ภูผาซ่อนเมฆ (7)
สายการบินบริติซ แอร์เวย์มีกำหนดการบินถึงสุวรรณภูมิในเวลาประมาณเที่ยงคืน วันที่ภูผาจะมา
เมฆหอบเสื้อผ้ามานอนค้างที่คอนโดหวาย
ที่บ้านรังสิต แม่จ๋าเดินออกมาที่รถ “เมฆ...เราเป็นผู้ชายนะ กับพี่หวายเองซึ่งเป็นผู้หญิง แม้เราจะเรียกพี่เรียกน้อง
แต่ความจริงแล้วไม่ใช่ อีกอย่าง แม่รู้ว่าเมฆมีความรู้สึกอย่างไรกับหวาย จงเป็นสุภาพบุรุษกับผู้หญิง
เพศเดียวกับแม่ทุกคนโดยเฉพาะพี่หวาย รักษาประเพณีที่ดี และให้เกียรติเขา เพราะผู้หญิงเสียหายง่ายกว่าผู้ชาย
หากเมฆรักหวายให้รักอย่างมีเหตุผล แม้รักนั้นอาจเป็นเพียงรักเขาข้างเดียว”
“ครับผมทราบดีแม่อย่าห่วงเลย”
เมฆไปรับหวายที่ออฟฟิศเช่นเดิม สองคนแวะกินอาหารร้านอร่อยใกล้คอนโด แล้วขึ้นห้องพัก คอนโดหรู
ใกล้รถไฟฟ้าเดินทางมาทำงานสะดวก ถูกออกแบบอย่างดีพื้นที่ใช้ประโยชน์ต่างๆได้เต็มที่ แต่งอย่างสวยงาม
ไม่ต่างจากโรงแรมหรูห้าดาวเลย เปิดประตูออกมาทางซ้ายมือเป็นมุมเล็กสำหรับทำอาหารทาน
ประเภทอบปิ้ง...อาหารฝรั่ง ตู้เย็นเล็ก ชั้นวางแก้วจานชาม และเครื่องปรุงตลอดจนเครื่องดื่ม ขวามือเป็นมุมนั่งเล่น
โซฟาทันสมัยชุดเล็กพร้อมทีวี ตกแต่งเก๋ดูสวยงาม ผนังเหนือมุมโซฟาเป็นรูปวาดที่ตกแต่งแต้มสีไว้อย่างงดงาม
เป็นรูปกล้วยไม้พันธุ์หวายดอกเล็กสีเหลืองกลีบดอกห้าแฉกตรงกลางคล้ายรูปกรวย
สีเหลืองทั้งดอกแต่ที่เกสรเป็นจุดแต้มสีแดงเลือดนก ลายเส้นและการให้สีโดยการใช้สีน้ำให้ความรู้สึก
อ่อนหวานนุ่มละมุ่นสีสวยถูกใจหวายนัก เมฆวาดให้เป็นของขวัญวันเกิดปีที่แล้ว
ระแนงไม้สีเข้มกั้นระหว่าง มุมนั่งเล่นกับเตียงนอนซึ่งคลุมด้วยผ้าฝ้ายทอมือเนื้อหนา ลายสวยสีเทาครีม
เลยจากเตียงนอนเป็นห้องน้ำอยู่มุมในสุด ตู้เสื้อผ้าบิ้วอินอยู่ติดห้องน้ำ หัวเตียงมีโต๊ะเล็กและกระจกสำหรับแต่งหน้า
ด้านหลังของห้องพักเป็นกระจกเปิดโล่งเห็นทุกอย่างด้านล่างเป็นมุมกว้าง ถนน รถวิ่งหรือร้านค้า ปิดด้วยมู่ลี่สีขาว
หากต้องการความเป็นส่วนตัว มีประตูด้านหลังสไลด์ออกไปที่ระเบียงซึ่งมีโต๊ะนั่งเล่นปรับเอนได้สองตัว
หวายซื้อเฟิร์นมาแขวนสองกระถาง ดูแลอย่างดีให้ความชื้นสม่ำเสมอจนเขียวขจี
คอนโดนี้ป๋ามาช่วยดูและซื้อให้หวายอาจเป็นสิ่งแรกที่หวายได้รับจากป๋าแบบเป็นชิ้นเป็นอัน
เพราะตั้งแต่เรียนจนจบ หวายไม่เคยขอนั่น โน่น นี่เหมือนคนอื่น “ไม่เอารถยนต์สักคันหรือไปไหนสะดวกดีนะ”
“อย่าดีกว่าค่ะ มีแล้วเป็นภาระ ทำงานถ้าต้องไปไหนก็เบิกได้ ที่ทำงานอยู่ใกล้ๆด้วย”
หวายคิดถึงป๋ามือก็เตรียมเสื้อผ้า “พี่หวายอาบน้ำเลยครับ จะได้สบายตัวแล้วนอนพักสักสองชั่วโมง
ผมดูบอลอยู่จะปลุกเองเมื่อถึงเวลา”
“เมฆไม่อาบเหรอ”
“ไว้อาบตอนกลับมาจากสนามบินแล้วนอนเลยดีกว่าครับ”
กลิ่นแป้งหอมอ่อนๆโชยมา เมฆเงยหน้าขึ้นมอง ผมยาวสลวยเป็นลอนยาวถึงกลางหลังเป็นเงาดำขลับ
เธอสวมทับด้วยปิยาม่าสีเข้มเนื้อบางดูเรียบร้อย เสียงเพลงเปิดเบาๆจากหัวเตียง เมฆยังคงนั่งดูทีวีอยู่ใช้หูฟังเสียบ
เขาหันหลังไปดูหวายเธอหลับแล้ว ท่าจะเหนื่อยเห็นว่าออกไปคุมเขาถ่ายทำโปสเตอร์ข้างนอกและแวะประชุมที่โรงงาน
ผ่านไปได้สองชั่วโมง เขาลุกขึ้นเทน้ำดื่ม ยกเก้าอี้หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง มาวางและนั่งมองหน้าสวยที่หลับสนิท
เมฆลุกขึ้นหยิบผ้าบางคลี่ออกคลุมให้อย่างเบามือ หวายปรือตาขึ้นแล้วหลับต่อ ตายาวรีมีเหล่าเต๊ง ขนตาเป็นแผง
“ตาหนูหวายเขาเรียกว่าตากวางค่ะ กวางเป็นสัตว์ที่มีดวงตาสวย ยาวรีลูกตากลมใสแจ๋วแบบนี้แหละค่ะ”
ป้าเข่งเคยเอ่ยขึ้นให้เมฆได้ยิน “กวางสาวตัวนี้จะเป็นอย่างไรนะ” เมฆมองอย่างห่วงใย
เขาก้มลงจูบเบาๆที่หน้าผาก หวายลืมตา แล้วขยับลุกขึ้น
“กี่ทุ่มแล้วคะ”
“จวนแล้วครับ” หวายก้มลงมองนาฬิกา “จวนอะไรนี่สี่ทุ่มกว่าแล้วนะ”
“ไปล้างหน้าเปลี่ยนเสื้อผ้าเถอะ เดี๋ยวขึ้นทางด่วนไม่นานก็ถึง”
หวายแต่งกายชุดลำลองเสื้อยืดแขนยาวคอเต่าตัวบางเนื้อนุ่มสีเทาออกเขียวทับด้วยเสื้อกั๊กยีนส์และรองเท้าผ้าใบ
ผมหวีเรียบแล้วรวบไว้ด้วยผ้าเป็นริ้วยาวลายสวย ทารองพื้น ทาแป้งทับ ลงลิปสีอ่อนเท่านี้ก็สวยแล้ว
“ใบหน้าสดชื่นขึ้นเยอะเลยนะ พี่หวายได้งีบไปสองชั่วโมงแน่ะ”
เมฆใส่เสื้อยืดคอกลมสีดำทับด้วยเสื้อยีนส์พับแขน กางเกงยีนส์ รองเท้าทรงเก๋ของทิมเบอร์แลนด์สีน้ำตาลเข้ม
ผมตัดสั้นเก็บจอนเรียบร้อย เห็นไรหนวดและเคราที่เพิ่งโกนเป็นแนวเขียว ใบหน้าคมเข้ม
ถึงสนามบินก่อนเวลา ทั้งสองเดินไปเช็คดูว่าเครื่องเข้ากี่โมง อีกสิบห้านาที กำลังจะหันกลับไปหาที่นั่ง
มีเด็กหนุ่มรุ่นน้องเมฆเดินเข้ามาทัก
“พี่หวายใช่ไหมครับ...ผมชื่อภูรินทร์เป็นน้องชายพี่ภูครับ" ทุกคนแนะนำตัวกันเสร็จ ภูรินทร์ก็เริ่มบ่น
“กว่าเครื่องจะลง รอกระเป๋า ผ่านต.ม.ก็คงอีกชั่วโมง ความจริงของก็ไม่มากมายอะไรกลับแท็กซี่ยังสะดวกกว่า
ให้ผมมารอรับนะครับ ทีผมไปไหนกลับมาวานให้มารับหน่อยอ้างโน่นนี่ทุกที”คำบ่นจบลงด้วยรอยยิ้ม
เมฆมองหน้าหวายเป็นคำถาม...”น้ำเอยน้ำใจ กับความผูกพันกันในครอบครัวของภูผา” แววกังวลในสายตาของเมฆ
เขาเมินมองไปทางอื่นไม่ต้องการให้เธอเป็นกังวล
“โน้น! พี่ภูออกมาแล้วครับ” ภูรินทร์เอ่ยขึ้น เขาลากกระเป๋าใบใหญ่มีล้อ มาพร้อมกับเป้บนหลังตรงมาที่ทางออก
เขายิ้มเมื่อเห็นหน้าหวาย “คุณหวาย...ดีใจจังนึกว่าจะไม่มารับแล้ว รู้ไหมคิดถึงนะ” หวายยิ้มตอบเขารวบมือเธอมากุมไว้
ยืนใกล้กันจนชิดหวายขยับตัวออกหันมาทางเมฆ “นี่น้องชายหวายค่ะชื่อเมฆา” เมฆก้มศีรษะนิดหนึ่งไม่ได้เอ่ยสวัสดี
“เรียกผมว่าเมฆก็ได้ครับ”
ภูผาใบหน้าเกลี้ยงเกลาเหมือนในภาพ ใส่เสื้อโบโลลายเขียวขาวสวมทับด้วยสูทลำลอง กางเกงยีนส์
“เฮีย” เสียงภูรินทร์เรียกขึ้น “อ้าว! มารับด้วยเหรอ”
“มาสิ ก็เฮียเล่นย้ำแล้วย้ำอีกกลัวกลับบ้านไม่ถูกหรือไง ต้องให้เบิ่งตารอจนเที่ยงคืน” สีหน้าไม่สบอารมณ์ของน้องชาย
เมฆหันมามองหวายแล้วยักไหล่
“คุณเมฆไม่ยักเหมือนคุณหวายเลยนะ” ภูมองไปที่เมฆ เขารู้สึกว่าเมฆไม่ค่อยถูกใจเขาเท่าไร
“ก็เหมือนพ่อบ้าง แม่บ้างแหล่ะค่ะ มาใช่แฝดนี่คะจะได้เหมือนกัน”
“วันสองวันนี้ผมต้องยุ่งแน่เลย” เขาออกตัว
“ไม่เป็นไรค่ะ แต่วันคริสต์มาสป๋าเชิญไปกินข้าวที่บ้านนะคะ คุณภูจะให้มารับหรือไปเองคะ”
“ผมไปเองดีกว่า”
“ดีแล้วครับ นี่แผนที่และเบอร์โทรศัพท์ครับ”
“ผมไปด้วยได้ไหมครับ”ภูรินทร์เอ่ย “ไม่ต้องยุ่งเลย ไม่ต้องไป” เสียงเข้มและห้วน
หวายขมวดคิ้วนิดหนึ่งเมฆมองหน้าเธอแล้วเงียบ
“ผมไปก่อนนะครับแล้วเจอกัน” หวายยิ้ม “ค่ะ” น้องชายเดินนำหน้าไปไม่มีการช่วยถือกระเป๋าหรือหิ้วเป้
หวายมองทั้งสองจนลับตา
“พี่ชายน้องชายคงไม่กินเส้นกันนะครับ”
“อือ! หวายก็ว่าอย่างนั้นแหละ” เมฆเปิดประตูรถให้และพากันกลับคอนโด บริษัทหวายหยุดยาว รวมทั้งลากิจของหวายจนถึงปีใหม่
เช้ามาทั้งคู่ขับรถกลับไปที่บ้านใหญ่ ต้นคริสต์มาสต้นใหญ่ประดับอย่างสวยงาม บนยอดติดลิตเติ้ลแองเจิลไว้น่ารัก
“สวัสดีค่ะทุกคน”
”มาแล้วเหรอ มาๆกินข้าวต้มปลาป้าเข่งทำไว้กำลังร้อนๆเลย”แม่จ๋าเรียกลูกสาวลูกชายมาร่วมโต๊ะ
หวายเข้าไปกอดป๋าและแม่จ๋า ก่อนที่จะนั่งลง
“ช่วงบ่ายนี้ป๋าจะไปแวะที่ร้านอาหารสุขุมวิทหาอาเขาหน่อย ไปเป็นเพื่อนป๋านะ” “ได้เลยค่ะ หวายว่าง”
แม่สุขหทัยออกไปหาซื้อของพร้อมกับลุงชาญมีเมฆขับรถให้
“เป็นไงเงียบเชียว คิดอะไรอยู่ลูก” ลุงชาญถามเมฆ
“เมื่อวันที่ไปรับคุณภู เจอน้องชายเขาด้วยครับ” แล้วเรื่องก็เล่าให้บุพการีทั้งสองฟังจบลงด้วยเสียงถอนใจ
“น่าสนใจนะ ดูเขาไม่สนิทกับน้องชายเลย”
“ครับ...ผมว่าปกติบางบ้านก็ไม่ค่อยสนิทกันนะครับแต่ที่รบกวนใจผมคือน้ำเสียงที่เขาใช้กับน้อง
ไม่เหมาะสมห้วนๆ คนละอย่างกับที่พูดกับพี่หวายเลย”
“หรือโดยสันดานแล้วเป็นแบบนั้น” พ่อชาญเอ่ย
“แม้พ่อเล่นคำแรงไปหรือเปล่าดูพูดเข้า” แม่จ๋าตำหนิ เมฆมองหน้าพ่อดูจะเห็นตรงกันในกรณีนี้
วันคริสต์มาสเสียงเพลงเบาเบาๆอากาศค่อนข้างเย็น ได้บรรยากาศจริงๆ ทุกคนช่วยกันคนละไม้ละมือ
เพื่อไม่ปล่อยให้เป็นภาระป้าเข่งคนเดียว
“คุณภูมาร่วมงานวันนี้ใช่ไหมลูก” แม่จ๋าถามขึ้น
“ค่ะ...คุณภูจะมาเอง เมฆเขียนแผนที่ให้น่าจะมาถูกนะคะ”
"หน้าตาลูกสาวแม่แจ่มใสเชียวนะ”
“ธรรมดาของคนมีความรักครับแม่”เมฆเปรย คุณสุขหทัยมองลูกชายด้วยสายตาดุ ถึงแม่รู้ว่าเขาเจ็บปวด
หวังว่าเวลาคงช่วยให้เขาดีขึ้น หรือหากโชคดีเจอคนที่คู่ควรกัน...แม่จ๋านึกในทางที่ดี
“เราจัดงานคริสต์มาสทุกปีเพราะพ่อนับถือศาสนาคริสต์”
“ก็ดีนะคะสนุกดีออก แล้วคุณลุงก็เป็นผ.อ.โรงเรียนในเครือเซนคาเบรียนด้วย เป็นธรรมดา ดีนะเขาไม่บังคับให้ลุงชาญ
เป็นบาทหลวง แม่จ๋าก็ต้องบวชเป็นแม่ชีตามไปด้วย”
“หวาย” เสียงป๋าปรามเพราะความสนิทกัน หวายมักเผลอล้อเล่นกับผู้ใหญ่มากเกินเหตุ
“ไม่เป็นไรหรอกป๋า เราครอบครัวเดียวกัน”
ยิ่งใกล้เวลานัด หวายที่แต่งตัวสวยรออยู่ยิ่งอยู่ไม่ติด
“ป๋าคะ ป๋าช่วยเปิดใจกว้างให้ภูด้วยนะคะ หวายขอร้องถ้าป๋ารู้จักเขาดี ป๋าจะชอบเขา” ป๋ามองลูกสาวสุดที่รัก
หวายไม่เคยเรียกร้องอะไรเลย เป็นเด็กดี มีเมตตาและใจอ่อน
ตรงนี้แหละที่ผู้ชายอย่างป๋าเป็นห่วงและอดหวั่นไหวไม่ได้
"เอาเถอะป๋าจะลองดู ไม่แน่เราอาจจะเข้ากันได้ดีก็ได้” เธอยิ้ม...แม้เป็นความหวังริบๆแต่ก็ดีกว่าท่าทีครั้งแรก
ภูผาซ่อนเมฆ (7)
สายการบินบริติซ แอร์เวย์มีกำหนดการบินถึงสุวรรณภูมิในเวลาประมาณเที่ยงคืน วันที่ภูผาจะมา
เมฆหอบเสื้อผ้ามานอนค้างที่คอนโดหวาย
ที่บ้านรังสิต แม่จ๋าเดินออกมาที่รถ “เมฆ...เราเป็นผู้ชายนะ กับพี่หวายเองซึ่งเป็นผู้หญิง แม้เราจะเรียกพี่เรียกน้อง
แต่ความจริงแล้วไม่ใช่ อีกอย่าง แม่รู้ว่าเมฆมีความรู้สึกอย่างไรกับหวาย จงเป็นสุภาพบุรุษกับผู้หญิง
เพศเดียวกับแม่ทุกคนโดยเฉพาะพี่หวาย รักษาประเพณีที่ดี และให้เกียรติเขา เพราะผู้หญิงเสียหายง่ายกว่าผู้ชาย
หากเมฆรักหวายให้รักอย่างมีเหตุผล แม้รักนั้นอาจเป็นเพียงรักเขาข้างเดียว”
“ครับผมทราบดีแม่อย่าห่วงเลย”
เมฆไปรับหวายที่ออฟฟิศเช่นเดิม สองคนแวะกินอาหารร้านอร่อยใกล้คอนโด แล้วขึ้นห้องพัก คอนโดหรู
ใกล้รถไฟฟ้าเดินทางมาทำงานสะดวก ถูกออกแบบอย่างดีพื้นที่ใช้ประโยชน์ต่างๆได้เต็มที่ แต่งอย่างสวยงาม
ไม่ต่างจากโรงแรมหรูห้าดาวเลย เปิดประตูออกมาทางซ้ายมือเป็นมุมเล็กสำหรับทำอาหารทาน
ประเภทอบปิ้ง...อาหารฝรั่ง ตู้เย็นเล็ก ชั้นวางแก้วจานชาม และเครื่องปรุงตลอดจนเครื่องดื่ม ขวามือเป็นมุมนั่งเล่น
โซฟาทันสมัยชุดเล็กพร้อมทีวี ตกแต่งเก๋ดูสวยงาม ผนังเหนือมุมโซฟาเป็นรูปวาดที่ตกแต่งแต้มสีไว้อย่างงดงาม
เป็นรูปกล้วยไม้พันธุ์หวายดอกเล็กสีเหลืองกลีบดอกห้าแฉกตรงกลางคล้ายรูปกรวย
สีเหลืองทั้งดอกแต่ที่เกสรเป็นจุดแต้มสีแดงเลือดนก ลายเส้นและการให้สีโดยการใช้สีน้ำให้ความรู้สึก
อ่อนหวานนุ่มละมุ่นสีสวยถูกใจหวายนัก เมฆวาดให้เป็นของขวัญวันเกิดปีที่แล้ว
ระแนงไม้สีเข้มกั้นระหว่าง มุมนั่งเล่นกับเตียงนอนซึ่งคลุมด้วยผ้าฝ้ายทอมือเนื้อหนา ลายสวยสีเทาครีม
เลยจากเตียงนอนเป็นห้องน้ำอยู่มุมในสุด ตู้เสื้อผ้าบิ้วอินอยู่ติดห้องน้ำ หัวเตียงมีโต๊ะเล็กและกระจกสำหรับแต่งหน้า
ด้านหลังของห้องพักเป็นกระจกเปิดโล่งเห็นทุกอย่างด้านล่างเป็นมุมกว้าง ถนน รถวิ่งหรือร้านค้า ปิดด้วยมู่ลี่สีขาว
หากต้องการความเป็นส่วนตัว มีประตูด้านหลังสไลด์ออกไปที่ระเบียงซึ่งมีโต๊ะนั่งเล่นปรับเอนได้สองตัว
หวายซื้อเฟิร์นมาแขวนสองกระถาง ดูแลอย่างดีให้ความชื้นสม่ำเสมอจนเขียวขจี
คอนโดนี้ป๋ามาช่วยดูและซื้อให้หวายอาจเป็นสิ่งแรกที่หวายได้รับจากป๋าแบบเป็นชิ้นเป็นอัน
เพราะตั้งแต่เรียนจนจบ หวายไม่เคยขอนั่น โน่น นี่เหมือนคนอื่น “ไม่เอารถยนต์สักคันหรือไปไหนสะดวกดีนะ”
“อย่าดีกว่าค่ะ มีแล้วเป็นภาระ ทำงานถ้าต้องไปไหนก็เบิกได้ ที่ทำงานอยู่ใกล้ๆด้วย”
หวายคิดถึงป๋ามือก็เตรียมเสื้อผ้า “พี่หวายอาบน้ำเลยครับ จะได้สบายตัวแล้วนอนพักสักสองชั่วโมง
ผมดูบอลอยู่จะปลุกเองเมื่อถึงเวลา”
“เมฆไม่อาบเหรอ”
“ไว้อาบตอนกลับมาจากสนามบินแล้วนอนเลยดีกว่าครับ”
กลิ่นแป้งหอมอ่อนๆโชยมา เมฆเงยหน้าขึ้นมอง ผมยาวสลวยเป็นลอนยาวถึงกลางหลังเป็นเงาดำขลับ
เธอสวมทับด้วยปิยาม่าสีเข้มเนื้อบางดูเรียบร้อย เสียงเพลงเปิดเบาๆจากหัวเตียง เมฆยังคงนั่งดูทีวีอยู่ใช้หูฟังเสียบ
เขาหันหลังไปดูหวายเธอหลับแล้ว ท่าจะเหนื่อยเห็นว่าออกไปคุมเขาถ่ายทำโปสเตอร์ข้างนอกและแวะประชุมที่โรงงาน
ผ่านไปได้สองชั่วโมง เขาลุกขึ้นเทน้ำดื่ม ยกเก้าอี้หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง มาวางและนั่งมองหน้าสวยที่หลับสนิท
เมฆลุกขึ้นหยิบผ้าบางคลี่ออกคลุมให้อย่างเบามือ หวายปรือตาขึ้นแล้วหลับต่อ ตายาวรีมีเหล่าเต๊ง ขนตาเป็นแผง
“ตาหนูหวายเขาเรียกว่าตากวางค่ะ กวางเป็นสัตว์ที่มีดวงตาสวย ยาวรีลูกตากลมใสแจ๋วแบบนี้แหละค่ะ”
ป้าเข่งเคยเอ่ยขึ้นให้เมฆได้ยิน “กวางสาวตัวนี้จะเป็นอย่างไรนะ” เมฆมองอย่างห่วงใย
เขาก้มลงจูบเบาๆที่หน้าผาก หวายลืมตา แล้วขยับลุกขึ้น
“กี่ทุ่มแล้วคะ”
“จวนแล้วครับ” หวายก้มลงมองนาฬิกา “จวนอะไรนี่สี่ทุ่มกว่าแล้วนะ”
“ไปล้างหน้าเปลี่ยนเสื้อผ้าเถอะ เดี๋ยวขึ้นทางด่วนไม่นานก็ถึง”
หวายแต่งกายชุดลำลองเสื้อยืดแขนยาวคอเต่าตัวบางเนื้อนุ่มสีเทาออกเขียวทับด้วยเสื้อกั๊กยีนส์และรองเท้าผ้าใบ
ผมหวีเรียบแล้วรวบไว้ด้วยผ้าเป็นริ้วยาวลายสวย ทารองพื้น ทาแป้งทับ ลงลิปสีอ่อนเท่านี้ก็สวยแล้ว
“ใบหน้าสดชื่นขึ้นเยอะเลยนะ พี่หวายได้งีบไปสองชั่วโมงแน่ะ”
เมฆใส่เสื้อยืดคอกลมสีดำทับด้วยเสื้อยีนส์พับแขน กางเกงยีนส์ รองเท้าทรงเก๋ของทิมเบอร์แลนด์สีน้ำตาลเข้ม
ผมตัดสั้นเก็บจอนเรียบร้อย เห็นไรหนวดและเคราที่เพิ่งโกนเป็นแนวเขียว ใบหน้าคมเข้ม
ถึงสนามบินก่อนเวลา ทั้งสองเดินไปเช็คดูว่าเครื่องเข้ากี่โมง อีกสิบห้านาที กำลังจะหันกลับไปหาที่นั่ง
มีเด็กหนุ่มรุ่นน้องเมฆเดินเข้ามาทัก
“พี่หวายใช่ไหมครับ...ผมชื่อภูรินทร์เป็นน้องชายพี่ภูครับ" ทุกคนแนะนำตัวกันเสร็จ ภูรินทร์ก็เริ่มบ่น
“กว่าเครื่องจะลง รอกระเป๋า ผ่านต.ม.ก็คงอีกชั่วโมง ความจริงของก็ไม่มากมายอะไรกลับแท็กซี่ยังสะดวกกว่า
ให้ผมมารอรับนะครับ ทีผมไปไหนกลับมาวานให้มารับหน่อยอ้างโน่นนี่ทุกที”คำบ่นจบลงด้วยรอยยิ้ม
เมฆมองหน้าหวายเป็นคำถาม...”น้ำเอยน้ำใจ กับความผูกพันกันในครอบครัวของภูผา” แววกังวลในสายตาของเมฆ
เขาเมินมองไปทางอื่นไม่ต้องการให้เธอเป็นกังวล
“โน้น! พี่ภูออกมาแล้วครับ” ภูรินทร์เอ่ยขึ้น เขาลากกระเป๋าใบใหญ่มีล้อ มาพร้อมกับเป้บนหลังตรงมาที่ทางออก
เขายิ้มเมื่อเห็นหน้าหวาย “คุณหวาย...ดีใจจังนึกว่าจะไม่มารับแล้ว รู้ไหมคิดถึงนะ” หวายยิ้มตอบเขารวบมือเธอมากุมไว้
ยืนใกล้กันจนชิดหวายขยับตัวออกหันมาทางเมฆ “นี่น้องชายหวายค่ะชื่อเมฆา” เมฆก้มศีรษะนิดหนึ่งไม่ได้เอ่ยสวัสดี
“เรียกผมว่าเมฆก็ได้ครับ”
ภูผาใบหน้าเกลี้ยงเกลาเหมือนในภาพ ใส่เสื้อโบโลลายเขียวขาวสวมทับด้วยสูทลำลอง กางเกงยีนส์
“เฮีย” เสียงภูรินทร์เรียกขึ้น “อ้าว! มารับด้วยเหรอ”
“มาสิ ก็เฮียเล่นย้ำแล้วย้ำอีกกลัวกลับบ้านไม่ถูกหรือไง ต้องให้เบิ่งตารอจนเที่ยงคืน” สีหน้าไม่สบอารมณ์ของน้องชาย
เมฆหันมามองหวายแล้วยักไหล่
“คุณเมฆไม่ยักเหมือนคุณหวายเลยนะ” ภูมองไปที่เมฆ เขารู้สึกว่าเมฆไม่ค่อยถูกใจเขาเท่าไร
“ก็เหมือนพ่อบ้าง แม่บ้างแหล่ะค่ะ มาใช่แฝดนี่คะจะได้เหมือนกัน”
“วันสองวันนี้ผมต้องยุ่งแน่เลย” เขาออกตัว
“ไม่เป็นไรค่ะ แต่วันคริสต์มาสป๋าเชิญไปกินข้าวที่บ้านนะคะ คุณภูจะให้มารับหรือไปเองคะ”
“ผมไปเองดีกว่า”
“ดีแล้วครับ นี่แผนที่และเบอร์โทรศัพท์ครับ”
“ผมไปด้วยได้ไหมครับ”ภูรินทร์เอ่ย “ไม่ต้องยุ่งเลย ไม่ต้องไป” เสียงเข้มและห้วน
หวายขมวดคิ้วนิดหนึ่งเมฆมองหน้าเธอแล้วเงียบ
“ผมไปก่อนนะครับแล้วเจอกัน” หวายยิ้ม “ค่ะ” น้องชายเดินนำหน้าไปไม่มีการช่วยถือกระเป๋าหรือหิ้วเป้
หวายมองทั้งสองจนลับตา
“พี่ชายน้องชายคงไม่กินเส้นกันนะครับ”
“อือ! หวายก็ว่าอย่างนั้นแหละ” เมฆเปิดประตูรถให้และพากันกลับคอนโด บริษัทหวายหยุดยาว รวมทั้งลากิจของหวายจนถึงปีใหม่
เช้ามาทั้งคู่ขับรถกลับไปที่บ้านใหญ่ ต้นคริสต์มาสต้นใหญ่ประดับอย่างสวยงาม บนยอดติดลิตเติ้ลแองเจิลไว้น่ารัก
“สวัสดีค่ะทุกคน”
”มาแล้วเหรอ มาๆกินข้าวต้มปลาป้าเข่งทำไว้กำลังร้อนๆเลย”แม่จ๋าเรียกลูกสาวลูกชายมาร่วมโต๊ะ
หวายเข้าไปกอดป๋าและแม่จ๋า ก่อนที่จะนั่งลง
“ช่วงบ่ายนี้ป๋าจะไปแวะที่ร้านอาหารสุขุมวิทหาอาเขาหน่อย ไปเป็นเพื่อนป๋านะ” “ได้เลยค่ะ หวายว่าง”
แม่สุขหทัยออกไปหาซื้อของพร้อมกับลุงชาญมีเมฆขับรถให้
“เป็นไงเงียบเชียว คิดอะไรอยู่ลูก” ลุงชาญถามเมฆ
“เมื่อวันที่ไปรับคุณภู เจอน้องชายเขาด้วยครับ” แล้วเรื่องก็เล่าให้บุพการีทั้งสองฟังจบลงด้วยเสียงถอนใจ
“น่าสนใจนะ ดูเขาไม่สนิทกับน้องชายเลย”
“ครับ...ผมว่าปกติบางบ้านก็ไม่ค่อยสนิทกันนะครับแต่ที่รบกวนใจผมคือน้ำเสียงที่เขาใช้กับน้อง
ไม่เหมาะสมห้วนๆ คนละอย่างกับที่พูดกับพี่หวายเลย”
“หรือโดยสันดานแล้วเป็นแบบนั้น” พ่อชาญเอ่ย
“แม้พ่อเล่นคำแรงไปหรือเปล่าดูพูดเข้า” แม่จ๋าตำหนิ เมฆมองหน้าพ่อดูจะเห็นตรงกันในกรณีนี้
วันคริสต์มาสเสียงเพลงเบาเบาๆอากาศค่อนข้างเย็น ได้บรรยากาศจริงๆ ทุกคนช่วยกันคนละไม้ละมือ
เพื่อไม่ปล่อยให้เป็นภาระป้าเข่งคนเดียว
“คุณภูมาร่วมงานวันนี้ใช่ไหมลูก” แม่จ๋าถามขึ้น
“ค่ะ...คุณภูจะมาเอง เมฆเขียนแผนที่ให้น่าจะมาถูกนะคะ”
"หน้าตาลูกสาวแม่แจ่มใสเชียวนะ”
“ธรรมดาของคนมีความรักครับแม่”เมฆเปรย คุณสุขหทัยมองลูกชายด้วยสายตาดุ ถึงแม่รู้ว่าเขาเจ็บปวด
หวังว่าเวลาคงช่วยให้เขาดีขึ้น หรือหากโชคดีเจอคนที่คู่ควรกัน...แม่จ๋านึกในทางที่ดี
“เราจัดงานคริสต์มาสทุกปีเพราะพ่อนับถือศาสนาคริสต์”
“ก็ดีนะคะสนุกดีออก แล้วคุณลุงก็เป็นผ.อ.โรงเรียนในเครือเซนคาเบรียนด้วย เป็นธรรมดา ดีนะเขาไม่บังคับให้ลุงชาญ
เป็นบาทหลวง แม่จ๋าก็ต้องบวชเป็นแม่ชีตามไปด้วย”
“หวาย” เสียงป๋าปรามเพราะความสนิทกัน หวายมักเผลอล้อเล่นกับผู้ใหญ่มากเกินเหตุ
“ไม่เป็นไรหรอกป๋า เราครอบครัวเดียวกัน”
ยิ่งใกล้เวลานัด หวายที่แต่งตัวสวยรออยู่ยิ่งอยู่ไม่ติด
“ป๋าคะ ป๋าช่วยเปิดใจกว้างให้ภูด้วยนะคะ หวายขอร้องถ้าป๋ารู้จักเขาดี ป๋าจะชอบเขา” ป๋ามองลูกสาวสุดที่รัก
หวายไม่เคยเรียกร้องอะไรเลย เป็นเด็กดี มีเมตตาและใจอ่อน
ตรงนี้แหละที่ผู้ชายอย่างป๋าเป็นห่วงและอดหวั่นไหวไม่ได้
"เอาเถอะป๋าจะลองดู ไม่แน่เราอาจจะเข้ากันได้ดีก็ได้” เธอยิ้ม...แม้เป็นความหวังริบๆแต่ก็ดีกว่าท่าทีครั้งแรก