ผมเข้าใจถูกหรือเปล่าครับ เกี่ยวกับ Hobbit และ Lord of the Ring กับนัยยะที่แฝงอยู่
พอดีเพิ่งไปดูมา มีความรู้สึกว่าเห็นนัยยะที่แฝงอยู่ในเรื่องหลายอย่าง ที่เหมือนว่าคนแต่ง (JRR Tolkien) ต้องการสะท้อน แนวคิด และชีวิตตัวเองในฐานะที่เคยไปรบมาในสงครามโลกผ่านงานเขียน ซึ่งจากที่ผมสังเกตจากพล็อตเรื่อง ตัวละครต่างๆในเรื่อง สามารถตีความได้ดังต่อไปนี้
บิลโบ และ โฟรโด
หมายถึง ตัวของผู้เขียนเอง ซึ่งจากชีวประวัติเบื้องต้นเป็นคนชอบชีวิตในชนบทซึ่งก็ตรงกับสไตล์การใช้ชีวิตของพวกฮอบบิทที่เป็นพวกรักสงบ ใช้ชีวิตเรียบง่าย แต่ในยามสงครามก็ต้องถูกเกณฑ์ไปรบกับเค้าด้วย ทั้งที่ตนเป็นเพียงปัญญาชนคนหนึ่งไม่ได้มีทักษะทางการรบอะไร แต่ก็สามารถมีชีวิตรอดจากสงครามมาได้ เหมือนกับการที่บิลโบ และโฟรโด้ ต้องรับภารกิจโดยที่ตัวเองไม่เต็มใจ แต่ด้วยความที่มีเพื่อนร่วมทางที่ดี มีความอดทนต่อสิ่งเย้ายวนจากอำนาจที่ชั่วร้าย บวกกับโชคช่วยนิดหน่อย ก็สามารถทำภารกิจให้ลุล่วงไปได้ ดังนั้นผมคิดว่าโทลคินคงต้องการจะสื่อว่าคนที่จะเปลี่ยนแปลงโลกได้ ไม่จำเป็นต้องกล้าหาญหรือแข็งแรงกว่าคนอื่น แต่ต้องสามารถหักห้ามใจไม่ให้ถูกความโลภ ความชั่วร้ายต่างๆเข้าครอบงำจิตใจได้ และนอกจากนี้ยังต้องอาศัยโชคช่วยด้วย
เซารอน และอาณาจักรมอร์ดอร์
หมายถึงกองทัพเยอรมัน ในนิยายของโทลคิน มอร์ดอร์พ่ายแพ้ในสงครามครั้งใหญ่ให้กับสัมพันธ์มิตร มนุษย์-เอลฟ์ แต่ก็สามารถสร้างสมกำลังกลับมายิ่งใหญ่อีกครั้งได้ เช่นเดียวกับเยอรมัน ที่แพ้ในสงครามโลกครั้งที่ 1 แต่ก็กลับมาเป็นมหาอำนาจอีกครั้งโดยกองกำลังนาซีของฮิตเลอร์ ส่วนป้อมปราการบารัดดูร์ และคุกโดลกูดูร์ในเรื่องที่โทลคินพยายามบรรยายให้เห็นถึงความน่ากลัวของคุกมืดในหอคอยทมิฬ 2 แห่งนี้น่าจะหมายถึงคุกลับที่นาซีใช้สังหารหมู่ชาวยิว และจับชาวยิวมาทดลอง
คนแคระ
น่าจะหมายถึงชาวยิว เพราะมีลักษณะนิสัยที่คล้ายๆกันคือ มั่งคั่ง หาเงินเก่ง แต่มีความตระหนี่ถี่เหนียว ในนวนิยายของโทลคิน คนแคระถูกมังกรถล่มเอเรบอร์ และทรัพย์สมบัติก็ถูกยึด ถูกฆ่าตายไปจำนวนมาก และยังถูกพวกออร์คโจมตี ยึดเหมืองมอเรียซึ่งเป็นที่ทำมาหากินของคนแคระ เหมือนกับชาวยิว ที่ถูกกองทัพนาซีเข้ายึดสมบัติและกิจการทุกอย่างของชาวยิว ส่วนการที่คนแคระถูกมังกรสังหารเป็นจำนวนมากในเอเรบอร์ และ การที่พ่อของธอรินถูกทรมานในคุกโดลกูดูร์(อันนี้เหมือนเคยอ่านเจอผ่านๆในนิยาย) ก็เหมือนกับการที่ชาวยิวถูกจับและสังหารหมู่ในคุกของนาซีนั่นเอง ดังนั้นคนแคระและยิวในช่วงสงครามโลกจึงมีสิ่งที่เหมือนกันคือ เดือดร้อนเพราะทรัพย์สมบัติของตัวเอง
มนุษย์ และเอลฟ์
หมายถึงกองทัพสัมพันธมิตร อังกฤษ-ฝรั่งเศส ในเรื่องจะเห็นว่าหลังสงครามแหวน มนุษย์กับเอลฟ์ก็เริ่มเสื่อมลง ส่วนพวกออร์คกลับค่อยๆสั่งสมกำลังแข็งแกร่งขึ้นอย่างลับๆ พอกำลังเริ่มฟื้นก็เริ่มก่อสงคราม ป้อมปราการมินาสอีธิลถูกยึด จนเหลือแต่มินาสทิริธ ที่เป็นปราการสุดท้าย เหมือนกับฝ่ายสัมพันธมิตร ที่ถึงแม้ว่าจะชนะในสงครามโลกครั้งที่ 1 แต่ก็อยู่ในสภาพบอบช้ำจากสงครามไปไม่น้อยและฟื้นตัวช้ากว่า ฝรั่งเศสสร้างป้อมมาจิโนขึ้นมาเพื่อต้านทานการบุกรุกของเยอรมัน ฝรั่งเศสภูมิใจกับป้อมปราการแห่งนี้มาก แต่สุดท้ายฝรั่งเศสก็โดนเยอรมันถล่มอย่างง่ายดาย ดังนั้น มินาสอีธิล ที่ถูกนาสกูลยึดแล้วเปลี่ยนเป็นมินาสมอร์กูลนั้น น่าจะหมายถึงป้อมมาจิโน ส่วนนครออสกิลเลียตที่ถูกทิ้งเหลือแต่ซากปรักหักพัง น่าจะหมายถึง กรุงปารีส และมินาสทิริธหมายถึง อังกฤษ ที่ยืนหยัดต่อสู้กับกองทัพนาซีอย่างโดดเดี่ยว รอเวลาปิดประตูแพ้
พ่อมด
หมายถึงนักวิทยาศาตร์และนักวิชาการทั้งหลาย เวทย์มนต์ของพ่อมดก็เปรียบเสมือนกับความรู้ และเทคโนโลยี ที่จะสามารถใช้เพื่อสร้างความได้เปรียบในการรบได้
ส่วนพ่อมดซารูมานและกองทัพอุรุกไฮน่าจะหมายถึงความทะเยอทะยานอยากเป็นมหาอำนาจของประเทศญี่ปุ่น ในเรื่องจะเห็นว่าซารูมานได้ฝึกกองทัพของตนให้ไม่รู้จักความเจ็บปวดและความกลัว ในเวอชั่นภาพยนต์ของ Peter Jackson หากใครดู LOTR ภาค 2 ฉากที่มี berserker (ผู้บ้าคลั่ง) ที่วิ่งถือคบไฟ ดับเครื่องชนเข้าไประเบิดกำแพง helm's deep ดูแล้วคล้ายกับการดับเครื่องชนของฝูงบินรบญี่ปุ่นมาก ในเวอชั่นหนังสือ ซารูมานเป็นพ่อมดที่มีวาทศิลป์ และมีทักษะในการโน้มน้าวใจคน สะท้อนให้เห็นถึงการโฆษณาชวนเชื่อของเหล่าผู้นำทั้งหลายในสมัยสงครามโลก ที่มีประสิทธิภาพมากพอที่จะทำให้ประชาชนของตนออกไปตายเพื่อผู้นำของพวกเขาได้
พญาอินทรีย์ และหมีบีออร์น
ถ้าสังเกตดีๆจะเห็นว่าทั้งในเรื่อง Hobbit และมหากาพย์ LOTR เมื่อถึงตอนที่สถานการ์ณเลวร้าย และสิ้นหวังมากที่สุด ทั้งตอนที่บิลโบแกนดัลฟ์และคนแคระถูกล้อมอยู่บนต้นไม้ ก็ได้นกอินทรีย์มาช่วย สงคราม 5 ทัพขณะที่ทั้งเอลฟ์ มนุษย์และคนแคระกำลังลำบาก หรือสงครามแหวนครั้งสุดท้ายหน้าประตูดำ ตอนที่ทัพกอนดอร์กำลังจะแพ้ ตอนที่โฟรโดและแซมกำลังจะตาย การปรากฎตัวของเหล่าพญาอินทรีย์ ช่วยสร้างจุดผลิกผันของสงคราม เปลี่ยนสถานการณ์ที่เลวร้าย ให้พลิกกับมาดีได้ทุกครั้ง หลายคนคงสงสัย ว่าทำไมถึงต้องเป็นนกอินทรีย์ ผมคิดว่าโทลคินต้องการสื่อความหมายว่า พญาอินทรีย์ในเรื่องนี้น่าจะหมายถึงกองทัพสหรัฐ เพราะนกอินทรีย์ถือเป็นสัญลักษณ์ของประเทศสหรัฐอเมริกา การปรากฎตัวของนกอินทรีย์ เปรียบได้กับการที่สหรัฐตัดสินใจเข้าร่วมสงครามในสงครามโลกทั้ง 2 ครั้ง ซึ่งถือว่าเป็นส่วนสำคัญยิ่งที่ทำให้ฝ่ายสัมพันธมิตร รอดพ้นจากหายนะ และได้รับชัยชนะในที่สุด
ส่วนหมีบีออร์น น่าจะหมายถึงรัสเซีย ซึ่งในสงครามโลกครั้งที่ 2 จุดเปลี่ยนของสงครามนอกจากการยกพลขึ้นบกของสหรัฐที่นอร์มังดีแล้ว การที่เยอรมันล้มเหลวในการบุกรัสเซีย ก็เป็นอีกสาเหตุสำคัญที่เป็นจุดเริ่มต้นของความพ่ายแพ้ของกองทัพนาซี ดังนั้นพญาอินทรีย์และบีออร์นน่าจะหมายถึง สหรัฐและรัสเซียนั่นเอง
แหวน The One
หมายถึง อำนาจ เมื่อใดที่คนใดคนหนึ่ง ได้ครอบครองอำนาจ และใช้อำนาจที่มีมากจนเกินไป ก็จะถูกครอบงำจิตใจ จนเสียความเป็นตัวเองไปทีละน้อย และดึงเอาด้านเลวร้ายที่สุดของคนๆนั้นสำแดงออกมา แม้แต่ฮอบบิทที่รักสงบอย่างบิลโบหรือโฟรโด เมื่อได้ใช้แหวนมากๆ ก็เริ่มเปลี่ยนไปเหมือนกัน เปรียบได้กับการแสวงหาความเป็นมหาอำนาจทั้งทางด้านการทหารและเศรษฐกิจของผู้นำแต่ละประเทศ ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายพันธมิตร หรืออักษะล้วนทำแต่สิ่งที่น่ารังเกียจ จนนำไปสู่การเกิดสงครามเกิดความสูญเสียของมนุษยชาติอย่างใหญ่หลวง
**ทั้งการเสาะหาแหวนวิเศษของเซารอน การหาเพชรอาเคนสโตนของธอริน การเดินทัพของเอลฟ์เพื่อตามหาสร้อยเพชรประจำตระกูล ล้วนหมายถึงการแสวงหาสิ่งที่เป็นสัญลักษณ์ของอำนาจในรูปแบบต่างๆ สื่อให้เห็นว่าความต้องการของแต่ละคนนั้นแม้จะแตกต่างกัน แต่สิ่งที่เหมือนกันคือทำเพียงเพื่อผลประโยชน์จะที่เกิดแก่ตัวเอง และพรรคพวก โดยไม่สนใจในความเดือดร้อนและความจิบหายของคนอื่น**
***ขอออกตัวก่อน ว่าผมไม่ใช่คนติดตามนิยายเป็นพิเศษและไม่ได้ติดตามผลงานของโทลคินเป็นพิเศษ ไม่ได้รู้เรื่องชีวประวัติของโทลคินมากไปว่าที่เขียนไว้ในวิกิพีเดียและสิ่งที่เห็นคือความเข้าใจจากการอ่านและดูหนังของผมเอง ผิดถูกยังไงขออภัยนะครับ
Hobbit และ Lord of the Ring กับนัยยะที่แฝงอยู่
พอดีเพิ่งไปดูมา มีความรู้สึกว่าเห็นนัยยะที่แฝงอยู่ในเรื่องหลายอย่าง ที่เหมือนว่าคนแต่ง (JRR Tolkien) ต้องการสะท้อน แนวคิด และชีวิตตัวเองในฐานะที่เคยไปรบมาในสงครามโลกผ่านงานเขียน ซึ่งจากที่ผมสังเกตจากพล็อตเรื่อง ตัวละครต่างๆในเรื่อง สามารถตีความได้ดังต่อไปนี้
บิลโบ และ โฟรโด
หมายถึง ตัวของผู้เขียนเอง ซึ่งจากชีวประวัติเบื้องต้นเป็นคนชอบชีวิตในชนบทซึ่งก็ตรงกับสไตล์การใช้ชีวิตของพวกฮอบบิทที่เป็นพวกรักสงบ ใช้ชีวิตเรียบง่าย แต่ในยามสงครามก็ต้องถูกเกณฑ์ไปรบกับเค้าด้วย ทั้งที่ตนเป็นเพียงปัญญาชนคนหนึ่งไม่ได้มีทักษะทางการรบอะไร แต่ก็สามารถมีชีวิตรอดจากสงครามมาได้ เหมือนกับการที่บิลโบ และโฟรโด้ ต้องรับภารกิจโดยที่ตัวเองไม่เต็มใจ แต่ด้วยความที่มีเพื่อนร่วมทางที่ดี มีความอดทนต่อสิ่งเย้ายวนจากอำนาจที่ชั่วร้าย บวกกับโชคช่วยนิดหน่อย ก็สามารถทำภารกิจให้ลุล่วงไปได้ ดังนั้นผมคิดว่าโทลคินคงต้องการจะสื่อว่าคนที่จะเปลี่ยนแปลงโลกได้ ไม่จำเป็นต้องกล้าหาญหรือแข็งแรงกว่าคนอื่น แต่ต้องสามารถหักห้ามใจไม่ให้ถูกความโลภ ความชั่วร้ายต่างๆเข้าครอบงำจิตใจได้ และนอกจากนี้ยังต้องอาศัยโชคช่วยด้วย
เซารอน และอาณาจักรมอร์ดอร์
หมายถึงกองทัพเยอรมัน ในนิยายของโทลคิน มอร์ดอร์พ่ายแพ้ในสงครามครั้งใหญ่ให้กับสัมพันธ์มิตร มนุษย์-เอลฟ์ แต่ก็สามารถสร้างสมกำลังกลับมายิ่งใหญ่อีกครั้งได้ เช่นเดียวกับเยอรมัน ที่แพ้ในสงครามโลกครั้งที่ 1 แต่ก็กลับมาเป็นมหาอำนาจอีกครั้งโดยกองกำลังนาซีของฮิตเลอร์ ส่วนป้อมปราการบารัดดูร์ และคุกโดลกูดูร์ในเรื่องที่โทลคินพยายามบรรยายให้เห็นถึงความน่ากลัวของคุกมืดในหอคอยทมิฬ 2 แห่งนี้น่าจะหมายถึงคุกลับที่นาซีใช้สังหารหมู่ชาวยิว และจับชาวยิวมาทดลอง
คนแคระ
น่าจะหมายถึงชาวยิว เพราะมีลักษณะนิสัยที่คล้ายๆกันคือ มั่งคั่ง หาเงินเก่ง แต่มีความตระหนี่ถี่เหนียว ในนวนิยายของโทลคิน คนแคระถูกมังกรถล่มเอเรบอร์ และทรัพย์สมบัติก็ถูกยึด ถูกฆ่าตายไปจำนวนมาก และยังถูกพวกออร์คโจมตี ยึดเหมืองมอเรียซึ่งเป็นที่ทำมาหากินของคนแคระ เหมือนกับชาวยิว ที่ถูกกองทัพนาซีเข้ายึดสมบัติและกิจการทุกอย่างของชาวยิว ส่วนการที่คนแคระถูกมังกรสังหารเป็นจำนวนมากในเอเรบอร์ และ การที่พ่อของธอรินถูกทรมานในคุกโดลกูดูร์(อันนี้เหมือนเคยอ่านเจอผ่านๆในนิยาย) ก็เหมือนกับการที่ชาวยิวถูกจับและสังหารหมู่ในคุกของนาซีนั่นเอง ดังนั้นคนแคระและยิวในช่วงสงครามโลกจึงมีสิ่งที่เหมือนกันคือ เดือดร้อนเพราะทรัพย์สมบัติของตัวเอง
มนุษย์ และเอลฟ์
หมายถึงกองทัพสัมพันธมิตร อังกฤษ-ฝรั่งเศส ในเรื่องจะเห็นว่าหลังสงครามแหวน มนุษย์กับเอลฟ์ก็เริ่มเสื่อมลง ส่วนพวกออร์คกลับค่อยๆสั่งสมกำลังแข็งแกร่งขึ้นอย่างลับๆ พอกำลังเริ่มฟื้นก็เริ่มก่อสงคราม ป้อมปราการมินาสอีธิลถูกยึด จนเหลือแต่มินาสทิริธ ที่เป็นปราการสุดท้าย เหมือนกับฝ่ายสัมพันธมิตร ที่ถึงแม้ว่าจะชนะในสงครามโลกครั้งที่ 1 แต่ก็อยู่ในสภาพบอบช้ำจากสงครามไปไม่น้อยและฟื้นตัวช้ากว่า ฝรั่งเศสสร้างป้อมมาจิโนขึ้นมาเพื่อต้านทานการบุกรุกของเยอรมัน ฝรั่งเศสภูมิใจกับป้อมปราการแห่งนี้มาก แต่สุดท้ายฝรั่งเศสก็โดนเยอรมันถล่มอย่างง่ายดาย ดังนั้น มินาสอีธิล ที่ถูกนาสกูลยึดแล้วเปลี่ยนเป็นมินาสมอร์กูลนั้น น่าจะหมายถึงป้อมมาจิโน ส่วนนครออสกิลเลียตที่ถูกทิ้งเหลือแต่ซากปรักหักพัง น่าจะหมายถึง กรุงปารีส และมินาสทิริธหมายถึง อังกฤษ ที่ยืนหยัดต่อสู้กับกองทัพนาซีอย่างโดดเดี่ยว รอเวลาปิดประตูแพ้
พ่อมด
หมายถึงนักวิทยาศาตร์และนักวิชาการทั้งหลาย เวทย์มนต์ของพ่อมดก็เปรียบเสมือนกับความรู้ และเทคโนโลยี ที่จะสามารถใช้เพื่อสร้างความได้เปรียบในการรบได้
ส่วนพ่อมดซารูมานและกองทัพอุรุกไฮน่าจะหมายถึงความทะเยอทะยานอยากเป็นมหาอำนาจของประเทศญี่ปุ่น ในเรื่องจะเห็นว่าซารูมานได้ฝึกกองทัพของตนให้ไม่รู้จักความเจ็บปวดและความกลัว ในเวอชั่นภาพยนต์ของ Peter Jackson หากใครดู LOTR ภาค 2 ฉากที่มี berserker (ผู้บ้าคลั่ง) ที่วิ่งถือคบไฟ ดับเครื่องชนเข้าไประเบิดกำแพง helm's deep ดูแล้วคล้ายกับการดับเครื่องชนของฝูงบินรบญี่ปุ่นมาก ในเวอชั่นหนังสือ ซารูมานเป็นพ่อมดที่มีวาทศิลป์ และมีทักษะในการโน้มน้าวใจคน สะท้อนให้เห็นถึงการโฆษณาชวนเชื่อของเหล่าผู้นำทั้งหลายในสมัยสงครามโลก ที่มีประสิทธิภาพมากพอที่จะทำให้ประชาชนของตนออกไปตายเพื่อผู้นำของพวกเขาได้
พญาอินทรีย์ และหมีบีออร์น
ถ้าสังเกตดีๆจะเห็นว่าทั้งในเรื่อง Hobbit และมหากาพย์ LOTR เมื่อถึงตอนที่สถานการ์ณเลวร้าย และสิ้นหวังมากที่สุด ทั้งตอนที่บิลโบแกนดัลฟ์และคนแคระถูกล้อมอยู่บนต้นไม้ ก็ได้นกอินทรีย์มาช่วย สงคราม 5 ทัพขณะที่ทั้งเอลฟ์ มนุษย์และคนแคระกำลังลำบาก หรือสงครามแหวนครั้งสุดท้ายหน้าประตูดำ ตอนที่ทัพกอนดอร์กำลังจะแพ้ ตอนที่โฟรโดและแซมกำลังจะตาย การปรากฎตัวของเหล่าพญาอินทรีย์ ช่วยสร้างจุดผลิกผันของสงคราม เปลี่ยนสถานการณ์ที่เลวร้าย ให้พลิกกับมาดีได้ทุกครั้ง หลายคนคงสงสัย ว่าทำไมถึงต้องเป็นนกอินทรีย์ ผมคิดว่าโทลคินต้องการสื่อความหมายว่า พญาอินทรีย์ในเรื่องนี้น่าจะหมายถึงกองทัพสหรัฐ เพราะนกอินทรีย์ถือเป็นสัญลักษณ์ของประเทศสหรัฐอเมริกา การปรากฎตัวของนกอินทรีย์ เปรียบได้กับการที่สหรัฐตัดสินใจเข้าร่วมสงครามในสงครามโลกทั้ง 2 ครั้ง ซึ่งถือว่าเป็นส่วนสำคัญยิ่งที่ทำให้ฝ่ายสัมพันธมิตร รอดพ้นจากหายนะ และได้รับชัยชนะในที่สุด
ส่วนหมีบีออร์น น่าจะหมายถึงรัสเซีย ซึ่งในสงครามโลกครั้งที่ 2 จุดเปลี่ยนของสงครามนอกจากการยกพลขึ้นบกของสหรัฐที่นอร์มังดีแล้ว การที่เยอรมันล้มเหลวในการบุกรัสเซีย ก็เป็นอีกสาเหตุสำคัญที่เป็นจุดเริ่มต้นของความพ่ายแพ้ของกองทัพนาซี ดังนั้นพญาอินทรีย์และบีออร์นน่าจะหมายถึง สหรัฐและรัสเซียนั่นเอง
แหวน The One
หมายถึง อำนาจ เมื่อใดที่คนใดคนหนึ่ง ได้ครอบครองอำนาจ และใช้อำนาจที่มีมากจนเกินไป ก็จะถูกครอบงำจิตใจ จนเสียความเป็นตัวเองไปทีละน้อย และดึงเอาด้านเลวร้ายที่สุดของคนๆนั้นสำแดงออกมา แม้แต่ฮอบบิทที่รักสงบอย่างบิลโบหรือโฟรโด เมื่อได้ใช้แหวนมากๆ ก็เริ่มเปลี่ยนไปเหมือนกัน เปรียบได้กับการแสวงหาความเป็นมหาอำนาจทั้งทางด้านการทหารและเศรษฐกิจของผู้นำแต่ละประเทศ ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายพันธมิตร หรืออักษะล้วนทำแต่สิ่งที่น่ารังเกียจ จนนำไปสู่การเกิดสงครามเกิดความสูญเสียของมนุษยชาติอย่างใหญ่หลวง
**ทั้งการเสาะหาแหวนวิเศษของเซารอน การหาเพชรอาเคนสโตนของธอริน การเดินทัพของเอลฟ์เพื่อตามหาสร้อยเพชรประจำตระกูล ล้วนหมายถึงการแสวงหาสิ่งที่เป็นสัญลักษณ์ของอำนาจในรูปแบบต่างๆ สื่อให้เห็นว่าความต้องการของแต่ละคนนั้นแม้จะแตกต่างกัน แต่สิ่งที่เหมือนกันคือทำเพียงเพื่อผลประโยชน์จะที่เกิดแก่ตัวเอง และพรรคพวก โดยไม่สนใจในความเดือดร้อนและความจิบหายของคนอื่น**
***ขอออกตัวก่อน ว่าผมไม่ใช่คนติดตามนิยายเป็นพิเศษและไม่ได้ติดตามผลงานของโทลคินเป็นพิเศษ ไม่ได้รู้เรื่องชีวประวัติของโทลคินมากไปว่าที่เขียนไว้ในวิกิพีเดียและสิ่งที่เห็นคือความเข้าใจจากการอ่านและดูหนังของผมเอง ผิดถูกยังไงขออภัยนะครับ