแบบ สาขานึง เเต่เส้นบางๆ ระหว่างศิลปะ กับออกแบบมันก็มี เเล้วเราไม่สามารถข้ามเส้นนั้นไปได้
ยิ่งเรียนยิ่งทุกข์!! กลับมากอดหมาสบายใจกว่าเยอะ!!
ตอนนั้นเราเริ่มไม่เอาเรียนเเล้ว เกเรมาก รับงานออกแบบมาทำพอประทังชีวิต เเต่ก็ประทังไม่พอ ที่บ้านก็ต้องส่งตังมาช่วย (ไหนว่าเก่งนักหนา??? นึกย้อนเเล้วสมเพชตัวเองจริงๆ คะ) เริ่มไม่ไปเรียน เริ่มแบคแพคเอาน้องหมาไปเที่ยวต่างจังหวัด นั่งรถไฟฟรีไปเรื่อยๆ ไปบ้านเพื่อนคนนู้น คนนี้ ไปใช้ชีวิตแบบทำสวน ทำไร่ สลับกลับมากรุงเทพ งานเขียนแบบก็ส่งเมลล์อย่างเดียว งานก็ค่อยๆ หายไป พร้อมกับเกรดการเรียนที่ดิ่งลงเหว
ในระหว่างช่วงชีวิตตอนนั้น เราก็ถามตัวเองนะว่าจะเป็นอย่างไรต่อไป ไม่กล้าสู้หน้าพ่อแม่ ใช้ชีวิตให้ผ่านไปวันๆ แค่นั้น
ในช่วงชีวิตตอนนั้น เราจะมีดราม่าตลอด จะเป็นเรื่องหมาแมวจร ครั้งนึงเราไปเจอน้องแมวตัวนึงเดินข้ามถนน เราเห็นก็ยืนมองกับเพื่อน เพราะรู้สึกว่าน้องเค้าแปลกๆ นะ เเล้วรถก็ขับมาชน .... เรารีบวิ่งไปดู น้องไม่เป็นอะไรมาก น่าจะโดนเฉียวๆ เเต่ใจเราไม่ไหวเเล้ว สงสารน้องแมว พออุ้มขึ้นมา เค้าตาบอดคะ... ไม่มีดวงตาทั้ง 2 ข้าง วันต่อมาเรามีสอบกลางภาค เเต่เราไม่ไปสอบ หาบ้านอุปการะน้องแมวจนได้ เเละเราแพ้แมวอย่างหนัก เเต่ทิ้งเค้าไม่ลงร้องไห้โทรหาเเม่ ให้แม่ช่วยพาไปหาหมอ น้องแมวปลอดภัยดี ก็พาส่งบ้านอุปการะที่นึง วันนั้นเเม่คงอยากร้องไห้เหมือนกันนะคะ ลูกสาวไม่ไปสอบ เพราะเเมวข้ามถนนเเล้วโดนรถเฉี่ยว ....
เเล้วก็ยังมีเรื่องหมาๆ แมวๆ ให้เราอยู่เสมอ ในช่วงตอนนั้นน่าจะราวๆ 10 กว่าตัวที่เราช่วยเลี้ยง หาบ้าน ทำงานพิเศษได้เท่าไหร่ ซื้ออหารหมาอาหารแมวดีๆ หมดเลยคะ เรายอมกินข้าวเหนียวจิ้มแม็กกี้อยู่เป็นเดือนๆ
เวลาผ่านไป 4 ปีในรั้วมหาลัย เราเก็บวิชาได้ไปเกือบๆ ครึ่งทางเเค่นั้นเองคะ สุดท้ายก็โดนเชิญให้เซ็นใบลาออก ก่อนจะโดนไล่ออกเพราะเกรดไม่ถึง
ตอนนั้นเคว้งหนักกว่าเดิม กลับมานอนคิด จะทำอย่างไรต่อไปดี เพื่อนสนิทเราทุกคน จบมาพร้อมคะเเนนเกียรติ์นิยม เเต่เรากลับไปเซ็นลาออก ทุกคนมีงานรอรับหมดเเล้ว เเต่เราเเม้กระทั้งพรุ่งนี้จะทำอะไรต่อไปก็ยังไม่รู้ ....
บทที่ 2 ค้นหา เเละคว้าโอกาส
ช่วงนั้นเราไม่คิดอะไรมากไปกว่าวันนี้จะทำอะไร มันก็ไม่เคยพ้นร้านเหล้า เพราะเเค่เหงา เรากินเหล้าตั้งเเต่ตื่นจนหลับ สุดท้ายเลยทำงานร้านเหล้านั้นเเหละ ได้ตังด้วยได้กินเหล้าด้วย เราทำแบบไม่ประจำ เพราะสนิทไปหมดทุกร้าน เเต่จะได้ตังประมาณ 200-300 บาทต่อวัน อาหาร 1 มื้อ ไม่รวมทิป ทุกอย่างหักจากค่าอาหารหมาแมว เราก็เก็บบ้าง ใช้บ้าง (เป็นช่วงชีวิตที่หลบหนีเพื่อนๆ เพราะอายคะ เพื่อนๆ มีการงานที่ดี เงินก็ดี เรานี้เก็บได้หมื่นนึงก็ดีใจตายเเล้ว เเถมเก็บตั้งนานกว่าจะได้หมื่นนึง ได้คุยกับเพื่อนที ก็ได้ไปกินอาหารเเพงๆ ส่วนเราหรอ.. ฮึ่ !! ส้มตำเลี้ยงชีพ อร่อยเเละดีไม่อ้วน) เวลาเราไปไหนเราก็จะกระเตงน้องหมาเราไปด้วยคะ (น้องแมวทุกตัวเราหาบ้านใหม่ให้หมด หลังจากที่ดูแลจนเค้าเเข็งเเรงทำวัคซีนจนครบ) ยิ่งเวลาผ่านไป เค้าได้พบเจอคนมากขึ้น เราสัมผัสได้ว่า "เค้าอยากมีเพื่อน" ทุกครั้งที่เราได้หมาแมวจรมา เค้าจะมีความสุขมาก พอเด็กๆ ได้บ้านใหม่ น้องหมาจะเหงามาก ไปตามหาทุกมุมที่เพื่อนเคยอยู่ ยิ่งพามาข้างนอกด้วยทุกวันๆ เค้ายิ่งดูออกได้อย่างชัดเจน เราไม่รู้ว่าเค้ามีอาการอย่างไร เเต่มันเป็นเเค่ความรู้สึกเราเท่านั้นเองคะ
เราก็เปิดหาในกูเกิ้ลว่าเลี้ยงตัวอะไรดี 1. ไม่เอาน้องหมาเเน่นอน เเค่ตัวเดียวก็พังมากๆ เเล้ว 2. ถ้าเเมวจะไม่ซื้อ เพราะสำหรับเราเเมวที่ไหนก็เหมือนกัน เรารักหมด เเมวจรเลี้ยงดีๆ ก็น่ารัก เเต่เเมวจรร้องเสียงดังมาก เราก็หาจนเจอ "แพรี่ด๊อก" ดูราคาในเนทเเล้ว นับตังก็พอจะซื้อให้น้องหมาได้ ก็เดินทางไปเจเจเลยคะ สวนนรกของสัตว์เลี้ยง
วันนั้นที่เราไป เราไม่เจอแพรี่ด๊อกเลยซักตัว เเต่เราติดใจอยู่ร้านนึง เป็นร้านเเอร์มีเเมวเต็มไปหมดเลย เราเปิดประตูเข้าไป นั่งดูเเมวในร้าน ทุกตัวป่วย ไม่มีตัวไหนดูเเข็งเเรงเลย เเละมีน้องแมวตัวนึงเดินมาหาเรา เเละมุดเข้ากระเป๋าเรา เราเอาออกเค้าก็ไปหาของอย่างอื่นที่เป็นของเรามุดเข้าไปด้วย เเล้วน้องตัวนี้สภาพดูอ่อนแอที่สุด น่าสงสารที่สุด หน้าตาน่าเกลียดที่สุด !! เราเอาน้องแมวมาดู ไรหูเพียบ หนังไม่ยืดหยุ่นตามที่ควรจะเป็น ตาแฉะ ก้นเป็นคราบท้องเสีย ผอมจนเหลือแต่กระดูก เราถามคนขายว่าน้องแมวร้องเสียงดังมั้ยตัวนี้ เค้าตอบด้วยการกระชากหางน้องแมวขึ้นไป ให้เค้าเจ็บเเล้วร้อง
ไม่ต้องรออะไรเเล้วคะ เราถามราคาทันที สงสารน้องจับใจ คนขายบอกมาเกือบๆ หมื่น (หมดตัวเราเลยนะนั้นน่ะ!!) เราต่อรองเรื่องสุขภาพเลยได้ซื้อมาในราคา 3,000.- อุ้มน้องออกมาซื้อกระเป๋าซื้ออาหาร ดิ่งกลับไปหาหมอแถวหอพัก ตรวจสุขภาพก่อนกลับ หมอบอกเเค่ "ทำใจนะ น้องอ่อนแอมาก เป็นหวัด ติดเชื้อ ขาดสารอาหารค่อนข้างหนัก น่าจะไม่รอด เพราะน้องอายุน้อยมาก" ตอนนั้นเราไม่มีตังเเล้วนะคะ เเต่บอกหมอไปว่า ทำอย่างไรก็ได้ขอให้น้องรอด
ช่วงนั้นเราก็ลั่ลล้าทำงานที่ร้านเหล้า เเล้วก็ยังออกแบบงานเล็กๆ น้อยๆ เวลาว่างเราก็อยู่ห้องมากขึ้น อยู่กับลูกๆ ทั้ง 2 ตัว เเล้วก็เริ่มสงสัย ว่าน้องแมวมันคือพันธุ์อะไรทำไมหูมันเเปลกๆ เหมือนเคยอ่านเจอในการ์ตูนเรื่อง ฮางุ อะไรซักอย่าง เลยเปิดหา ก็ได้รู้ว่าน้องเป็นแมว Scottish Fold หูพับ เราก็เริ่มศึกษาไปเรื่อยๆ รู้สึกแปลกดี เป็นแมวที่น่ารัก เเต่ทำไมไม่ค่อยมีใครขาย (ในสมัยนั้นนะคะ) อ่านไปเรื่อยๆ จนได้ข้อมูลพื้นฐานของสายพันธุ์มา เเละเจอฟาร์มเเห่งนึง เราก็ดูรูปแมวโฟลด์สวยๆ เเล้วเริ่มเข้าใจว่ามันต่างกับน้องเเมวของเราอย่างไร (น้องเเมวเราชื่อน้องเทาคะ) เราเริ่มคิดว่าอยากให้เทามีเเฟนจัง ก็ยิ่งหางานทำเพิ่ม จะไประบายสีที่ไหน เราก็ไป จะให้เฝ้าร้านเหล้ายันเช้า ยันเที่ยงเราก็ยินดี คือเก็บตังทุกบาททุกสตางค์เพื่อแฟนน้องเทา !! เเหม่เเต่น้องเทาสภาพไม่น่าจะรอดก็ยังจะหวัง เราคิดอย่างเดียวว่าเค้าต้องรอด รักษาเรื้อรังอยู่ 9 เดือนน้องเทาถึงหาย เเละรับวัคซีนเข็มเเรกได้คะ
จนวันนึงเราเจอคนมากินเหล้า เค้ากำลังปรับปรุงบ้านใหม่ เเละต้องการรูปสีน้ำมันไปตกแต่งบ้าน จะรออะไรล่ะคะ งานมาเเล้วววว ตกเเต่งทั้งบ้านด้วย !! ด้วยความมั่นใจในฝีมือการวาดรูปของตัวเอง ที่เคยได้เป็นเยาวชนดีเด่น 3 ปีซ้อนการจากประกวดวาดรูประดับอินเตอร์ ไหนจะดรออิ้งได้เทียบเท่าเด็กจิตรกรรม รับเลยคะ เเต่เราไม่เคยคุยเรื่องเงิน วันนั้นเราไม่รู้หรอกว่างานชิ้นนั้นจะเป็นจุดเปลี่ยนในชีวิตเรา เรารู้เเค่ว่าโอกาสมาเราต้องคว้า ถึงแม้เราจะใช้ชีวิตอยู่ในโคลนตมก็ตาม
เดี๋ยวมาต่อคะ
เราเเท็กห้องจตุจักร เพราะเรื่องราวต่อไปในชีวิตเราจะเกี่ยวข้องกับเเมวอย่างเข้มข้นคะ
ชานเรือน , ศาลาประชาคม เราว่าลูกอย่างเรา ถ้าพ่อเเม่เข้าใจลูกที่เกรเรเหมือนเรา อาจจะเเก้ไขได้ทันก่อนที่จะต้องแยกกันอยู่เเบบนี้คะ
สวนลุมพินี เพราะเราเเพ้เเมว เเต่เราทำอย่างไรให้ทุกวันนี้เรามีฟาร์มเเมวเป็นของเราเองได้ เเละอาการต่างๆ เบาลงเเทบจะเป็นคนปกติคะ
สยามสแควร์ เพราะเราว่าเด็กเดี๋ยวนี้เป็นเจนที่ชอบไม่เหมือนใคร เเต่ชอบฝัน ทำจริงนั้นอีกเรื่องนึงคะ
ถ้าเเทคผิดอย่างไรขออภัยด้วยนะคะ
แค่แมวป่วยที่ถูกทิ้งตัวนึง เปลี่ยนชีวิตคนไม่เอาไหน ไม่มีงาน มาเป็นเจ้าของธุรกิจเล็กๆ รายได้หลักแสน
ตอนเด็กๆ ทุกคนมักมีความฝันอยากเป็นนู้นอยากเป็นนี้ เเต่สุดท้ายหลายๆ คนก็มีแพทเทิลชีวิตเหมือนๆ กันคือ เรียนจบมาพร้อมกับลืมความฝันว่าอยากจะเป็นอะไร ทำงานในสายอาชีพที่มั่นคง เเล้วก็พัฒนาให้สูงขึ้นๆ ....
เราเป็นคนที่เขียนอะไรไม่เก่ง ถ้ามีอะไรที่อ่านเเล้วดูงงๆ ขอโทษไว้ตรงนี้ด้วยนะคะ คอมเมนท์ถามได้เลยคะ จะกลับมาตอบ (จะมีใครอ่านมั้ย ?? 5555 )
เราขอแยกเป็นบทๆ นะคะ จะได้ง่ายต่อการเขียนของเรา ให้ทุกๆ คนอ่านเข้าใจ
บทที่ 1 ตัวตน
เราเกิดมาในครอบครัวที่สบายมากๆ เรียกว่าลูกคุณหนูคนนึง ได้เรียนในโรงเรียนที่มีชื่อเสียง แต่ชีวิตในตอนเด็กเราจะรู้จักเเค่บ้าน ครอบครัว โรงเรียน เเค่นั้น เเล้วเราก็เป็นเด็กที่ดื้อมากๆ คือไม่มีอะไรก็หาเรื่องให้มี (เด็กงี่เง่าละมั้งคะ) รู้สึกต่อต้านพ่อแม่ รู้สึกว่าตัวเองเก่งนะยะ (55555 พอนึกย้อนตัวเองเเล้วอดขำไม่ได้ ตอนนั้นคิดได้ยังไง) พอเข้ามหาลัยได้ เลยคิดว่าออกมาอยู่เองดีกว่า ไปเช่าหออยู่ทั้งๆ ที่บ้านก็อยู่ใกล้มหาลัยกว่ามากๆ เดินไปก็ได้ =='
สิ่งเเรกที่คิดว่าตัวเองเจ๋งเเต่คิดผิดคืองานบ้านคะ !! เกิดมามีเเม่บ้านทำให้ตลอด ก็จำๆ เอาคะว่าซักผ้าต้องแยก 2 ถัง เราก็เเยก ฉลาดมากกกกก เเยกชุดอยู่บ้าน กับชุดไปข้างนอก ซักเสร็จน้ำตาเเทบไหล เสื้อขาวกลายเป็นสีน้ำเงินอ่อน ๆ T____T" ไม่รู้จริงๆ ว่าต้องแยกผ้าสีกับผ้าขาว เเล้วเรื่องของงานบ้านทั้งหมด เราก็พังมาตลอด
พอใช้ชีวิตอยู่คนเดียวก็หาสัตว์เลี้ยงคะ โดนเพื่อนๆ เบรค "ตัวเองคนเดียวยังจะไม่รอด ยังจะหาภาระมาเพิ่ม" คือตอนนั้นมันเหงา เเค่อยากมีเพื่อนอยู่ด้วย ตั้งเเต่เด็กก็โตมากับเเมวตลอด ตอนนั้นโดนยุเเยงคะ ได้น้องหมามาตัวนึง เราไม่เคยมีความสุขกับการเรียนเลย ไม่ใช่ว่าการสอนไม่ดี เเต่เป็นเพราะตัวเราเอง เรามีความสุขที่ได้วาดรูป เราลงเรียนออกแบบ สาขานึง เเต่เส้นบางๆ ระหว่างศิลปะ กับออกแบบมันก็มี เเล้วเราไม่สามารถข้ามเส้นนั้นไปได้
ยิ่งเรียนยิ่งทุกข์!! กลับมากอดหมาสบายใจกว่าเยอะ!!
ตอนนั้นเราเริ่มไม่เอาเรียนเเล้ว เกเรมาก รับงานออกแบบมาทำพอประทังชีวิต เเต่ก็ประทังไม่พอ ที่บ้านก็ต้องส่งตังมาช่วย (ไหนว่าเก่งนักหนา??? นึกย้อนเเล้วสมเพชตัวเองจริงๆ คะ) เริ่มไม่ไปเรียน เริ่มแบคแพคเอาน้องหมาไปเที่ยวต่างจังหวัด นั่งรถไฟฟรีไปเรื่อยๆ ไปบ้านเพื่อนคนนู้น คนนี้ ไปใช้ชีวิตแบบทำสวน ทำไร่ สลับกลับมากรุงเทพ งานเขียนแบบก็ส่งเมลล์อย่างเดียว งานก็ค่อยๆ หายไป พร้อมกับเกรดการเรียนที่ดิ่งลงเหว
ในระหว่างช่วงชีวิตตอนนั้น เราก็ถามตัวเองนะว่าจะเป็นอย่างไรต่อไป ไม่กล้าสู้หน้าพ่อแม่ ใช้ชีวิตให้ผ่านไปวันๆ แค่นั้น
ในช่วงชีวิตตอนนั้น เราจะมีดราม่าตลอด จะเป็นเรื่องหมาแมวจร ครั้งนึงเราไปเจอน้องแมวตัวนึงเดินข้ามถนน เราเห็นก็ยืนมองกับเพื่อน เพราะรู้สึกว่าน้องเค้าแปลกๆ นะ เเล้วรถก็ขับมาชน .... เรารีบวิ่งไปดู น้องไม่เป็นอะไรมาก น่าจะโดนเฉียวๆ เเต่ใจเราไม่ไหวเเล้ว สงสารน้องแมว พออุ้มขึ้นมา เค้าตาบอดคะ... ไม่มีดวงตาทั้ง 2 ข้าง วันต่อมาเรามีสอบกลางภาค เเต่เราไม่ไปสอบ หาบ้านอุปการะน้องแมวจนได้ เเละเราแพ้แมวอย่างหนัก เเต่ทิ้งเค้าไม่ลงร้องไห้โทรหาเเม่ ให้แม่ช่วยพาไปหาหมอ น้องแมวปลอดภัยดี ก็พาส่งบ้านอุปการะที่นึง วันนั้นเเม่คงอยากร้องไห้เหมือนกันนะคะ ลูกสาวไม่ไปสอบ เพราะเเมวข้ามถนนเเล้วโดนรถเฉี่ยว ....
เเล้วก็ยังมีเรื่องหมาๆ แมวๆ ให้เราอยู่เสมอ ในช่วงตอนนั้นน่าจะราวๆ 10 กว่าตัวที่เราช่วยเลี้ยง หาบ้าน ทำงานพิเศษได้เท่าไหร่ ซื้ออหารหมาอาหารแมวดีๆ หมดเลยคะ เรายอมกินข้าวเหนียวจิ้มแม็กกี้อยู่เป็นเดือนๆ
เวลาผ่านไป 4 ปีในรั้วมหาลัย เราเก็บวิชาได้ไปเกือบๆ ครึ่งทางเเค่นั้นเองคะ สุดท้ายก็โดนเชิญให้เซ็นใบลาออก ก่อนจะโดนไล่ออกเพราะเกรดไม่ถึง
ตอนนั้นเคว้งหนักกว่าเดิม กลับมานอนคิด จะทำอย่างไรต่อไปดี เพื่อนสนิทเราทุกคน จบมาพร้อมคะเเนนเกียรติ์นิยม เเต่เรากลับไปเซ็นลาออก ทุกคนมีงานรอรับหมดเเล้ว เเต่เราเเม้กระทั้งพรุ่งนี้จะทำอะไรต่อไปก็ยังไม่รู้ ....
บทที่ 2 ค้นหา เเละคว้าโอกาส
ช่วงนั้นเราไม่คิดอะไรมากไปกว่าวันนี้จะทำอะไร มันก็ไม่เคยพ้นร้านเหล้า เพราะเเค่เหงา เรากินเหล้าตั้งเเต่ตื่นจนหลับ สุดท้ายเลยทำงานร้านเหล้านั้นเเหละ ได้ตังด้วยได้กินเหล้าด้วย เราทำแบบไม่ประจำ เพราะสนิทไปหมดทุกร้าน เเต่จะได้ตังประมาณ 200-300 บาทต่อวัน อาหาร 1 มื้อ ไม่รวมทิป ทุกอย่างหักจากค่าอาหารหมาแมว เราก็เก็บบ้าง ใช้บ้าง (เป็นช่วงชีวิตที่หลบหนีเพื่อนๆ เพราะอายคะ เพื่อนๆ มีการงานที่ดี เงินก็ดี เรานี้เก็บได้หมื่นนึงก็ดีใจตายเเล้ว เเถมเก็บตั้งนานกว่าจะได้หมื่นนึง ได้คุยกับเพื่อนที ก็ได้ไปกินอาหารเเพงๆ ส่วนเราหรอ.. ฮึ่ !! ส้มตำเลี้ยงชีพ อร่อยเเละดีไม่อ้วน) เวลาเราไปไหนเราก็จะกระเตงน้องหมาเราไปด้วยคะ (น้องแมวทุกตัวเราหาบ้านใหม่ให้หมด หลังจากที่ดูแลจนเค้าเเข็งเเรงทำวัคซีนจนครบ) ยิ่งเวลาผ่านไป เค้าได้พบเจอคนมากขึ้น เราสัมผัสได้ว่า "เค้าอยากมีเพื่อน" ทุกครั้งที่เราได้หมาแมวจรมา เค้าจะมีความสุขมาก พอเด็กๆ ได้บ้านใหม่ น้องหมาจะเหงามาก ไปตามหาทุกมุมที่เพื่อนเคยอยู่ ยิ่งพามาข้างนอกด้วยทุกวันๆ เค้ายิ่งดูออกได้อย่างชัดเจน เราไม่รู้ว่าเค้ามีอาการอย่างไร เเต่มันเป็นเเค่ความรู้สึกเราเท่านั้นเองคะ
เราก็เปิดหาในกูเกิ้ลว่าเลี้ยงตัวอะไรดี 1. ไม่เอาน้องหมาเเน่นอน เเค่ตัวเดียวก็พังมากๆ เเล้ว 2. ถ้าเเมวจะไม่ซื้อ เพราะสำหรับเราเเมวที่ไหนก็เหมือนกัน เรารักหมด เเมวจรเลี้ยงดีๆ ก็น่ารัก เเต่เเมวจรร้องเสียงดังมาก เราก็หาจนเจอ "แพรี่ด๊อก" ดูราคาในเนทเเล้ว นับตังก็พอจะซื้อให้น้องหมาได้ ก็เดินทางไปเจเจเลยคะ สวนนรกของสัตว์เลี้ยง
วันนั้นที่เราไป เราไม่เจอแพรี่ด๊อกเลยซักตัว เเต่เราติดใจอยู่ร้านนึง เป็นร้านเเอร์มีเเมวเต็มไปหมดเลย เราเปิดประตูเข้าไป นั่งดูเเมวในร้าน ทุกตัวป่วย ไม่มีตัวไหนดูเเข็งเเรงเลย เเละมีน้องแมวตัวนึงเดินมาหาเรา เเละมุดเข้ากระเป๋าเรา เราเอาออกเค้าก็ไปหาของอย่างอื่นที่เป็นของเรามุดเข้าไปด้วย เเล้วน้องตัวนี้สภาพดูอ่อนแอที่สุด น่าสงสารที่สุด หน้าตาน่าเกลียดที่สุด !! เราเอาน้องแมวมาดู ไรหูเพียบ หนังไม่ยืดหยุ่นตามที่ควรจะเป็น ตาแฉะ ก้นเป็นคราบท้องเสีย ผอมจนเหลือแต่กระดูก เราถามคนขายว่าน้องแมวร้องเสียงดังมั้ยตัวนี้ เค้าตอบด้วยการกระชากหางน้องแมวขึ้นไป ให้เค้าเจ็บเเล้วร้อง
ไม่ต้องรออะไรเเล้วคะ เราถามราคาทันที สงสารน้องจับใจ คนขายบอกมาเกือบๆ หมื่น (หมดตัวเราเลยนะนั้นน่ะ!!) เราต่อรองเรื่องสุขภาพเลยได้ซื้อมาในราคา 3,000.- อุ้มน้องออกมาซื้อกระเป๋าซื้ออาหาร ดิ่งกลับไปหาหมอแถวหอพัก ตรวจสุขภาพก่อนกลับ หมอบอกเเค่ "ทำใจนะ น้องอ่อนแอมาก เป็นหวัด ติดเชื้อ ขาดสารอาหารค่อนข้างหนัก น่าจะไม่รอด เพราะน้องอายุน้อยมาก" ตอนนั้นเราไม่มีตังเเล้วนะคะ เเต่บอกหมอไปว่า ทำอย่างไรก็ได้ขอให้น้องรอด
ช่วงนั้นเราก็ลั่ลล้าทำงานที่ร้านเหล้า เเล้วก็ยังออกแบบงานเล็กๆ น้อยๆ เวลาว่างเราก็อยู่ห้องมากขึ้น อยู่กับลูกๆ ทั้ง 2 ตัว เเล้วก็เริ่มสงสัย ว่าน้องแมวมันคือพันธุ์อะไรทำไมหูมันเเปลกๆ เหมือนเคยอ่านเจอในการ์ตูนเรื่อง ฮางุ อะไรซักอย่าง เลยเปิดหา ก็ได้รู้ว่าน้องเป็นแมว Scottish Fold หูพับ เราก็เริ่มศึกษาไปเรื่อยๆ รู้สึกแปลกดี เป็นแมวที่น่ารัก เเต่ทำไมไม่ค่อยมีใครขาย (ในสมัยนั้นนะคะ) อ่านไปเรื่อยๆ จนได้ข้อมูลพื้นฐานของสายพันธุ์มา เเละเจอฟาร์มเเห่งนึง เราก็ดูรูปแมวโฟลด์สวยๆ เเล้วเริ่มเข้าใจว่ามันต่างกับน้องเเมวของเราอย่างไร (น้องเเมวเราชื่อน้องเทาคะ) เราเริ่มคิดว่าอยากให้เทามีเเฟนจัง ก็ยิ่งหางานทำเพิ่ม จะไประบายสีที่ไหน เราก็ไป จะให้เฝ้าร้านเหล้ายันเช้า ยันเที่ยงเราก็ยินดี คือเก็บตังทุกบาททุกสตางค์เพื่อแฟนน้องเทา !! เเหม่เเต่น้องเทาสภาพไม่น่าจะรอดก็ยังจะหวัง เราคิดอย่างเดียวว่าเค้าต้องรอด รักษาเรื้อรังอยู่ 9 เดือนน้องเทาถึงหาย เเละรับวัคซีนเข็มเเรกได้คะ
จนวันนึงเราเจอคนมากินเหล้า เค้ากำลังปรับปรุงบ้านใหม่ เเละต้องการรูปสีน้ำมันไปตกแต่งบ้าน จะรออะไรล่ะคะ งานมาเเล้วววว ตกเเต่งทั้งบ้านด้วย !! ด้วยความมั่นใจในฝีมือการวาดรูปของตัวเอง ที่เคยได้เป็นเยาวชนดีเด่น 3 ปีซ้อนการจากประกวดวาดรูประดับอินเตอร์ ไหนจะดรออิ้งได้เทียบเท่าเด็กจิตรกรรม รับเลยคะ เเต่เราไม่เคยคุยเรื่องเงิน วันนั้นเราไม่รู้หรอกว่างานชิ้นนั้นจะเป็นจุดเปลี่ยนในชีวิตเรา เรารู้เเค่ว่าโอกาสมาเราต้องคว้า ถึงแม้เราจะใช้ชีวิตอยู่ในโคลนตมก็ตาม
เดี๋ยวมาต่อคะ
เราเเท็กห้องจตุจักร เพราะเรื่องราวต่อไปในชีวิตเราจะเกี่ยวข้องกับเเมวอย่างเข้มข้นคะ
ชานเรือน , ศาลาประชาคม เราว่าลูกอย่างเรา ถ้าพ่อเเม่เข้าใจลูกที่เกรเรเหมือนเรา อาจจะเเก้ไขได้ทันก่อนที่จะต้องแยกกันอยู่เเบบนี้คะ
สวนลุมพินี เพราะเราเเพ้เเมว เเต่เราทำอย่างไรให้ทุกวันนี้เรามีฟาร์มเเมวเป็นของเราเองได้ เเละอาการต่างๆ เบาลงเเทบจะเป็นคนปกติคะ
สยามสแควร์ เพราะเราว่าเด็กเดี๋ยวนี้เป็นเจนที่ชอบไม่เหมือนใคร เเต่ชอบฝัน ทำจริงนั้นอีกเรื่องนึงคะ
ถ้าเเทคผิดอย่างไรขออภัยด้วยนะคะ