เมื่อวานไปบ้านนอก แถว ๆ พิบูลมังสาหาร คุยกับชาวบ้านที่เขารับจ้างระบายสี
ช้างพลาสติก อาชีพเสริมของเขา หลังจากเก็บเกี่ยวแล้ว  ( ชาวบ้านหลังจากนาแล้วเขาไม่
อยู่เฉย ๆนะครับ ต้องหางานทำไปเรื่อย )

ได้ข้อมูลที่แท้จริงของการทำนา 25 ไร่ของเขา  รายละเอียดมีดังนี้ครับ

1 ค่าไถปั่น ไร่ละ 500 บาท
2 ปุ๋ย กระสอบละ 800  20 ลูก บวกกับค่าปุ๋ย ยูเรียอีก 5 กระสอบ @ 500 บาท
3 ยาฆ่าหญ้า อีก 5000 บาท
4 ค่าซ่อมบำรุงที่นา เช่น ทำคันกั้นดิน กรณีน้ำมาก ทำให้คันนาพัง เก็บน่ำไม่ได้ 5000 บาท
5 ค่ารถเกี่ยวข้าว ไร่ละ 600 บาท
6 ค่าอาการเลี้ยงพวกมาช่วยทำ
ไม่คิดค่าข้าวปลูกนะเพราะแกเก็บไว้จากปีแล้ว
แกบอก 25 ไร่ของแกลงทุนในฤดูนี้ไป 110,000 - 120,000 บาท ได้ช้าวมา ประมาณ 6 ตัน
ขายให้กับสหกรณ์ โรงสีประจำหมู่บ้านได้เงินมา 6 หมื่นกว่าบาท
ก็ขาดทุนเห็น ๆประมาณ 6 หมื่นบาท แกบอกนี่ยังติดค่า ปุ๋ย ค่ายากับเถ้าแก่ไว้ ไอ้เงินที่ได้มา
1.5 หมื่นยังไม่พอค่า ปุ๋ยเลย ค่าแรง กำไรขาดทุนของเขา ยังไม่คิดเลย
ผมถามว่าแก จะทำอย่างไร กับปีหน้า ถ้าเป็นแบบนี้ แกบอก ก็คงหยุดทำซักปีแต่หยุด หนี้ก็จะเพิ่มอีก
ต้องเสียดอกให้เถ้าแก่ อีกต่างหาก

เห็นตัวเลขจากท้องนาแล้วเป็นไงครับ ทีดีอาร์ไอ  อุ๋ย ปิติพงศ์ และท้ายสุด คุณประยุทธิ นายก
ไอ้ที่บอกข้าว ตันละ 8 พันว่าไง และในทางกลับกัน ถาม รมตพานิช คุณฉัตรชัย ทำไมข้าวสาร
ที่ผมซื้อกินมันถึง ไป กิโลละ 38 บาท ส่วนต่างมากเหลือเกิน  ข้าวหอมมะลิ ที่ขาย ๆกัน มันข้าวปนทั้งนั้น
ไม่ใช่หอมมะลิแท้ ทราบไหมครับ ทุกท่านที่ผมเอ่ยนามมา สบายดีหรือครับ

ทุกข์ของชาวนาคือทุกข์ของแผ่นดิน ไม่ทราบว่าท่านใด พูดคำนี้ขึ้นมา