มีคนมาเสนอซื้อบ้านและที่ดินของผมในราคา 15 ล้าน!! ... และ ผมไม่ขาย!!!

เวลานี้เป็นอีกหนึ่งช่วงเวลาที่ ... ร้อนแรงของอสังหาริมทรัพย์ในบริเวณนี้
สารพัดนายหน้า และ สารพันนายทุนมาถามซื้อบ้านและที่ดินของเรา ... ทางเป็นเทือก!!!

ที่ดินแถวนี้กำลังเริ่มร้อนแรงขึ้นเมื่อสิบกว่าปีก่อนจากความเจริญที่ย่างกรายเข้ามาทุกขณะ
ราคาที่ดินก็เริ่มปรับตัวสูงขึ้นตามลำดับเรื่อยมา ...

บ้านหลังนี้เป็นบ้านที่พ่อกับแม่และผมอาศัยอยู่ในปัจจุบัน บ้านหลังนี้เดิมทีเป็นบ้านของคุณยาย
บ้านก็เป็นบ้านไม้และปูนผสม ธรรมดาๆ แบบใต้ถุนยกสูง ...
สิ่งที่นายหน้าและนายทุนสนใจคงไม่ใช่ตัวบ้าน แต่เห็นจะเป็น “ที่ดิน”
เนื้อที่บ้านและสวนของผมรวมกันได้ราว 18 ไร่เศษ ปัจจุบันถูกเสนอซื้อมาที่ 15 ล้านบาท!!!
และ นี่คงเป็นครั้งที่ร้อยที่ที่ดินแห่งนี้ถูกขอซื้อในตลอดสิบปีที่ผ่านมา
ที่ผมตอบนายหน้าและนายทุนเป็นครั้งที่ร้อยว่า “ไม่ขาย”



ตาใหญ่ซึ่งมีศักดิ์น้องเขยของยายผม คุณตาใหญ่ที่เป็นรุ่นบุกเบิกที่เป็นหนึ่งในผู้นำของครอบครัวในยุคแรกๆ
ซึ่งเป็นคนรุ่น หักล้างถางพงแถวนี้มากลับมือตังแต่เมื่อสี่สิบกว่าปีก่อน
เมื่อหลายปีก่อน ที่ราคาที่ดินขยับตัวขึ้นมาพักใหญ่ๆ ครั้งหนึ่งแกบอกลูกๆหลานๆในโต๊ะทานข้าว
พูดลอยๆ เพื่อสอน และ เตือนสติ ในช่วงที่ดินกำลังร้อนแรงนี้ว่า ...

“อยากได้อะไร อยากซื้ออะไร ก็เก็บเงินเอาใหม่ สะสมเอาใหม่ เก็บอย่างอดทน ...
อย่าขายที่ ขายสมบัติที่มี ... การขายเพื่อไปซื้อสิ่งที่อยากได้มันไม่ถูก ...
เพราะถ้าทำอย่างนั้นเดี๋ยวอีกหน่อยก็ไม่เหลือที่ให้อยู่และจะทำมาหากินได้อย่างไร”


ประโยคสั้นๆของคุณตา ที่ผมจำได้ขึ้นใจ ประโยคที่แฝงไว้ด้วยข้อคิดมากมาย ...
และในยามที่ที่ดินร้อนแรงเช่นนี้ผมจึงขอเขียนบทนี้เพื่อ เตือนสติตนเอง อีกสักครั้ง ...



ย้อนกลับไป ราวปี พ.ศ. 2513

คุณตา คุณยาย และ รวมถึงญาติๆ บางส่วน และคนในละแวก
ได้ย้ายถิ่นฐานจากออกมาตั้งรกรากจากต่างจังหวัด ... มาอยู่ที่นี่
เราอพยพมาตั้งรกรากที่นี่ราว 30 ครอบครัว สี่สิบกว่าปีที่ผ่านมา หลายสิ่งเปลี่ยนไป ...
จาก 30 ครอบครัวเหลือเพียงไม่กี่ครอบครัวที่ยังมีที่ดินอยู่ ณ ปัจจุบัน

ผมพยายามคิดในแง่ดี เช่น ครอบครัวเหล่านั้น เขาคงขายที่ดินเพื่อที่จะทำกำไรแล้วไปต่อยอด
ทำธุรกิจอย่างอื่น หรือ ซื้อที่แปลงอื่นที่ราคาถูกกว่า จะได้มีเนื้อทีทำการเกษตรได้เพิ่มมากขึ้น
ครอบครัวขายที่ไปเป็นดังที่ผมบอกข้างต้นมีจริง ... แต่น้อยเหลือเกินเมื่อเทียบกับสัดส่วน  


มันจึงทำให้เกิดคำถามว่า ... แล้วครอบครัวมากที่ขายที่ดินไปล่ะ เขาเป็นอย่างไร??


จากการสอบถามและนั่งทบทวนถึงวันเก่าๆ ได้ความว่า ...
โดยมากคนรุ่นเก่าที่มาบุกเบิกส่วนมากยังคงรักษาที่ไว้ได้ในช่วงชีวิตของเขา
เพราะใช้ที่ดินเหล่านั้นทำมาหากิน ... แต่หลังจากที่คนรุ่นเก่าแก่ชราลง
เวลานั้นมักจะได้ยินได้ฟังบ่อยๆถึงเรื่องการแบ่งแยก แบ่งขายที่ดิน จากคนในหมู่บ้าน
จากที่เป็น คนรุ่นลูก รุ่นหลาน และ รุ่นเหลน


ลงลึกถึง ต้นตอของปัญหา ... การบริหารเงินที่ผิดพลาด


การบริหารเงินที่ผิดพลาด ตัวแรกที่สุดแสนจะเลวร้ายที่สุด
คือ แยกไม่ออกว่า อะไรคือสินทรัพย์ และ อะไรคือหนี้สิน
หลายๆครอบครัวขายที่ดินออกไปเลยเพื่อไปเสนอความอยากได้อยากมีของตน
เมื่อสิบปีก่อนที่แถวนี้ราคาไม่กี่บาท ขายเป็นสิบไร่ ราคายังไม่ได้รถเก๋งสักคันหนึ่งเลย
แต่ก็น่าแปลกที่ เขาตัดใจขายที่ดินทำกินออกไป เพื่อซื้อรถคนใหม่ออกมาขับไปขับมาโก้ๆ
บางคนตัดใจเสียทีเดียวไม่ได้ ขายไม่ลง จึงเลือกใช้ทางเลือกที่หลากหลายทางการเงิน
สารพัดรูปแบบการจำนองที่ดิน เพื่อให้ได้เงินมาใช้หมุน หมุน หมุน และหมุน
ถ้านำมาสร้างประโยชน์ต่อยอดก็ดีไป ... เมื่อมั่งมี ก็มาไถ่ถอนออกไป
แต่น่าเสียดาย ที่โดยมากมักจะไม่สามารถส่งต่อ จำต้องขาย หรือ โดนยึดไป ...


การบริหารเงินที่ผิดพลาดตัวที่สอง ก็เหมือนว่าจะไปได้แต่ก็ไม่รอดเพราะพยายามไม่พอ
อยากทำธุรกิจเห็นช่องทางทำหากิน แต่ขาดทุนรอน ... แต่มีที่ดิน ก็นำไปค้ำ
การใช้ที่ดินค้ำประกันเงินกู้จึงเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ เรื่องนี้เป็นเรื่องดี
แต่เมื่อใดที่ ผลงานไม่เป็นดังคาด แผนสำรองไม่มี ... กิจการมันก็ขาดทุน
หมดแรงใจ หมดกำลัง ท้อแท้ ก็ปล่อยทีดินสถาบันการเงินยึดไป
หรือไม่ก็ตัดใจขายที่ดินออกไปเพื่อไปชำระหนี้สินที่ก่อไว้ของตน ... เพื่อจบปัญหา
การบริหารเงินที่ผิดพลาดนำไปสู่ การจำนอง การขายที่ ล้างหนี้ และ หนีปัญหา ...


ผมว่ามันคงเป็นการง่ายกว่า เร็วกว่า สบายกว่าที่จะขายทรัพย์สินที่คนรุ่นเก่าทำมา ...
เพราะ มันคงง่ายมากกว่าที่จะต้องมาทำเอง สะดวกกว่าต้องมาสู้เอง
สบายกว่าที่จะต้องฝ่าฟันอุปสรรคเอง และ รวดเร็วกว่าที่จะต้องมานั่งทนรอ...



เมื่อ 20 ปีก่อน บ้านผมเจอมรสุมหนี้สินรุมเร้า เจอหนี้เข้าไปหลักล้านจากความผิดพลาด
ตอนนั้นที่แปลงนี้คุณยายใช้ทำไร่ทำสวน คุณแม่ก็ไม่ได้ไปขอที่ดินจากยายเพื่อมาขาย
มาจำนอง มาค้ำประกันเงินกู้แต่อย่างใด เนื่องจากที่ดินผืนนี้คุณยายใช้ทำกิน
ถ้าพอมีหนทางบ้าง ถ้าเลือกได้ จึงเลือกทางอื่น

ทัศนคติและแนวคิดเรื่องการสินทรัพย์ที่มีที่ถูกบอกต่อจากรุ่นตารุ่นยายมาสู่คนรุ่นพ่อรุ่นแม่
และ แนวคิดนี้ได้ส่งผ่านมาถึงผม


ส่วนตัวผม ... ไม่มีเงิน คือ ไม่ซื้อ ... ไม่ใช้เงินในอนาคตมาแลกกับความสบายปัจจุบัน
ผมทำธุรกิจ ... ทำแบบพอตัว ... ทำให้เหมาะสมกับกำลังที่มี ... ไม่เกินตัว ... ไม่เสี่ยง
การลงทุนหุ้น ... ซื้อมาแล้วขายยาก ... ถือกันยาวๆ ..ขายก็ต่อเมื่อมีความจำเป็นต่อชีวิต
ลงทุนซื้อบ้าน ... ซื้อมาปล่อยเช่า ... เก็บกินนานๆ ... แทบไม่มีกำหนดว่าจะขายออก


ถึงแม้วันนี้ผมไม่ได้ทำมาหากินกับที่ดินเหล่านี้เหมือนอดีตอีกแล้ว แต่ในขณะที่
ราคาที่ดินบริเวณนี้ดีดตัว ปรับขึ้นสูงมากจากความเจริญย่างกลายเข้ามาทุกขณะ
แต่ไม่ว่าราคาจะเย้ายวนใจเพียงใด ผมคงจะไม่ขายที่แปลงนี้ อย่างแน่นอน!!!

ผมจะเก็บที่มรดกนี้ไว้จวบจนผมสิ้นลม ... เพราะที่ดินผืนนี้จะคอยเตือนสติผม
เตือนในสิ่งที่คุณตาผมเคยบอกผมไว้ ว่าทำไมเราจึงมีที่ดิน และ ควรจะมีต่อไป ...




บ้านเดิมของคุณยายที่ผ่านการแปลงโฉมนิดหน่อย




ขอให้บทความชิ้นนี้จงได้สร้างประโยชน์ให้แก่ท่านผู้อ่านทุกท่าน

ขอให้ความร่ำรวยและความสุขสวัสดิ์จงมาสถิตแด่ท่าน


…[^_^]…
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่