ถ้าปีหน้าเรามองว่าจะเกิดภาวะเงินฝืดเนื่องจากประชาชนไม่ใช้เงิน ทั้งๆที่มีเงินเต็มกระเป๋า
ถ้าเป็นภาวะเงินฝืดแบบเดิมๆ ภาวะเงินฝืดจะเกิดจากการที่ประชาชนไม่มีเงิน
ผลที่ตามมาคือมีการขึ้นดอกเบี้ยเงินกู้ และราคาสินทรัพย์ลดลง
ดังนั้น คนมีเงินสดในภาวะแบบนั้นคือคนที่ได้เปรียบที่สุด
แต่ถ้าเป็นเงินฝืดแบบที่ ใครๆก็มีเงิน แต่ไม่ค่อยใช้เงินจะเกิดอะไรขึ้น
แล้วเราควรวางแผนการลงทุนอย่างไรดีครับ
ผมคาดการณ์ว่า สินทรัพย์คงราคาไม่ลงมาก แต่สินค้าฟุ่มเฟือยคงมียอดขายลดลงเยอะ
ดอกเบี้ยไม่น่าจะขึ้นได้เยอะ เพราะใครๆก็มีเงิน
แต่จากนโยบาย QE ของต่างประเทศน่าจะทำให้เงินบางส่วนไหลเข้าตลาดทุนของเรา
ตัวเลือกของผมตอนนี้คือ
1.ซื้อ LTF ได้ส่วนลดภาษี (ที่จริงซื้อ RMF ด้วย แต่ไม่เกี่ยวกับระยะสั้น)
2.เก็บเงินสดไว้รอซื้อสินทรัพย์ที่ลดราคาลง เช่นบ้านในหมู่บ้านเดียวกับที่อยู่ตอนนี้ เอาไว้ปล่อยเช่าพลางรอขายเก็งกำไร
3.เก็บเงินสดเอาไปซื้อหุ้นเอง ไม่ได้ส่วนลดภาษี แต่อาจจะได้ผลตอบแทนดีกว่า LTF
เพื่อนๆ ว่าเอาตัวเลือกไหนดีครับ
ตอนนี้ใจยังอยากยึดแนวทางตัวเลือกที่ 1 อยู่เหมือนเดิม แต่อาจปรับสัดส่วน RMF เพิ่มขึ้น
ถ้ามองว่าปีหน้าจะเกิดภาวะเงินฝืด GDP ติดลบ ควรวางแผนการลงทุนอย่างไรดีครับ
ถ้าเป็นภาวะเงินฝืดแบบเดิมๆ ภาวะเงินฝืดจะเกิดจากการที่ประชาชนไม่มีเงิน
ผลที่ตามมาคือมีการขึ้นดอกเบี้ยเงินกู้ และราคาสินทรัพย์ลดลง
ดังนั้น คนมีเงินสดในภาวะแบบนั้นคือคนที่ได้เปรียบที่สุด
แต่ถ้าเป็นเงินฝืดแบบที่ ใครๆก็มีเงิน แต่ไม่ค่อยใช้เงินจะเกิดอะไรขึ้น
แล้วเราควรวางแผนการลงทุนอย่างไรดีครับ
ผมคาดการณ์ว่า สินทรัพย์คงราคาไม่ลงมาก แต่สินค้าฟุ่มเฟือยคงมียอดขายลดลงเยอะ
ดอกเบี้ยไม่น่าจะขึ้นได้เยอะ เพราะใครๆก็มีเงิน
แต่จากนโยบาย QE ของต่างประเทศน่าจะทำให้เงินบางส่วนไหลเข้าตลาดทุนของเรา
ตัวเลือกของผมตอนนี้คือ
1.ซื้อ LTF ได้ส่วนลดภาษี (ที่จริงซื้อ RMF ด้วย แต่ไม่เกี่ยวกับระยะสั้น)
2.เก็บเงินสดไว้รอซื้อสินทรัพย์ที่ลดราคาลง เช่นบ้านในหมู่บ้านเดียวกับที่อยู่ตอนนี้ เอาไว้ปล่อยเช่าพลางรอขายเก็งกำไร
3.เก็บเงินสดเอาไปซื้อหุ้นเอง ไม่ได้ส่วนลดภาษี แต่อาจจะได้ผลตอบแทนดีกว่า LTF
เพื่อนๆ ว่าเอาตัวเลือกไหนดีครับ
ตอนนี้ใจยังอยากยึดแนวทางตัวเลือกที่ 1 อยู่เหมือนเดิม แต่อาจปรับสัดส่วน RMF เพิ่มขึ้น