ภาพยนตร์ เพลง ล้วนสะท้อนสังคม ณ ขณะนั้นๆได้ดี ถ้าเราอยากรู้ว่าโลกของลูกจะเป็นอย่างไร ลองฟังเพลง ดูหนังที่มีๆกันอยู่ตอนนี้ ยิ่งอันไหนฮิตก็แสดงว่าคนชอบหรือเห็นด้วยกับแนวนั้น ซึ่งยิ่งได้รู้ยิ่งทุกข์ใจ ในฐานะคนเป็นแม่
พอดีได้ฟังเพลงนี้ และก็อีกเพลงคือสิ่งที่คนหน้าตาดีไม่มีวันเข้าใจ ของศิลปินเสือโคร่ง
ไม่ได้จะโจมตีอะไรนะคะ แค่รู้สึกสะท้อนใจ ในฐานะคนเป็นแม่ ที่เห็นคนรุ่นใหม่มองเรื่องราวความรักกันแบบนี้ ความรักที่มองแต่ความต้องการของตัวเอง ความรักที่โทษเรื่องรูปลักษณ์ภายนอก แล้วโทษคนอื่นที่ไม่รักตอบเพราะเราไม่ดี เราไม่มีค่า การที่คิดแบบนี้ มันก็แสดงออกมาแล้วถึงความไร้ค่า อย่าไปโทษคนอื่นเลยค่ะ
ประโยคที่โดนใจคือ "มันแค่ทำน้ำตาให้ไหล แค่ร้องไห้ดังๆ เท่านั้นก็ได้ทุกอย่างที่ต้องการ ได้มีรถของเล่นที่เหมือนกับเพื่อนเขามีกัน ก็รู้พ่อทนไม่นานที่เห็นฉันเสียใจ" สิ่งที่สะท้อนจากประโยคนี้คือ คนที่ทนเห็นเราเสียใจและเจ็บไม่ได้คือคนที่เขารักเราอย่างแท้จริงดั่งเช่นความรักของพ่อแม่ที่มีต่อลูก
แต่ถ้าคนฟังคิดไม่ลึก คิดแค่ผิวเผินก็เหมือนกำลังล้อเล่นกับรักแท้ คืออยากได้อะไรก็แสดงออกในแบบที่ทำให้คนที่รักเราต้องทำให้เราโดยไม่สนว่าคนนั้นจะรู้สึกเช่นไร เป็นการบงการให้คนที่รักเราคนนั้นทำในสิ่งที่เราต้องการเพียงฝ่ายเดียว มันคือจุดเริ่มต้นของความเห็นแก่ตัว พฤติกรรมนี้หากเกิดในเด็กเล็กๆ ที่ยังไม่เข้าใจเรื่องราวบนโลกใบนี้ดีนัก ยังพอให้อภัย ทั้งนี้พ่อแม่ยังมีเวลาค่อยๆสอน ค่อยๆเรียนรู้กันไป เพื่อลดละความเห็นแก่ตัวของเมล็ดพันธุ์ที่กำลังเติบโตเป็นผู้ใหญ่ ในยุคของเขา ซึ่งอาจเป็นยุคของเราอีกครั้ง ถ้าเชื่อเรื่องการกลับมาเกิดใหม่
เมื่อได้ฟังประโยคต่อไปแล้ว รู้สึกอึ้งเพราะมันคือความต้องการอยากได้ของของคนอื่น แม้ว่ามันจะมีเจ้าของแล้วก็ยังอยากทำตัวเหมือนเด็กที่อยากได้อยากมีเหมือนคนอื่นโดยไม่สนอะไรทั้งสิ้น แม้เป็นเพื่อนกัน
ประโยคนั้นคือ "ก็เมื่อได้เห็นเพื่อนเขารักกัน อย่างนั้นฉันควรจะยินดีให้ แต่ว่าปัญหา เพราะว่าเธอคนนั้นฉันรักของฉันอยู่มากมาย แล้วฉันต้องทำยังไงให้เขาทิ้งกัน มันต้องใช้น้ำตาแค่ไหน ต้องร้องไห้กี่ครั้งให้เขาและเธอทิ้งขว้างความรักแล้วเลิกรา ให้เธอเห็นว่ารักของฉันให้เธอได้มากกว่า ต้องใช้สักกี่น้ำตาให้เธอเห็นใจ"
ไม่น่าเชื่อว่าการตามใจของพ่อแม่อาจนำพาให้เป็นผู้ใหญ่ที่มีความคิดอยากได้ของที่ไม่ควรอยากได้ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม ก็เข้าใจนะคะว่าความรักมันไม่เลือกสถานที่และเวลาที่จะเกิดกับใครเมื่อไหร่ แต่อย่างน้อยถ้าคิดก่อนสักนิดว่า รักนี้ไม่ใช่ไม่ควรเป็นของเรา ต้องตัดใจตั้งแต่แรก ก็ไม่ต้องมาเสียน้ำตา ไม่ต้องมีกรณียิงกันตายแค่เพียงเพราะอีกฝ่ายปฏิเสธความรักของอีกฝ่าย ทำไมไม่คิดบ้างว่าก่อนที่จะมีความรู้สึกรักคนคนนี้ เราก็อยู่มาได้ และอยู่มาอย่างมีความสุขด้วย ในเมื่อคนที่เราไปรักไม่รักเรา ก็แค่จบไป เราจะได้มีโอกาสได้เจอคนที่ดีกว่าก็เป็นได้
ความรักสมัยนี้มีบ้างไหมที่รักเขาเพื่อตัวเขาไม่ใช่เพื่อตัวเรา
ใครมีลูกสมัยนี้คงต้องห่วงมากขึ้น ดีไม่ดี การที่ลูกเราไม่รับรักใคร เขาอาจจะมาเอาชีวิตที่เราทะนุถนอมมาทั้งชีวิตไป
รักคือการให้ หากยากมากในสมัยนี้...
รถของเล่น
พอดีได้ฟังเพลงนี้ และก็อีกเพลงคือสิ่งที่คนหน้าตาดีไม่มีวันเข้าใจ ของศิลปินเสือโคร่ง
ไม่ได้จะโจมตีอะไรนะคะ แค่รู้สึกสะท้อนใจ ในฐานะคนเป็นแม่ ที่เห็นคนรุ่นใหม่มองเรื่องราวความรักกันแบบนี้ ความรักที่มองแต่ความต้องการของตัวเอง ความรักที่โทษเรื่องรูปลักษณ์ภายนอก แล้วโทษคนอื่นที่ไม่รักตอบเพราะเราไม่ดี เราไม่มีค่า การที่คิดแบบนี้ มันก็แสดงออกมาแล้วถึงความไร้ค่า อย่าไปโทษคนอื่นเลยค่ะ
ประโยคที่โดนใจคือ "มันแค่ทำน้ำตาให้ไหล แค่ร้องไห้ดังๆ เท่านั้นก็ได้ทุกอย่างที่ต้องการ ได้มีรถของเล่นที่เหมือนกับเพื่อนเขามีกัน ก็รู้พ่อทนไม่นานที่เห็นฉันเสียใจ" สิ่งที่สะท้อนจากประโยคนี้คือ คนที่ทนเห็นเราเสียใจและเจ็บไม่ได้คือคนที่เขารักเราอย่างแท้จริงดั่งเช่นความรักของพ่อแม่ที่มีต่อลูก
แต่ถ้าคนฟังคิดไม่ลึก คิดแค่ผิวเผินก็เหมือนกำลังล้อเล่นกับรักแท้ คืออยากได้อะไรก็แสดงออกในแบบที่ทำให้คนที่รักเราต้องทำให้เราโดยไม่สนว่าคนนั้นจะรู้สึกเช่นไร เป็นการบงการให้คนที่รักเราคนนั้นทำในสิ่งที่เราต้องการเพียงฝ่ายเดียว มันคือจุดเริ่มต้นของความเห็นแก่ตัว พฤติกรรมนี้หากเกิดในเด็กเล็กๆ ที่ยังไม่เข้าใจเรื่องราวบนโลกใบนี้ดีนัก ยังพอให้อภัย ทั้งนี้พ่อแม่ยังมีเวลาค่อยๆสอน ค่อยๆเรียนรู้กันไป เพื่อลดละความเห็นแก่ตัวของเมล็ดพันธุ์ที่กำลังเติบโตเป็นผู้ใหญ่ ในยุคของเขา ซึ่งอาจเป็นยุคของเราอีกครั้ง ถ้าเชื่อเรื่องการกลับมาเกิดใหม่
เมื่อได้ฟังประโยคต่อไปแล้ว รู้สึกอึ้งเพราะมันคือความต้องการอยากได้ของของคนอื่น แม้ว่ามันจะมีเจ้าของแล้วก็ยังอยากทำตัวเหมือนเด็กที่อยากได้อยากมีเหมือนคนอื่นโดยไม่สนอะไรทั้งสิ้น แม้เป็นเพื่อนกัน
ประโยคนั้นคือ "ก็เมื่อได้เห็นเพื่อนเขารักกัน อย่างนั้นฉันควรจะยินดีให้ แต่ว่าปัญหา เพราะว่าเธอคนนั้นฉันรักของฉันอยู่มากมาย แล้วฉันต้องทำยังไงให้เขาทิ้งกัน มันต้องใช้น้ำตาแค่ไหน ต้องร้องไห้กี่ครั้งให้เขาและเธอทิ้งขว้างความรักแล้วเลิกรา ให้เธอเห็นว่ารักของฉันให้เธอได้มากกว่า ต้องใช้สักกี่น้ำตาให้เธอเห็นใจ"
ไม่น่าเชื่อว่าการตามใจของพ่อแม่อาจนำพาให้เป็นผู้ใหญ่ที่มีความคิดอยากได้ของที่ไม่ควรอยากได้ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม ก็เข้าใจนะคะว่าความรักมันไม่เลือกสถานที่และเวลาที่จะเกิดกับใครเมื่อไหร่ แต่อย่างน้อยถ้าคิดก่อนสักนิดว่า รักนี้ไม่ใช่ไม่ควรเป็นของเรา ต้องตัดใจตั้งแต่แรก ก็ไม่ต้องมาเสียน้ำตา ไม่ต้องมีกรณียิงกันตายแค่เพียงเพราะอีกฝ่ายปฏิเสธความรักของอีกฝ่าย ทำไมไม่คิดบ้างว่าก่อนที่จะมีความรู้สึกรักคนคนนี้ เราก็อยู่มาได้ และอยู่มาอย่างมีความสุขด้วย ในเมื่อคนที่เราไปรักไม่รักเรา ก็แค่จบไป เราจะได้มีโอกาสได้เจอคนที่ดีกว่าก็เป็นได้
ความรักสมัยนี้มีบ้างไหมที่รักเขาเพื่อตัวเขาไม่ใช่เพื่อตัวเรา
ใครมีลูกสมัยนี้คงต้องห่วงมากขึ้น ดีไม่ดี การที่ลูกเราไม่รับรักใคร เขาอาจจะมาเอาชีวิตที่เราทะนุถนอมมาทั้งชีวิตไป
รักคือการให้ หากยากมากในสมัยนี้...