สวัสดีครับ
ขออนุญาต นำคอลัมน์ "ม็อกค่าปาท่องโก๋" ที่ผมเขียนประจำในเนชั่นสุดสัปดาห์นั้น มาเผยแพร่ให้ได้อ่านกัน เพื่อขอคำแนะนำ คำติชม เพื่อปรับปรุงงานเขียนต่อไปในอนาคตเรื่อยๆครับ ขอบคุณครับ
เนชั่นสุดสัปดาห์ เล่มที่ 1176-1177 ประจำวันที่ 12/19 ธันวาคม 2557
“ม็อคค่าปาท่องโก๋” ฉบับนี้ จะแนะนำให้ทุกท่านได้รู้จักกับสองนักแสดงหนังไทยหน้าใหม่ในหนัง “รักหมดแก้ว” จากค่าย M๓๙
คือน้องน้ำหวาน “พิไลพร สุปินชมภู” ในบท “ไฟเลี้ยว” และน้องปอนด์ “ณปรัชญ์ รัตนนิตย์” ในบท “บั๊กโจ้”
Mr. Coffee: อยากให้ช่วยแนะนำตัวเองด้วยครับพร้อมผลงานที่ผ่านมา
น้ำหวาน : ชื่อน้ำหวาน ชื่อจริง พิไลพร สุปินชมภู ตอนนี้เป็นนักศึกษาอยู่ที่มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ คณะมนุษยศาสตร์ ผลงานที่ผ่านมาก็จะมีโฆษณาเครื่องสำอาง 2 ตัวค่ะ
ปอนด์: ผมชื่อ ปอนด์ ณปรัชญ์รัตนนิตย์ ครับ เป็นสถาปนิก พอดีเพิ่งจบมา ก็ได้จังหวะมาเล่นหนังเรื่องนี้ ผลงานอื่นๆ เช่น เป็น VJ อยู่ที่ True Music ช่วงหนึ่งทุ่มถึงสองทุ่ม ส่วนผลงานที่ผ่านมาก็จะเป็นเล่น MV เพลงอินดี้ของคนที่รู้จักกัน และล่าสุดก็มี MV ของวง Squeeze Animal และ Lomosonic ครับ
Mr. Coffee: ที่มาของการได้มาเล่น “รักหมดแก้ว”
น้ำหวาน : หวานมี Modeling พามาค่ะ พอดีพี่ Modeling รู้จักกับทีม Casting ของหนังเรื่องนี้ แล้วส่งบทมาให้หวานอ่าน พออ่านแล้วบทก็น่าสนใจนะ หวานก็เลยลองมา Cast ดูค่ะ
ปอนด์: ของผมพี่ทีม Casting เขาไปเห็นผมจาก MV เพลง “ขอ” ของ Lomosonic เพลงคงไปโดนคนหลายคน เขาเลยแชร์กันใน Facebook ก็เลยติดต่อให้ผมมา Cast ดูครับ คงเป็นจังหวะของผม เพราะผมไม่ได้มาสายตรง
Mr. Coffee: แล้วทำไมสุดท้ายทางทีมงานหนังถึงเลือกเราสองคนให้มาเล่นในหนังเรื่องนี้
น้ำหวาน : เขาบอกว่าหวานดูมี Inner เพราะตอนแรกหวานน่ะใหม่มาก การแสดงก็ยังไม่เคยได้เรียน แล้วหนังเรื่องนี้ก็เป็นหนังเรื่องแรกที่ลองมา Cast ดู เขาบอกว่าดูมี Inner มีอะไร น่าจะสามารถต่อยอดได้
ปอนด์: ของผมคงเพราะส่วนหนึ่งมันตรงกับ Character ของพระเอก ด้วยความที่เป็นคนไม่ค่อยมีอะไรในชีวิตเหมือนพระเอก (หัวเราะ) เพราะตอนผมมา Cast ก็เป็นช่วงที่ไม่ได้ทำอะไร เที่ยวเล่น ไร้แก่นสารสุดๆ ในชีวิต มาประจวบเหมาะกับพอดีที่พระเอกเรื่องนี้เป็น Feel นั้น เป็นสไตล์ Loser ยอมผู้หญิงตลอด
น้ำหวาน : พี่เขาบอกว่าชอบหน้าของพี่ปอนด์ หน้าดูแบบ ไม่มีอะไร ดูไม่ใช่ลูกคุณหนู (หัวเราะ)
ปอนด์: ไม่ได้ด่าพี่ใช่ไหม (หัวเราะ) ประมาณนั้นครับ คงไปโดนตรงนั้น
Mr. Coffee: เล่าถึงคาแรกเตอร์ของตัวเองใน “รักหมดแก้ว” พร้อมกับเปรียบเทียบกับตัวจริง
น้ำหวาน : เรียกได้ว่าไม่ใกล้เคียงเลยค่ะ เพราะในตัวของ “ไฟเลี้ยว” เขาจะเป็นผู้หญิงที่คิดเยอะ เป็นผู้หญิงอินดี้รักอิสระ ความรักมีกฎเกณฑ์ เป็นผู้หญิงที่มั่นใจและแสดงออกว่ามั่นใจเพื่อกลบเกลื่อนความผิดพลาดทุกอย่างของเขา ฟอร์มจัด ส่วนตัวจริงของหนู เป็นคนนุ่มนิ่ม
ปอนด์: เป็นคนโดนรังแกได้ง่าย
น้ำหวาน : ชอบโดนแกล้ง แต่ในหนังต้องมั่นใจ ก็เป็นเรื่องยากเหมือนกันที่จะปรับบุคลิกของเราให้เป็นแบบในหนังค่ะ มันแตกต่างกับเราแบบพลิกเลยค่ะ
ปอนด์: ของผมมันตรงส่วนหนึ่งครับ แต่ไม่ใช่ทั้งหมด “บั๊กโจ้” ในหนังเป็นคนไร้แก่นสารพอๆกับผมนี่แหล่ะครับ แต่เขาจะนิ่งๆ กว่าในแง่ของนิสัย แต่ของผมจะเป็นแนวเสียงดังโวยวาย “บั๊กโจ้” จะเป็นคนไม่หยาบคายเท่าผมครับ (หัวเราะ)
Mr. Coffee: ยากแค่ไหนกับการแสดงของทั้งสองคน
น้ำหวาน : ยากมากค่ะ กดดัน เพราะเราต้องมาเล่นเป็นเขาให้ได้ 100% ด้วย ซึ่งมันใหม่ ยากแต่ก็สนุกดีและเต็มที่กับมัน
ปอนด์: สำหรับผมยากตรงที่มันใกล้เคียงนี่แหล่ะ เพราะผู้กำกับเขาอยากได้เบอร์ถึงแค่นี้ แต่เราดันมีมากกว่านั้น แล้วเล่นเกินออกไปก็เลยกลายเป็นแบบ ก่อนหน้านี้เอา แต่ตรงท้ายสุดไม่เอา ก็เลยยากตรงที่คนเราไม่ได้มีบรรทัด ตั้งระดับการเล่นได้ขนาดนั้น ผมเล่นไปก็ก้ำกึ่งตลอด
Mr. Coffee:การต้องมาแสดงคู่กัน เป็นอย่างไรบ้าง
น้ำหวาน : (หัวเราะ) ครั้งแรกเจอกัน ตกใจค่ะ พี่ปอนด์แบบว่า จะหยาบคายไหมค่ะที่จะเล่า (หัวเราะ) คือเสื้อที่พี่ปอนด์ใส่มา บ้านหวานเอาไปทำผ้าขี้ริ้ว (หัวเราะ) เสื้อตัวใหญ่มาก ดูปอนๆ เลยค่ะ นี่หรือที่ผู้กำกับเขาชอบ(หัวเราะ)
Mr. Coffee: ตกลงชื่อ ปอน หรือ ปอนด์ (หัวเราะ)
ปอนด์: ปอนด์ ครับ (หัวเราะ) เอ่อ ชื่อผมนี่มาจากเงินปอนด์ สกุลเงินที่มีค่าสูงที่สุดในโลกเลยนะ (หัวเราะ) แต่พฤติกรรมการใช้ชีวิต กลายเป็นปอนจนทุกวันนี้ (หัวเราะ)
น้ำหวาน : หลังจากนั้น หวานเลยกลับไปดู MV ของ Lomosonic ดูแล้วหวานก็ตะโกนว่า คนนี้หรอ (หัวเราะ)
ปอนด์: ส่วนผมตอนเจอน้ำหวานครั้งแรกก็ดีครับ น้ำหวานน่ารัก แต่หลังๆ ก็ (หัวเราะ) และคือเราอ่านบทไปบ้างแล้วก็สงสัยเพราะในนั้นน้องต้องแรงมาก แต่ตัวจริงน้องเขาดูน่าแกล้งมากเลย แต่ในนั้นเขาจะ Strong มาก สงสัยว่าจะเป็นยังไง เพราะมีฉากต้องใกล้ชิดกันด้วย น้องเขาจะรู้สึกว่าโดนคุกคามหรือเปล่า
น้ำหวาน : ตอนแรกพี่ปอนด์ออกตัวถามก่อนเลยนะว่าจะเล่นได้ไหม มีบทจูบด้วย หวานก็เลยบอกว่าหวานไม่ใช่คนเรียบร้อยจัดขนาดนั้น หวานเล่นได้
Mr. Coffee: เมื่อต้องประกบกับนักแสดงมากฝีมืออย่าง มาช่า น้องๆ รู้สึกอย่างไร
ปอนด์: ด้วยความที่ผมได้ยินชื่อเขามานาน เราก็จะมีภาพของเขาในหัว พอมาเจอตัวจริง มีรัศมีซุป’ตาร์ประกอบกับที่เขาเป็นคนพูดน้อยด้วย ก็เลยกลัวและเกร็งไปก่อน ซึ่งในบทต้องสนิทกันด้วย แต่พอเล่นจริงๆ พี่ช่าเขาเป็นคนน่ารัก คุยได้นะ
น้ำหวาน : หวานก็จะเกร็งกับพี่ช่าที่สุด เพราะพี่ช่าเขาพูดน้อย แต่พอเข้าฉาก ในบทมันจะต้องคลิกกันมาก พี่ช่าก็สะกิดหัวเข่าบอกว่า เราคุยกันได้นะ ไม่ต้องกลัว ก็เลยรู้สึกสบายใจขึ้น เวลาเราถามเรื่องประสบการณ์เรื่องการแสดงต่างๆ พี่ช่าก็เล่าให้ฟังหมดเลย
Mr. Coffee: แสดงหนังยาก-ง่าย อย่างไร เมื่อเทียบกับงานที่เคยทำมา
ปอนด์: ต่างกันเยอะเหมือนกันครับ เพราะก่อนหน้านี้ที่ผมทำมาก็คือ MV แล้วยิ่งผู้กำกับ MV ก็สนิทกันด้วย เขาจะ Brief เราแค่อารมณ์ ไม่ซีเรียสเรื่องบทพูด เพราะ สุดท้ายเพลงมันก็จะทับหมด แต่พอมาเป็นหนัง สิ่งที่เปลี่ยนเลยก็คือ คำพูดมันจะต้องตาม Dialogue การที่เรา Improvise ไปมาก ก็จะทำให้มีปัญหากับการตัดต่อ ซึ่งผมมักจะมีปัญหาตรงนี้เพราะพูดไปตามจังหวะแต่ไม่ตรงตาม Dialogue
น้ำหวาน : หวานผ่านมาแค่งานโฆษณาค่ะ แต่ก็เป็นกองใหญ่เหมือนกัน ถามว่าแตกต่างไหม มันก็แตกต่างกันในเรื่องของอารมณ์เหมือนกันค่ะ เพราะอย่างในโฆษณา จะต้องแสดงออกมาเกินจริง อย่างในหนังขอ 10 โฆษณาจะขอ 20 เราจะต้องแสดงออกมามากกว่า และเราจะต้องแสดงให้ชัดเจนในทุกๆวินาที เพราะโฆษณายาวไม่กี่วินาทีเอง ส่วนในหนังก็จะต้องมีบทพูด มีการทำความเข้าใจ แต่หวานก็ Happy กับทุกกองเลยนะสนุกหมดทุกกองเลย
Mr. Coffee: ประสบการณ์ที่ผ่านมา ช่วยให้เข้าใจและเล่นหนังง่ายขึ้นมั้ย
น้ำหวาน : สำหรับหวานคือ พูดตรงๆ เลยว่าหวานมีประสบการณ์น้อยมาก ทั้งในเรื่องของการแสดงหนัง และปาร์ตี้ในวงเหล้า ก็เลยต้องมีการทำการบ้านบ้าง ไปหา Moment ในการเมาของเราว่า ถ้าเราเมาจะรู้สึกเป็นอย่างไร ทีนี้เราก็ต้องนั่งฟังประสบการณ์และเรื่องราวของคนอื่นๆ ต้องฟังให้เยอะ ต้องให้เกิดประสบการณ์
ปอนด์: ประสบการณ์ในวงเหล้า ผมเจอมาทุกอย่างแล้ว ก็เลยเข้าใจ แต่สิ่งที่แตกต่างกันคือ วงเหล้าในหนัง มันก็หยาบได้แค่ระดับหนึ่ง แต่วงเหล้าของจริงก็สุด หรืออย่างอกหัก ก็ต้องมาลงกับเหล้า เรื่องนี้ผมเอามาใช้ได้ เวลาโดนกระทำมามันใช่เลย ก็เลยเอามาใช้ได้จริง
Mr. Coffee : นักแสดงในดวงใจ
น้ำหวาน : หวานชอบพี่แอน ทองประสม เพราะว่าหวานมีความรู้สึกว่า เวลาที่หวานเห็นเขาเล่นละคร หวานมีความเชื่อจริงๆ ว่า เขาเป็นตัวนั้น บทเศร้า ก็เชื่อจริงๆ ว่าเขาเป็นแบบนั้น พอเป็นบทก๋ากั่น ตลก บ้าบอ ก็เชื่อเลยว่าเขาเป็นแบบนั้น จะมีความเป็นกึ่งกลาง ดูเป็นตัวเองเหมือนบางคน เชื่อว่าเขาเป็นตัวนั้นจริงๆ เราชอบดูแล้วอิน
ปอนด์: เวลาดูหนัง ผมชอบดู Acting เป็นหลัก อย่างใน Black Swan ที่นาตาลี พอร์ตแมน เล่น มันทำให้เรา Dark ไปกับเขาได้ ทำให้เราอิน เชื่อเลยว่าเขาเป็นนักบัลเลต์ จริงๆ ซึ่งเวลา Feel นี้มันออกมามันต้องมีองค์ประกอบหลายอย่างทั้งผู้กำกับดี นักแสดงต้องถึง หรืออย่างใน Les Misérables ที่ร้องไห้อยู่ตรงเรือ ช่วงที่ชีวิตตกต่ำมากจนต้องขายตัวแล้ว คือซีนนั้นจริงๆ เขาแค่ร้องไห้ แต่การร้องไห้ของเขามันสื่อได้ว่าชีวิตของเขา Down มาก ควรจะตายแล้วแต่มันไม่ตาย เขาแค่ร้องไห้ ไม่ต้องพูด
Mr. Coffee : อยากทำงานแบบไหนอีกบ้างในวงการบันเทิง
น้ำหวาน : ถ้าถามหวานนะตอนนี้ หวานเริ่มชอบการแสดงแล้วล่ะ ก็อยากจะพัฒนาตัวเองไปเรื่อยๆ ค่ะ อยากจะไปเรียน Acting เพิ่มอีก และในอนาคตหวานว่าหวานอยากเป็นนักร้อง อาจจะมีอัลบั้มเพลงเป็นของตัวเอง เพราะตอนนี้หนูเป็นศิลปินสังกัดค่าย Tigger Twins แต่ยังไม่ใช่ Single ประกอบหนังเรื่องนี้ค่ะ
ปอนด์: ของผมก็เป็นไปตามชะตา (หัวเราะ) เพราะไม่ได้ Point มาทางด้านนี้แต่แรก ผมเรียนสถาปัตย์มา ก็ตั้งใจจะเป็นสถาปนิกอยู่แล้ว พอดีจังหวะนี้ทำให้เราเข้ามาทำงานตรงนี้ได้ แต่ก็ไม่ใช่ว่าชีวิตไม่เคยเฉียดเข้ามาในวงการบันเทิงเลย แค่เราไม่ได้ Point ว่าจะต้องไปเป็นนักแสดง ต้องไปต่อยอด เราเป็นเบื้องหลังได้หมด ตอนอยู่มหาวิทยาลัยผมก็คุมไฟละครเวที ก็จะรู้เรื่อง เวลาออกกองก็จะดูวิธี Set ไฟ ไปด้วย หรืออย่างการถ่ายรูป ก็ถ่ายรูปจนใช้หาเงินได้อยู่แล้ว การที่ได้มาอยู่ในกองถ่าย ประโยชน์ที่ได้นอกจากเรียนรู้เรื่องการแสดงแล้ว เราก็ได้เรียนรู้เรื่องเบื้องหลัง ของระดับมืออาชีพไปด้วย การที่เลนส์กล้องกับเลนส์หนังก็ใช้ช่วงเดียวกัน เราก็ดูวิธีถ่าย รวมถึงการจัดแสง ดังนั้นต่อไปถ้าเราไม่ได้เป็นนักแสดง เราอาจจะไปเป็นทีมงานเบื้องหลังก็ได้
Mr. Coffee : ก่อนเข้ามาในวงการบันเทิง กับหลังเข้ามาแล้ว มองวงการบันเทิงเปลี่ยนไปอย่างไร
น้ำหวาน : เปลี่ยนค่ะ แต่ตอนแรกหวานก็ไม่ได้มองว่ามันสวยงาม โรยด้วยกลีบกุหลาบอยู่แล้ว มองว่าเบื้องหลังของการทำงานมันจะต้องมีความลำบาก ความเหนื่อย ของนักแสดง ของทีมงาน แต่เราก็ได้แต่คิด พอได้มาทำงานในวงการจริงๆ ทำให้รู้เลยว่า ทุกๆ อย่าง ทุกๆ ขั้นตอน เบื้องหลังก่อนที่จะออกไปสู่สายตาประชาชน มันต้องผ่านความพยายาม ความตั้งใจ ความเหน็ดเหนื่อย ความสามารถของทุกๆ คนจริงๆ ไม่ใช่แค่ว่าเป็นนักแสดง ดีจัง สวยจัง ไม่ใช่แค่นั้นค่ะ มีอะไรที่มากกว่านั้น เป็นศาสตร์ที่ต้องเรียนรู้ เปิดโลกใหม่ให้หวานเลยค่ะ
ปอนด์: ได้เรียนรู้หลายแง่ครับ มุมที่เปลี่ยนไป ล่าสุดผมมองว่า ดาราต้องหล่อ ต้องสวย ต้องผิวดีอยู่แล้วถึงได้เข้ามา ส่วนตัวเราสาย Dark สุดๆ (หัวเราะ) จะเป็นได้ก็หนังชีวิต หรือได้เล่นเพราะชีวิตโดนแบบนั้นมา ก็เลยคิดว่าจะไปทางนี้ แต่พอเข้ามาแล้วก็ได้รู้ว่า มันไม่ได้ ก็ยังต้องมีการดูแลตัวเอง ก็เลยทำให้เรามองว่า การที่เขาต้องดูแลตัวเอง ไม่ใช่ความจริตอะไร แต่เป็นความรับผิดชอบแบบหนึ่งของนักแสดง แต่วันที่เข้ากองแล้วไปสร้างปัญหาจะกระทบหลายคน ถ้าหน้าไม่ได้ ถ่ายไปก็ขายไม่ได้ มันก็กระทบพ่วงเป็นหางว่าว ก็เลยพลิกมุมมองไปเลยว่าการดูแลตัวเอง มันไม่ใช่จริต แต่เป็นความรับผิดชอบของนักแสดง ต้องยอมแลกหลายๆ อย่าง นั่นคือเหตุผลว่าทำไมค่าตัวถึงแพง เพราะหมายถึงความรับผิดชอบที่คุณมีต่องาน
ม็อกค่าปาท่องโก๋ : รักหมดแก้ว {สัมภาษณ์ น้ำหวานและปอนด์ พระเอก - นางเอก รักหมดแก้ว}
ขออนุญาต นำคอลัมน์ "ม็อกค่าปาท่องโก๋" ที่ผมเขียนประจำในเนชั่นสุดสัปดาห์นั้น มาเผยแพร่ให้ได้อ่านกัน เพื่อขอคำแนะนำ คำติชม เพื่อปรับปรุงงานเขียนต่อไปในอนาคตเรื่อยๆครับ ขอบคุณครับ
เนชั่นสุดสัปดาห์ เล่มที่ 1176-1177 ประจำวันที่ 12/19 ธันวาคม 2557
“ม็อคค่าปาท่องโก๋” ฉบับนี้ จะแนะนำให้ทุกท่านได้รู้จักกับสองนักแสดงหนังไทยหน้าใหม่ในหนัง “รักหมดแก้ว” จากค่าย M๓๙
คือน้องน้ำหวาน “พิไลพร สุปินชมภู” ในบท “ไฟเลี้ยว” และน้องปอนด์ “ณปรัชญ์ รัตนนิตย์” ในบท “บั๊กโจ้”
Mr. Coffee: อยากให้ช่วยแนะนำตัวเองด้วยครับพร้อมผลงานที่ผ่านมา
น้ำหวาน : ชื่อน้ำหวาน ชื่อจริง พิไลพร สุปินชมภู ตอนนี้เป็นนักศึกษาอยู่ที่มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ คณะมนุษยศาสตร์ ผลงานที่ผ่านมาก็จะมีโฆษณาเครื่องสำอาง 2 ตัวค่ะ
ปอนด์: ผมชื่อ ปอนด์ ณปรัชญ์รัตนนิตย์ ครับ เป็นสถาปนิก พอดีเพิ่งจบมา ก็ได้จังหวะมาเล่นหนังเรื่องนี้ ผลงานอื่นๆ เช่น เป็น VJ อยู่ที่ True Music ช่วงหนึ่งทุ่มถึงสองทุ่ม ส่วนผลงานที่ผ่านมาก็จะเป็นเล่น MV เพลงอินดี้ของคนที่รู้จักกัน และล่าสุดก็มี MV ของวง Squeeze Animal และ Lomosonic ครับ
Mr. Coffee: ที่มาของการได้มาเล่น “รักหมดแก้ว”
น้ำหวาน : หวานมี Modeling พามาค่ะ พอดีพี่ Modeling รู้จักกับทีม Casting ของหนังเรื่องนี้ แล้วส่งบทมาให้หวานอ่าน พออ่านแล้วบทก็น่าสนใจนะ หวานก็เลยลองมา Cast ดูค่ะ
ปอนด์: ของผมพี่ทีม Casting เขาไปเห็นผมจาก MV เพลง “ขอ” ของ Lomosonic เพลงคงไปโดนคนหลายคน เขาเลยแชร์กันใน Facebook ก็เลยติดต่อให้ผมมา Cast ดูครับ คงเป็นจังหวะของผม เพราะผมไม่ได้มาสายตรง
Mr. Coffee: แล้วทำไมสุดท้ายทางทีมงานหนังถึงเลือกเราสองคนให้มาเล่นในหนังเรื่องนี้
น้ำหวาน : เขาบอกว่าหวานดูมี Inner เพราะตอนแรกหวานน่ะใหม่มาก การแสดงก็ยังไม่เคยได้เรียน แล้วหนังเรื่องนี้ก็เป็นหนังเรื่องแรกที่ลองมา Cast ดู เขาบอกว่าดูมี Inner มีอะไร น่าจะสามารถต่อยอดได้
ปอนด์: ของผมคงเพราะส่วนหนึ่งมันตรงกับ Character ของพระเอก ด้วยความที่เป็นคนไม่ค่อยมีอะไรในชีวิตเหมือนพระเอก (หัวเราะ) เพราะตอนผมมา Cast ก็เป็นช่วงที่ไม่ได้ทำอะไร เที่ยวเล่น ไร้แก่นสารสุดๆ ในชีวิต มาประจวบเหมาะกับพอดีที่พระเอกเรื่องนี้เป็น Feel นั้น เป็นสไตล์ Loser ยอมผู้หญิงตลอด
น้ำหวาน : พี่เขาบอกว่าชอบหน้าของพี่ปอนด์ หน้าดูแบบ ไม่มีอะไร ดูไม่ใช่ลูกคุณหนู (หัวเราะ)
ปอนด์: ไม่ได้ด่าพี่ใช่ไหม (หัวเราะ) ประมาณนั้นครับ คงไปโดนตรงนั้น
Mr. Coffee: เล่าถึงคาแรกเตอร์ของตัวเองใน “รักหมดแก้ว” พร้อมกับเปรียบเทียบกับตัวจริง
น้ำหวาน : เรียกได้ว่าไม่ใกล้เคียงเลยค่ะ เพราะในตัวของ “ไฟเลี้ยว” เขาจะเป็นผู้หญิงที่คิดเยอะ เป็นผู้หญิงอินดี้รักอิสระ ความรักมีกฎเกณฑ์ เป็นผู้หญิงที่มั่นใจและแสดงออกว่ามั่นใจเพื่อกลบเกลื่อนความผิดพลาดทุกอย่างของเขา ฟอร์มจัด ส่วนตัวจริงของหนู เป็นคนนุ่มนิ่ม
ปอนด์: เป็นคนโดนรังแกได้ง่าย
น้ำหวาน : ชอบโดนแกล้ง แต่ในหนังต้องมั่นใจ ก็เป็นเรื่องยากเหมือนกันที่จะปรับบุคลิกของเราให้เป็นแบบในหนังค่ะ มันแตกต่างกับเราแบบพลิกเลยค่ะ
ปอนด์: ของผมมันตรงส่วนหนึ่งครับ แต่ไม่ใช่ทั้งหมด “บั๊กโจ้” ในหนังเป็นคนไร้แก่นสารพอๆกับผมนี่แหล่ะครับ แต่เขาจะนิ่งๆ กว่าในแง่ของนิสัย แต่ของผมจะเป็นแนวเสียงดังโวยวาย “บั๊กโจ้” จะเป็นคนไม่หยาบคายเท่าผมครับ (หัวเราะ)
Mr. Coffee: ยากแค่ไหนกับการแสดงของทั้งสองคน
น้ำหวาน : ยากมากค่ะ กดดัน เพราะเราต้องมาเล่นเป็นเขาให้ได้ 100% ด้วย ซึ่งมันใหม่ ยากแต่ก็สนุกดีและเต็มที่กับมัน
ปอนด์: สำหรับผมยากตรงที่มันใกล้เคียงนี่แหล่ะ เพราะผู้กำกับเขาอยากได้เบอร์ถึงแค่นี้ แต่เราดันมีมากกว่านั้น แล้วเล่นเกินออกไปก็เลยกลายเป็นแบบ ก่อนหน้านี้เอา แต่ตรงท้ายสุดไม่เอา ก็เลยยากตรงที่คนเราไม่ได้มีบรรทัด ตั้งระดับการเล่นได้ขนาดนั้น ผมเล่นไปก็ก้ำกึ่งตลอด
Mr. Coffee:การต้องมาแสดงคู่กัน เป็นอย่างไรบ้าง
น้ำหวาน : (หัวเราะ) ครั้งแรกเจอกัน ตกใจค่ะ พี่ปอนด์แบบว่า จะหยาบคายไหมค่ะที่จะเล่า (หัวเราะ) คือเสื้อที่พี่ปอนด์ใส่มา บ้านหวานเอาไปทำผ้าขี้ริ้ว (หัวเราะ) เสื้อตัวใหญ่มาก ดูปอนๆ เลยค่ะ นี่หรือที่ผู้กำกับเขาชอบ(หัวเราะ)
Mr. Coffee: ตกลงชื่อ ปอน หรือ ปอนด์ (หัวเราะ)
ปอนด์: ปอนด์ ครับ (หัวเราะ) เอ่อ ชื่อผมนี่มาจากเงินปอนด์ สกุลเงินที่มีค่าสูงที่สุดในโลกเลยนะ (หัวเราะ) แต่พฤติกรรมการใช้ชีวิต กลายเป็นปอนจนทุกวันนี้ (หัวเราะ)
น้ำหวาน : หลังจากนั้น หวานเลยกลับไปดู MV ของ Lomosonic ดูแล้วหวานก็ตะโกนว่า คนนี้หรอ (หัวเราะ)
ปอนด์: ส่วนผมตอนเจอน้ำหวานครั้งแรกก็ดีครับ น้ำหวานน่ารัก แต่หลังๆ ก็ (หัวเราะ) และคือเราอ่านบทไปบ้างแล้วก็สงสัยเพราะในนั้นน้องต้องแรงมาก แต่ตัวจริงน้องเขาดูน่าแกล้งมากเลย แต่ในนั้นเขาจะ Strong มาก สงสัยว่าจะเป็นยังไง เพราะมีฉากต้องใกล้ชิดกันด้วย น้องเขาจะรู้สึกว่าโดนคุกคามหรือเปล่า
น้ำหวาน : ตอนแรกพี่ปอนด์ออกตัวถามก่อนเลยนะว่าจะเล่นได้ไหม มีบทจูบด้วย หวานก็เลยบอกว่าหวานไม่ใช่คนเรียบร้อยจัดขนาดนั้น หวานเล่นได้
Mr. Coffee: เมื่อต้องประกบกับนักแสดงมากฝีมืออย่าง มาช่า น้องๆ รู้สึกอย่างไร
ปอนด์: ด้วยความที่ผมได้ยินชื่อเขามานาน เราก็จะมีภาพของเขาในหัว พอมาเจอตัวจริง มีรัศมีซุป’ตาร์ประกอบกับที่เขาเป็นคนพูดน้อยด้วย ก็เลยกลัวและเกร็งไปก่อน ซึ่งในบทต้องสนิทกันด้วย แต่พอเล่นจริงๆ พี่ช่าเขาเป็นคนน่ารัก คุยได้นะ
น้ำหวาน : หวานก็จะเกร็งกับพี่ช่าที่สุด เพราะพี่ช่าเขาพูดน้อย แต่พอเข้าฉาก ในบทมันจะต้องคลิกกันมาก พี่ช่าก็สะกิดหัวเข่าบอกว่า เราคุยกันได้นะ ไม่ต้องกลัว ก็เลยรู้สึกสบายใจขึ้น เวลาเราถามเรื่องประสบการณ์เรื่องการแสดงต่างๆ พี่ช่าก็เล่าให้ฟังหมดเลย
Mr. Coffee: แสดงหนังยาก-ง่าย อย่างไร เมื่อเทียบกับงานที่เคยทำมา
ปอนด์: ต่างกันเยอะเหมือนกันครับ เพราะก่อนหน้านี้ที่ผมทำมาก็คือ MV แล้วยิ่งผู้กำกับ MV ก็สนิทกันด้วย เขาจะ Brief เราแค่อารมณ์ ไม่ซีเรียสเรื่องบทพูด เพราะ สุดท้ายเพลงมันก็จะทับหมด แต่พอมาเป็นหนัง สิ่งที่เปลี่ยนเลยก็คือ คำพูดมันจะต้องตาม Dialogue การที่เรา Improvise ไปมาก ก็จะทำให้มีปัญหากับการตัดต่อ ซึ่งผมมักจะมีปัญหาตรงนี้เพราะพูดไปตามจังหวะแต่ไม่ตรงตาม Dialogue
น้ำหวาน : หวานผ่านมาแค่งานโฆษณาค่ะ แต่ก็เป็นกองใหญ่เหมือนกัน ถามว่าแตกต่างไหม มันก็แตกต่างกันในเรื่องของอารมณ์เหมือนกันค่ะ เพราะอย่างในโฆษณา จะต้องแสดงออกมาเกินจริง อย่างในหนังขอ 10 โฆษณาจะขอ 20 เราจะต้องแสดงออกมามากกว่า และเราจะต้องแสดงให้ชัดเจนในทุกๆวินาที เพราะโฆษณายาวไม่กี่วินาทีเอง ส่วนในหนังก็จะต้องมีบทพูด มีการทำความเข้าใจ แต่หวานก็ Happy กับทุกกองเลยนะสนุกหมดทุกกองเลย
Mr. Coffee: ประสบการณ์ที่ผ่านมา ช่วยให้เข้าใจและเล่นหนังง่ายขึ้นมั้ย
น้ำหวาน : สำหรับหวานคือ พูดตรงๆ เลยว่าหวานมีประสบการณ์น้อยมาก ทั้งในเรื่องของการแสดงหนัง และปาร์ตี้ในวงเหล้า ก็เลยต้องมีการทำการบ้านบ้าง ไปหา Moment ในการเมาของเราว่า ถ้าเราเมาจะรู้สึกเป็นอย่างไร ทีนี้เราก็ต้องนั่งฟังประสบการณ์และเรื่องราวของคนอื่นๆ ต้องฟังให้เยอะ ต้องให้เกิดประสบการณ์
ปอนด์: ประสบการณ์ในวงเหล้า ผมเจอมาทุกอย่างแล้ว ก็เลยเข้าใจ แต่สิ่งที่แตกต่างกันคือ วงเหล้าในหนัง มันก็หยาบได้แค่ระดับหนึ่ง แต่วงเหล้าของจริงก็สุด หรืออย่างอกหัก ก็ต้องมาลงกับเหล้า เรื่องนี้ผมเอามาใช้ได้ เวลาโดนกระทำมามันใช่เลย ก็เลยเอามาใช้ได้จริง
Mr. Coffee : นักแสดงในดวงใจ
น้ำหวาน : หวานชอบพี่แอน ทองประสม เพราะว่าหวานมีความรู้สึกว่า เวลาที่หวานเห็นเขาเล่นละคร หวานมีความเชื่อจริงๆ ว่า เขาเป็นตัวนั้น บทเศร้า ก็เชื่อจริงๆ ว่าเขาเป็นแบบนั้น พอเป็นบทก๋ากั่น ตลก บ้าบอ ก็เชื่อเลยว่าเขาเป็นแบบนั้น จะมีความเป็นกึ่งกลาง ดูเป็นตัวเองเหมือนบางคน เชื่อว่าเขาเป็นตัวนั้นจริงๆ เราชอบดูแล้วอิน
ปอนด์: เวลาดูหนัง ผมชอบดู Acting เป็นหลัก อย่างใน Black Swan ที่นาตาลี พอร์ตแมน เล่น มันทำให้เรา Dark ไปกับเขาได้ ทำให้เราอิน เชื่อเลยว่าเขาเป็นนักบัลเลต์ จริงๆ ซึ่งเวลา Feel นี้มันออกมามันต้องมีองค์ประกอบหลายอย่างทั้งผู้กำกับดี นักแสดงต้องถึง หรืออย่างใน Les Misérables ที่ร้องไห้อยู่ตรงเรือ ช่วงที่ชีวิตตกต่ำมากจนต้องขายตัวแล้ว คือซีนนั้นจริงๆ เขาแค่ร้องไห้ แต่การร้องไห้ของเขามันสื่อได้ว่าชีวิตของเขา Down มาก ควรจะตายแล้วแต่มันไม่ตาย เขาแค่ร้องไห้ ไม่ต้องพูด
Mr. Coffee : อยากทำงานแบบไหนอีกบ้างในวงการบันเทิง
น้ำหวาน : ถ้าถามหวานนะตอนนี้ หวานเริ่มชอบการแสดงแล้วล่ะ ก็อยากจะพัฒนาตัวเองไปเรื่อยๆ ค่ะ อยากจะไปเรียน Acting เพิ่มอีก และในอนาคตหวานว่าหวานอยากเป็นนักร้อง อาจจะมีอัลบั้มเพลงเป็นของตัวเอง เพราะตอนนี้หนูเป็นศิลปินสังกัดค่าย Tigger Twins แต่ยังไม่ใช่ Single ประกอบหนังเรื่องนี้ค่ะ
ปอนด์: ของผมก็เป็นไปตามชะตา (หัวเราะ) เพราะไม่ได้ Point มาทางด้านนี้แต่แรก ผมเรียนสถาปัตย์มา ก็ตั้งใจจะเป็นสถาปนิกอยู่แล้ว พอดีจังหวะนี้ทำให้เราเข้ามาทำงานตรงนี้ได้ แต่ก็ไม่ใช่ว่าชีวิตไม่เคยเฉียดเข้ามาในวงการบันเทิงเลย แค่เราไม่ได้ Point ว่าจะต้องไปเป็นนักแสดง ต้องไปต่อยอด เราเป็นเบื้องหลังได้หมด ตอนอยู่มหาวิทยาลัยผมก็คุมไฟละครเวที ก็จะรู้เรื่อง เวลาออกกองก็จะดูวิธี Set ไฟ ไปด้วย หรืออย่างการถ่ายรูป ก็ถ่ายรูปจนใช้หาเงินได้อยู่แล้ว การที่ได้มาอยู่ในกองถ่าย ประโยชน์ที่ได้นอกจากเรียนรู้เรื่องการแสดงแล้ว เราก็ได้เรียนรู้เรื่องเบื้องหลัง ของระดับมืออาชีพไปด้วย การที่เลนส์กล้องกับเลนส์หนังก็ใช้ช่วงเดียวกัน เราก็ดูวิธีถ่าย รวมถึงการจัดแสง ดังนั้นต่อไปถ้าเราไม่ได้เป็นนักแสดง เราอาจจะไปเป็นทีมงานเบื้องหลังก็ได้
Mr. Coffee : ก่อนเข้ามาในวงการบันเทิง กับหลังเข้ามาแล้ว มองวงการบันเทิงเปลี่ยนไปอย่างไร
น้ำหวาน : เปลี่ยนค่ะ แต่ตอนแรกหวานก็ไม่ได้มองว่ามันสวยงาม โรยด้วยกลีบกุหลาบอยู่แล้ว มองว่าเบื้องหลังของการทำงานมันจะต้องมีความลำบาก ความเหนื่อย ของนักแสดง ของทีมงาน แต่เราก็ได้แต่คิด พอได้มาทำงานในวงการจริงๆ ทำให้รู้เลยว่า ทุกๆ อย่าง ทุกๆ ขั้นตอน เบื้องหลังก่อนที่จะออกไปสู่สายตาประชาชน มันต้องผ่านความพยายาม ความตั้งใจ ความเหน็ดเหนื่อย ความสามารถของทุกๆ คนจริงๆ ไม่ใช่แค่ว่าเป็นนักแสดง ดีจัง สวยจัง ไม่ใช่แค่นั้นค่ะ มีอะไรที่มากกว่านั้น เป็นศาสตร์ที่ต้องเรียนรู้ เปิดโลกใหม่ให้หวานเลยค่ะ
ปอนด์: ได้เรียนรู้หลายแง่ครับ มุมที่เปลี่ยนไป ล่าสุดผมมองว่า ดาราต้องหล่อ ต้องสวย ต้องผิวดีอยู่แล้วถึงได้เข้ามา ส่วนตัวเราสาย Dark สุดๆ (หัวเราะ) จะเป็นได้ก็หนังชีวิต หรือได้เล่นเพราะชีวิตโดนแบบนั้นมา ก็เลยคิดว่าจะไปทางนี้ แต่พอเข้ามาแล้วก็ได้รู้ว่า มันไม่ได้ ก็ยังต้องมีการดูแลตัวเอง ก็เลยทำให้เรามองว่า การที่เขาต้องดูแลตัวเอง ไม่ใช่ความจริตอะไร แต่เป็นความรับผิดชอบแบบหนึ่งของนักแสดง แต่วันที่เข้ากองแล้วไปสร้างปัญหาจะกระทบหลายคน ถ้าหน้าไม่ได้ ถ่ายไปก็ขายไม่ได้ มันก็กระทบพ่วงเป็นหางว่าว ก็เลยพลิกมุมมองไปเลยว่าการดูแลตัวเอง มันไม่ใช่จริต แต่เป็นความรับผิดชอบของนักแสดง ต้องยอมแลกหลายๆ อย่าง นั่นคือเหตุผลว่าทำไมค่าตัวถึงแพง เพราะหมายถึงความรับผิดชอบที่คุณมีต่องาน