[บทความ] เจิงชุนเหล่ย : ปี 2014 ขอบคุณวอลเลย์บอลที่มอบของขวัญให้

กระทู้ข่าว


เมื่อย้อนดูวอลเลย์บอลหญิงทีมชาติจีนในปี 2014  คงจะขาดชื่อเธอคนนี้ไปไม่ได้  เจิงชุนเหล่ย

และถ้าพูดถึงผู้เล่นที่มีการเปลี่ยนแปลงพัฒนาขึ้นอย่างผิดหูผิดตาในปี 2014 แล้วล่ะก็   จะต้องมีชื่อของเธอ  เจิงชุนเหล่ย



ปักกิ่ง ...    ท้องฟ้าโปร่งและอากาศที่หนาวเหน็บในบ่ายวันหนึ่ง  ในร้านกาแฟที่เจิงชุนเหล่ยเป็นคนเลือก  เราสองคนกับกาแฟเบย์ลี่ส์คนละถ้วย             หญิงสาวร่าเริงสดใสที่นั่งอยู่ตรงหน้าฉัน  ท่วงท่าของเธอบางครั้งก็ดูละม้ายคล้ายกับล่างล่างลูกสาวโค้ชหลาง  

“ ปี 2014  เป็นปีที่ฉันมีพัฒนาการมากที่สุด  เป็นปีที่ได้ประสบการณ์มากที่สุด  เป็นปีที่รู้สึกได้ว่าวอลเลย์บอลให้อะไรต่างๆกับฉัน  
และต้องพูดว่าสิ่งต่างๆทั้งหมดที่เกิดขึ้นนี้เป็นเพราะโค้ชหลางที่เป็นผู้มอบให้ฉัน  


เธอเป็นคู่สัมภาษณ์ที่เฉลียวฉลาด  ช่างซักช่างถามตลอด  เช่น  ถามฉันว่า ทำไมปีนี้ถึงเลือกเธอเป็นหนึ่งในคนที่จะสัมภาษณ์

ฉันตอบเธอไปตรงๆว่า เพราะในความเห็นฉัน เธอคือผู้เล่นหนึ่งเดียวที่พูดได้ว่ามีการเปลี่ยนแปลงแบบพลิกโฉมเมื่อเทียบกับเมื่อปี 2013

เธอยอมรับ  เธอบอกว่าหลังจากเสร็จศึกชิงแชมป์โลกกลับคืนสู่สโมสรปักกิ่ง   หนึ่งเดือนที่ผ่านมานี้   แม้แต่โค้ชก็ยังพูดว่าเธอพัฒนาฝีมือไปมาก  ไม่เหมือนเช่นปีที่แล้วที่ยังเป็นเพียงผู้เล่นฝีมือดีหน่อยแค่นั้น


กับการเปลี่ยนแปลงนี้  เธอได้สรุปไว้  “เพราะปี 2014 ฉันมีเป้าหมาย ดังนั้นจึงมีความตั้งใจแน่วแน่ลงมือทุ่มเทเต็มที่    

“เป็นช่วงเวลาที่ดีมาก  ปีที่แล้วเมื่อจบชิงแชมป์เอเชียก็เหมือนจะหยุดชะงักไป”  เจิงชุนเหล่ยพูดวิเคราะห์ตัวเองให้ฟัง
มีหลายเรื่องที่สร้างความแปลกใจให้กับฉัน  และถ้าเธอไม่เอ่ยถึง ฉันก็คงลืมไปแล้วว่าเมื่อปีที่แล้วเธอยังเป็นแค่ตัวสำรองให้กับจางเหล่ย
นัดสำคัญๆแทบจะไม่ได้เห็นหน้าเธออยู่ในสนาม  


ชิงแชมป์เอเชียเราทำผลงานได้ไม่ดี  ซึ่งทุกคนก็พยายามกันเต็มที่แล้ว  พอกลับมาฉันก็ถามกับตัวเอง
“ตัวเราก็มีดีเหมือนกัน   แต่ทำไมโค้ชถึงไม่เรียกใช้เรานะ?”  

เจิงชุนเหล่ยมักจะชอบพูดกับตัวเองเสมอเวลาประสบกับปัญหาที่ยังหาคำตอบไม่ได้   แต่ต้องคิดหาคำตอบให้ได้  
เธอเป็นคนที่พบเห็นเรื่องอะไรที่น่าสนใจก็มักจะชอบถามว่าทำไม? เพราะอะไร?

“เมื่อก่อนคิดว่าตัวเองเก่ง  ตัวเองตบดี  แต่หลังจากความพ่ายแพ้ในชิงแชมป์เอเชีย ฉันถึงรู้ว่าความสม่ำเสมอแน่นอนเป็นเรื่องสำคัญมาก ฉันพูดกับตัวเอง  ก็เธอมันเล่นไม่ได้เรื่อง  ถ้าฉันเป็นโค้ชก็คงไม่กล้าใช้เธอหรอก”  


หน้าหนาวปีนี้  เจิงชุนเหล่ยนั่งคิดหาวิธีที่จะพัฒนาฝีมือตัวเอง  เธอคิดอยู่ตลอดว่าจะทำยังไงให้ช่องว่างระหว่างเป้าหมายกับความสามารถให้มันหดแคบลง  ช่วงห่างระหว่างความคาดหวังกับความเป็นจริงให้สั้นลง  

“ปี 2012 กับปี 2013  สำหรับฉันถือเป็นช่วงเวลาของการเรียนรู้  คนเราก็ต้องเจอช่วงเวลาแบบนี้กันใช่ไหมหล่ะ เล่นยังไม่แน่นอน  ฝีมือยังไม่แก่กล้า   แต่โดยพื้นฐานแล้วฉันเป็นคนจิตใจหนักแน่น   รับมือได้กับช่วงเวลาแบบนี้   เพราะคิดไม่ถึงว่าทุกคนจะตั้งความหวังตัวฉันไว้สูงมาก  จากที่ไม่เคยคิดอะไรเป็นรูปธรรมชัดเจนก็เริ่มต้นคาดหวังกับตัวเองว่าจะต้องไต่ไปให้ถึงมาตรฐานที่สูงนั้นให้รวดเร็วให้ได้”


เจิงชุนเหล่ยเมื่อคิดมุ่งมั่นทำอะไรแล้วจะไม่ให้เรื่องภายนอกมารบกวนเธอได้ง่ายๆ   เธอรู้ดีว่าตัวเองควรจะต้องทำอะไร?

“แต่ก็มีบางอย่างที่จำเป็นต้องสั่งสมประสบการณ์จนถึงระดับหนึ่ง  รู้ให้ถ่องแท้จึงจะขึ้นไปอีกสเต็ปหนึ่งได้  
สองปีนั้นฉันเล่นได้ไม่ดีเอาเลย สภาพจิตใจก็ย่ำแย่  เมื่อเจอลูกยากๆก็ตื่นเต้นปั่นป่วน  ยิ่งลูกที่มาไม่ดีก็ยิ่งต้องการตบให้ขาด  
ตบไม่ดีก็จิตตก  กดดันตัวเอง   ด้วยสภาพที่เป็นแบบนี้ก็คงยากที่จะพัฒนา “


เมื่อขีดความสามารถมีจำกัด  จิตใจก็ไม่นิ่ง  ทำให้เจิงชุนเหล่ยมองไม่เห็นหนทางที่จะพัฒนาฝีมือตัวเองให้ก้าวหน้า    
เริ่มสงสัยไม่มั่นใจถึงเป้าหมายที่ได้ตั้งไว้   .... เหรียญรางวัลโอลิมปิกที่ริโอ !!    

“มีอยู่ช่วงหนึ่งที่ฉันมักจะถามตัวเอง  ฉันทำได้ไหม?  เป้าหมายจะเป็นจริงได้หรือ?   ทำไมถึงรู้สึกว่ามันดูเลือนลางเลื่อนลอย”

เป็นชุดคำถามที่ยังไม่มีคำตอบ   แต่ด้วยความรู้สึกนึกคิดชั่วพริบตาที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง  
เจิงชุนเหล่ยเธอเป็นคนที่ไวต่อความรู้สึก มีความคิดเป็นของตัวเอง  และก็เป็นความโชคดีของเธอด้วย


“ปี 2014 คลาสแรกของการฝึกซ้อมทีมชาติ  หลังจากที่ห่างหายไปครึ่งปีโค้ชหลางก็กลับมายืนอยู่ตรงหน้าพวกเราอีกครั้ง
ฉันจำรายละเอียดไม่ค่อยได้   แต่เอาเป็นว่าตอนนั้นฉันรู้สึกว่าคนที่ลำบากลำบนสอนพวกเราอยู่ตรงหน้านั้นไม่ใช่เป็นโค้ช
แต่เป็นเหมือนแม่ของตัวเอง  จากนั้นก็มีอยู่หลายครั้งที่เห็นหน้าโค้ชหลางก็พลอยให้คิดไปถึงแม่ตัวเอง  

ฉันยอมที่จะให้คนที่อายุขนาดนี้ต้องมาลำบากเหน็ดเหนื่อยไหม? ทุกวันต้องมายืนอยู่ในสนามคุมเด็กกลุ่มหนึ่งฝึกซ้อม !  
และถ้าสมมติว่าเป็นแม่ตัวเองหละ  เห็นท่านต้องมาลำบากแบบนี้   ทุ่มเทเสียสละเช่นนี้  ฉันคงต้องรู้สึกปวดใจ !


สิ่งที่ฉันพอจะทำอะไรเพื่อโค้ชได้  ก็คือจะพยายามทำหน้าที่อย่างเต็มที่  ขยันตั้งใจฝึกซ้อมพัฒนาฝีมือ  
ไม่ต้องคอยให้โค้ชมาบอกเรียกร้อง ฉันจะทำให้ได้ตามที่โค้ชต้องการ

ขณะที่เธอพูดคำพูดเหล่านี้อยู่นั้น ดวงตามีน้ำตาคลอ  สำหรับเธอแล้วความรักความผูกพันมันกว้างใหญ่ไพศาลกว่าท้องฟ้าเสียอีก


พูดมาถึงตรงนี้  เธอเน้นคำอยู่ 2 คำ  “สั่งสม”   มาใช้อธิบายถึงการฝึกสอนที่มีความผูกพันกันระหว่างโค้ชกับผู้เล่น
และเป็นแรงส่งที่ทำให้เธอพัฒนาเปลี่ยนแปลง

“ปีนี้ที่ฉันพัฒนาเปลี่ยนแปลงมีหลายด้าน  เทคนิคฝีมือมีความก้าวหน้า  ความนิ่งของจิตใจ  
แต่ที่ฉันรู้สึกว่าสิ่งที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ขึ้นมาได้ นั่นก็คือทัศนคติความคิดที่เปลี่ยนแปลง  

ประสบการณ์ในปี 2013  รวมถึงความเอาใจใส่ฝึกสอนถ่ายทอดวิชาความรู้ของโค้ชหลาง  สั่งสมจนถึงระดับหนึ่ง  กลายเป็นพลังผลักดันที่แรงกล้า ทำให้พวกเราทุกคนรู้ถึงระดับชั้นการพัฒนาที่มีแตกต่างกันหลายระดับ   สำหรับตัวฉันเอง  อย่างแรกก็คือทัศนคติเรื่องการฝึกซ้อมเปลี่ยนไป  เริ่มต้นที่ตัวเราก่อนให้ความร่วมมือกับโค้ชในการฝึกซ้อมอย่างเต็มที่  เชื่อมั่นโค้ช  เชื่อมั่นตัวเอง เชื่อมั่นทีม”    

ความคิดเปลี่ยน   เป้าหมายชัดเจน   ยืนหยัดต่อเนื่อง

“ตัวฉันเป็นคนที่ทุ่มเทเพื่อเป้าหมาย  ถ้ายังคิดไม่ตก  แน่นอนก็คงไม่มีพลังขับดันออกมาได้   แต่ถ้าคิดได้  เราก็จะเกิดความหวัง  ก็จะมีความมุ่งมั่น  ไม่ว่าลำบากเหน็ดเหนื่อยเพียงใดก็ต้องทำให้สำเร็จให้จงได้ “ หลายคนที่ชื่นชอบเจิงชุนเหล่ยก็ตรงที่พลังความมุ่งมั่นของสาวปักกิ่งคนนี้นั่นแหละ  


**ยังมีต่อ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่