ยายเราไม่จบ ป. 4 ด้วยซ้ำ ยายนับ บวก ลบ เลขเกินยี่สิบนิ้วยายมีไม่ได้ แต่สองตัวบน สองตัวล่าง กลางเดือน ต้นเดือนยายแม่นมาก
ยายมีปัญหาเลขหลักร้อยขึ้นไป แต่ถ้าสามตัวกลางเดือนต้นเดือนยายก็แม่น แต่ไม่ต้องห่วงเรื่องเงินๆ ทองๆ ยายเราดีดลูกคิดเก่งมาก
ยายพูดเสมอว่าอย่าเกินตัว มีให้ "พอ" แล้วค่อย "สร้าง"
ยายเล่าให้ฟังความหลังตอนวัยสาวของยาย เป็นอุทาหรเตือนใจเราก็คือ ยายเกินตัว อยากมีบ้าน เพราะคิดว่ารายได้ตอนนั้นดี ถาวร
ก็ทะลึ่งไปตีความว่ามันมั่นคง ยายไปซื้อที่ดิน และสร้างบ้าน ซึ่งล้วนแล้วแต่กู้ธนาคารทั้งนั้น รายได้ที่ดีๆ ก็จากการเกื้อกูลของเพื่อนๆ
ที่ช่วยๆ กันไปหาลูกค้าให้บ้าง ปากต่อปากโฆษณาให้บ้าง จนวันนึง เพื่อนยายก็เพื่อนรักกันทั้งนั้น เห็นว่าธุรกิจมันดี เลยทำกันบ้าง
เนื่องจากธุรกิจเดียวกัน แน่นอนมันแค่ธุรกิจแบบครัวเรือน ในอำเภอ เมื่อเกิดธุรกิจเดียวกัน ในพื้นที่เล็กๆ แบบนั้น ลูกค้าต้องถูกถัว
เฉลี่ยกันไป เมื่อลูกค้าลด รายได้มันก็ลด เมื่อรายได้ลด ความสามารถในการผ่อนจ่ายหนี้ย่อมลด สิ่งที่เพิ่มคือ ความเครียดและ
เมื่อเครียด ความฟุ้งซ่านมันจะเข้ามา ความพาล พยาบาทจะเข้ามา ยายพาลด่าเพื่อนๆ ที่หันมาทำธุรกิจเดียวกัน บางคนยายไปยืน
ชี้หน้าด่า ถึงหน้าร้านด้วยซ้ำ หลายครั้งฉันก็เคยได้ยินยายใส่ไฟเพื่อนที่เปิดร้านแบบเดียวกับยาย ชั้นรู้ยายยกเมฆมาทั้งนั้นไม่จริงเลย
สักคำ
จนวันนึงเราล้ม ล้มทั้งร้าน เรามีแต่หนี้เพราะเงินเราจมไปกับร้านหมดแล้ว ไม่ต้องถามว่า เราจะเอาเงินที่ไหนไปผ่อนบ้านให้ธนาคาร
สุดท้ายบ้านเราโดนยึด บ้านน่ะไม่เท่าไหร่ ที่ดินเราเอาไปด้วย เพราะคงไม่มียกบ้านไปแล้วทิ้งที่ดินไว้ให้เรา ขนาดยึดบ้านไปแล้ว
ก็ยังมีหนี้เหลือต้องจ่าย เพราะประเมินราคาบ้านออกมา ขายทอดตลาด มันยังไม่พอสำหรับยอดที่รวมส่วนดอกเบี้ยไปแล้ว
จากวันนั้นมาถึงวันนี้ เราไม่เคยมีบ้านหลังแรกในฝันเลย ยายบอกว่ายายไม่เคยเสียใจ หรือเสียดายที่ในชีวิตสุดท้ายไม่มีบ้านของตัวเอง
เสียที แต่ที่ยายเสียใจและเสียดายคือ ยายไม่เหลืออะไรเลย บ้านก็ไม่มี เพื่อนก็ไม่เหลือ แถมคนในละแวกก็ตราหน้าว่า E-ใส่ไฟ
ในวันที่ยายไม่เหลืออะไรเลย คือวันที่ยายสำนึกได้ ว่าง โปร่ง โล่ง มันไม่มีอะไรให้มาเป็นบ่วงให้ยึดติด การไม่มีอะไรคือความโล่งเบาที่สุด
ในชีวิต ยายพูดเสมอว่า ถ้าไม่ไปกู้หนี้ ต่อให้ถูกแชร์ลูกค้าเราก็อยู่กันได้ ร้านเราเครดิตดีกว่าเยอะ เพราะเพื่อนๆช่วยโปรโมทปากต่อปาก
ให้กันไปก่อนแล้วเราต่างหากล่ะที่ไปทำให้มันไม่พอ อาชีพค้าขายมันไม่คำว่ารายได้แน่นอนประจำ
เราคิดไปเองทั้งนั้นว่าเราจะได้เท่านั้นเท่านี้ แล้วเมื่อวันนึงมันไม่ได้ เราพาล พาลเพราะหนี้ค้ำคอ คำว่าเพื่อนแย่งลูกค้าหรือ
แชร์ตลาดมันแค่คำของคนจนตรอกที่ไม่รู้ว่าจะไปลงที่ไหนต่างหาก
ฝากข้อความนี้ ถึงคุณยายของครอบครัวนางเอกที่ขึ้นกระทู้แนะนำด้วย
ถ้าคุณยายมาอ่าน น่าจะรู้ว่าชั้นพยายามสื่ออะไร ตัวละครในบท มีการสลับฟากของตัวละคร
และให้บุคลิกของตัวละคร เป็น คน คนนึง ถ้าคู่กรณีที่เราต้องการ ส่งสารถึงมาอ่านได้นึกออก ว่า
ตัวละครคนนี้ คือใคร คุณเคยทำอะไรไว้
วันนี้คุณแม่ดิชั้นและคุณยายดิชั้น มีบ้านของตัวเองเป็นหลังที่ 3 แล้ว ไม่รวมหอพักต่างๆ อีก 4-5 ที่ โดยที่เราไม่เคยกู้หนี้ยืมสินใคร
เราไม่อยากเสียอย่างที่ใครบางคนเสีย หรือจริงๆ อาจจะไม่เคยมีอยู่แต่แรกแล้วก็ได้
สิ่งที่คุณยายดิชั้นพูดก็คือ เหมือน วน ดูหนังม้วนเดิม ต่างกันแค่รุ่น ไม่มียังไง ก็ยังไม่มียังงั้น
ไม่ตระหนักว่ามีแค่ไหน เกินตัวคืออะไร ก็ยังเป็นแบบนั้น ตามด่า พาลหาเรื่อง เขายังไง ก็ยังเป็นอย่างนั้น
มันถ่ายทอดกันทางพันธุกรรมจริงๆ
โบนันซ่า เราเชื่อมั่นว่าตระกูลนี้ "โง่" ไม่นานและมั่นใจว่าสุดท้ายเขาเลือก คนที่ "ดี" กว่าเสมอ
ยายพูดเสมอว่าอย่าเกินตัว มีให้ "พอ" แล้วค่อย "สร้าง"
ยายมีปัญหาเลขหลักร้อยขึ้นไป แต่ถ้าสามตัวกลางเดือนต้นเดือนยายก็แม่น แต่ไม่ต้องห่วงเรื่องเงินๆ ทองๆ ยายเราดีดลูกคิดเก่งมาก
ยายพูดเสมอว่าอย่าเกินตัว มีให้ "พอ" แล้วค่อย "สร้าง"
ยายเล่าให้ฟังความหลังตอนวัยสาวของยาย เป็นอุทาหรเตือนใจเราก็คือ ยายเกินตัว อยากมีบ้าน เพราะคิดว่ารายได้ตอนนั้นดี ถาวร
ก็ทะลึ่งไปตีความว่ามันมั่นคง ยายไปซื้อที่ดิน และสร้างบ้าน ซึ่งล้วนแล้วแต่กู้ธนาคารทั้งนั้น รายได้ที่ดีๆ ก็จากการเกื้อกูลของเพื่อนๆ
ที่ช่วยๆ กันไปหาลูกค้าให้บ้าง ปากต่อปากโฆษณาให้บ้าง จนวันนึง เพื่อนยายก็เพื่อนรักกันทั้งนั้น เห็นว่าธุรกิจมันดี เลยทำกันบ้าง
เนื่องจากธุรกิจเดียวกัน แน่นอนมันแค่ธุรกิจแบบครัวเรือน ในอำเภอ เมื่อเกิดธุรกิจเดียวกัน ในพื้นที่เล็กๆ แบบนั้น ลูกค้าต้องถูกถัว
เฉลี่ยกันไป เมื่อลูกค้าลด รายได้มันก็ลด เมื่อรายได้ลด ความสามารถในการผ่อนจ่ายหนี้ย่อมลด สิ่งที่เพิ่มคือ ความเครียดและ
เมื่อเครียด ความฟุ้งซ่านมันจะเข้ามา ความพาล พยาบาทจะเข้ามา ยายพาลด่าเพื่อนๆ ที่หันมาทำธุรกิจเดียวกัน บางคนยายไปยืน
ชี้หน้าด่า ถึงหน้าร้านด้วยซ้ำ หลายครั้งฉันก็เคยได้ยินยายใส่ไฟเพื่อนที่เปิดร้านแบบเดียวกับยาย ชั้นรู้ยายยกเมฆมาทั้งนั้นไม่จริงเลย
สักคำ
จนวันนึงเราล้ม ล้มทั้งร้าน เรามีแต่หนี้เพราะเงินเราจมไปกับร้านหมดแล้ว ไม่ต้องถามว่า เราจะเอาเงินที่ไหนไปผ่อนบ้านให้ธนาคาร
สุดท้ายบ้านเราโดนยึด บ้านน่ะไม่เท่าไหร่ ที่ดินเราเอาไปด้วย เพราะคงไม่มียกบ้านไปแล้วทิ้งที่ดินไว้ให้เรา ขนาดยึดบ้านไปแล้ว
ก็ยังมีหนี้เหลือต้องจ่าย เพราะประเมินราคาบ้านออกมา ขายทอดตลาด มันยังไม่พอสำหรับยอดที่รวมส่วนดอกเบี้ยไปแล้ว
จากวันนั้นมาถึงวันนี้ เราไม่เคยมีบ้านหลังแรกในฝันเลย ยายบอกว่ายายไม่เคยเสียใจ หรือเสียดายที่ในชีวิตสุดท้ายไม่มีบ้านของตัวเอง
เสียที แต่ที่ยายเสียใจและเสียดายคือ ยายไม่เหลืออะไรเลย บ้านก็ไม่มี เพื่อนก็ไม่เหลือ แถมคนในละแวกก็ตราหน้าว่า E-ใส่ไฟ
ในวันที่ยายไม่เหลืออะไรเลย คือวันที่ยายสำนึกได้ ว่าง โปร่ง โล่ง มันไม่มีอะไรให้มาเป็นบ่วงให้ยึดติด การไม่มีอะไรคือความโล่งเบาที่สุด
ในชีวิต ยายพูดเสมอว่า ถ้าไม่ไปกู้หนี้ ต่อให้ถูกแชร์ลูกค้าเราก็อยู่กันได้ ร้านเราเครดิตดีกว่าเยอะ เพราะเพื่อนๆช่วยโปรโมทปากต่อปาก
ให้กันไปก่อนแล้วเราต่างหากล่ะที่ไปทำให้มันไม่พอ อาชีพค้าขายมันไม่คำว่ารายได้แน่นอนประจำ
เราคิดไปเองทั้งนั้นว่าเราจะได้เท่านั้นเท่านี้ แล้วเมื่อวันนึงมันไม่ได้ เราพาล พาลเพราะหนี้ค้ำคอ คำว่าเพื่อนแย่งลูกค้าหรือ
แชร์ตลาดมันแค่คำของคนจนตรอกที่ไม่รู้ว่าจะไปลงที่ไหนต่างหาก
ฝากข้อความนี้ ถึงคุณยายของครอบครัวนางเอกที่ขึ้นกระทู้แนะนำด้วย
ถ้าคุณยายมาอ่าน น่าจะรู้ว่าชั้นพยายามสื่ออะไร ตัวละครในบท มีการสลับฟากของตัวละคร
และให้บุคลิกของตัวละคร เป็น คน คนนึง ถ้าคู่กรณีที่เราต้องการ ส่งสารถึงมาอ่านได้นึกออก ว่า
ตัวละครคนนี้ คือใคร คุณเคยทำอะไรไว้
วันนี้คุณแม่ดิชั้นและคุณยายดิชั้น มีบ้านของตัวเองเป็นหลังที่ 3 แล้ว ไม่รวมหอพักต่างๆ อีก 4-5 ที่ โดยที่เราไม่เคยกู้หนี้ยืมสินใคร
เราไม่อยากเสียอย่างที่ใครบางคนเสีย หรือจริงๆ อาจจะไม่เคยมีอยู่แต่แรกแล้วก็ได้
สิ่งที่คุณยายดิชั้นพูดก็คือ เหมือน วน ดูหนังม้วนเดิม ต่างกันแค่รุ่น ไม่มียังไง ก็ยังไม่มียังงั้น
ไม่ตระหนักว่ามีแค่ไหน เกินตัวคืออะไร ก็ยังเป็นแบบนั้น ตามด่า พาลหาเรื่อง เขายังไง ก็ยังเป็นอย่างนั้น
มันถ่ายทอดกันทางพันธุกรรมจริงๆ
โบนันซ่า เราเชื่อมั่นว่าตระกูลนี้ "โง่" ไม่นานและมั่นใจว่าสุดท้ายเขาเลือก คนที่ "ดี" กว่าเสมอ