ธารทิพย์
โดย อัศวรักษ์
ณ ถ้ำใหญ่ที่อยู่ลึกล้ำห่างไกล ขวางกั้นหลายชั้นด้วยโตรกเขาและเหวชันเป็นกำแพง ป่าดิบทึบนั้นซ่อนเร้นป้องปิดมิให้เผยต่อสายตามนุษย์โดยง่าย สายหมอกทึบขมุกขมัวปกคลุมไปทั่วผืนป่า กลิ่นไพรที่แผ่ซ่านอยู่ทุกอนูเย็นเยือกชวนวังเวง มีรอยเท้ามนุษย์ผู้กล้าผู้มากบารมีเพียงไม่กี่รอยเท่านั้นที่ผ่านภูติพรายสัตว์ร้ายมาได้จนเข้าถึง
ภายในถ้ำสินธุแร่และหินปูนธรรมชาติหลากสีที่ก่อตัวขึ้นผ่านกาลเวลาอันยาวนาน บ้างก็เกาะจากด้านบนแล้วหยดย้อยสร้างสรรค์เป็นกรวยแหลม บ้างก็ถมทับกันเป็นกรวยคว่ำอยู่บนพื้นรูปลักษณ์สีสันแตกต่างเกาะกลุ่มรวมกันเป็นหมู่อยู่ทั้งที่พื้นและเพดานถ้ำดูละลานตา
ผนังถ้ำหลายแห่ง การสะสมดังกล่าวเกิดเป็นลักษณะเหมือนมวลน้ำที่พุ่งลงจากผาน้ำตกเล็กๆ แล้วติดนิ่งค้างอยู่กับนัยแห่งเวลา ประดับประดาผนังถ้ำเรืองรองด้วยแก้วผลึกเล็กละเอียดที่ฉาบทาอยู่ทั่วไปแม้เพียงต้องแสงจันทร์วันเพ็ญที่ส่องผ่านจากช่องโพรงด้านบนลงมา แสงนั้นก็สะท้อนกลับไปมานับแสนนับล้านครั้งจนเรืองรองสว่างไสว อากาศภายในนั้นสงบนิ่งเย็นเยียบ พื้นถ้ำมีธารน้ำรินไหลเอื่อยลึกเพียงครึ่งฝ่าเท้า ที่กลางพื้นถ้ำมีหินก้อนใหญ่แบนมนสูงเทียมเอว ลักษณะแตกต่างจากหินอื่นภายในถ้ำอย่างสิ้นเชิงตั้งอยู่ ดูประหนึ่งทวยเทพฯได้นำมาวางทิ้งไว้
ชายชราชาวป่าที่นั่งขัดสมาธิอยู่ด้านหนึ่งของผนังถ้ำค่อยๆเปิดเปลือกตาขึ้นเพื่อออกจากกรรมฐาน นั่งนิ่งอยู่อึดใจใหญ่รอให้สัมปชัญญะสมบูรณ์จึงค่อยๆหยิบครกหินบดยาเล็กๆมาวางตรงหน้า อีกมือหนึ่งล้วงเอาวัตถุที่อยู่ในย่ามเก่าคร่ำออกมาใส่ในครกแล้วเริ่มบดวัตถุนั้นอย่างช้าๆด้วยสากหิน ริมฝีปากปิดสนิทสายตาจับนิ่งเป็นสมาธิอยู่ที่การบด ชายชราค่อยๆใช้อุ้งมือช้อนน้ำจากสายน้ำรินเล็กๆบนพื้นถ้ำใส่ครก เวลาผ่านไปเสียงสากที่บดลงดังกรากแกรกอยู่ภายในถ้ำค่อยๆเบาลงเพราะสิ่งที่ถูกบดนั้นเริ่มละเอียดขึ้นแล้ว ชายชราช้อนน้ำนั้นใส่ลงในครกหินอีกแล้วบดต่อไปจนกระทั่งมีเพียงเสียงสากและครกหินเสียดสีกันอันเป็นสัญญาณว่าวัตถุนั้นละเอียดได้ที่แล้ว
ชายชราล้วงหยิบกริชโบราณเรียวเล็กแหลมคมออกจากย่ามค่อยๆพยุงกายลุกขึ้น อีกมือหนึ่งถือครกหินเดินช้าๆมาที่ก้อนหินใหญ่กลางพื้นถ้ำค่อยๆเหยียบก้อนหินที่วางไว้แทนบันไดขึ้นไป บนแท่นหินมนที่มีแสงเงินยวงของพระจันทร์วันเพ็ญสาดส่องลงมาจากช่องโพรงสูงเบื้องบน
ร่างของหญิงสาวนอนคว่ำหน้าอยู่บนนั้น ผมยาวของเธอเกล้ามวยไว้เรียบร้อยท่อนบนเปลือยเปล่าเผยให้เห็นแผ่นหลังสวยสะอาด หญิงสาวงอสองแขนเบียดชิดสีข้างเพื่อปกปิดเนินฐานของสองปทุมไว้ ท่อนล่างนั้นนุ่งซิ่นสีขาวไว้เรียบร้อย เธอนอนเหยียดตัวหลังเท้าแตะพื้นชิดกัน ชายชราหยุดยืนมองนิ่งที่ร่างนั้นริมฝีปากเหี่ยวย่นขยับไปมาเหมือนบริกรรมคาถาบางอย่างโดยไม่มีเสียง ชั่วครู่ก็นั่งคุกเข่าสูงข้างเดียวโหย่งตัวคร่อมร่างนั้นไว้ที่บั้นเอวแล้ววางครกหินเล็กบนแผ่นหลัง
“เจ้าจงอยู่ในสมาธิ” ชายชราพูดเบาชูกริชขึ้นด้วยมือซ้าย ใช้ห้านิ้วหนีบใบกริชไว้หันปลายคมไปทางขวา ตามองไปที่เบื้องบนเหมือนขอให้เป็นทิพย์พยาน จากนั้นชายชราก็ก้มลงตัดปอยผมของหญิงสาวใส่ลงในครกหิน
“เจ้ามีอันใดลังเลสงสัย” ชายชราถามเบาๆด้วยเสียงแหบพร่า
หญิงสาวที่นอนคว่ำอยู่ส่ายหน้าช้าๆแทนคำตอบแล้วชายชราก็ก้มลงใช้มือขวายันพื้นเพื่อทรงตัวจิกปลายกริชแหลมคมเบาๆลงที่ต้นคอ ร่างของหญิงสาวกระตุกเล็กน้อยด้วยความเจ็บที่เพิ่งเริ่ม เลือดแดงไหลซึมออกมาจากแผลเล็กชายชราใช้ปลายกริชนั้นปาดหยดเลือดจุ่มลงในครกหินแล้วเงยหน้าขึ้นมองเบื้องบนอีกครั้ง ปลายคมกริบถูกจุ่มลงในของเหลวสีเทาหม่นในครกหินจรดลงบนแผ่นหลัง เขาเริ่มกรีดคมผ่านเนื้อขาวลงไปเบาๆเหมือนจารอักขระสลับกับจุ่มปลายกริชทุกครั้งที่เริ่มอักขระตัวใหม่บริกรรมคาถาเบาๆในลำคอ สายตาจับนิ่งอย่างมีสมาธิขณะกรีดปลายคม
เลือดแดงไหลรินเป็นทางไปบนแผ่นหลังขาวผ่อง บาดแผลที่สัมผัสกับของเหลวสีเทาหม่นนั้นก่อให้เกิดความเจ็บปวดแผ่ซ่านไปทุกจุดประสาทในร่างกาย แม้หญิงสาวซึ่งมุ่งมั่นเตรียมใจมาก่อนจะพยายามทำจิตให้อยู่ในสมาธิแต่ร่างกายก็ยังไม่วายกระตุก เธอกัดริมฝีปากแน่นเพื่อรวบรวมจิตใจให้เข้มแข็งต่อสู้กับความเจ็บปวด ทุกตัวของอักขระที่ได้สัมผัสบนแผ่นหลังอันอ่อนบาง ความรวดร้าวนั้นเธอรู้สึกได้ว่าแฝงมนต์ขลังที่ซึมลึกเข้าไปจนถึงจิตวิญญาณ แล้วที่จุดสูงสุดของความอดทน สำนึกสุดท้ายก็ดับวูบลงจากความเจ็บปวดกลับกลายเป็นเบาหวิว ล่องลอยเชื่องช้าไปในความมืดท่ามกลางหมู่ดาว
อักขระแถวสุดท้ายถูกจารลงจนจบเหนือบั้นเอว ชายชราหยิบครกหินชันกายยืนขึ้นแล้วก้าวออกมายืนข้างๆร่างนั้น ของเหลวในครกหินถูกราดลงจนทั่วบนแผ่นหลังที่แดงฉานของหญิงสาวที่นอนแน่นิ่งอยู่ ผ้าสีน้ำเงินเก่าคร่ำที่พับวางอยู่ด้านข้างถูกคลี่ออกปรากฏให้เห็นภาษาแปลกๆที่เขียนลงบนผืนผ้าด้วยสีเหลืองทองซีดจาง ชายชราจบพิธีกรรมด้วยการคลุมร่างของหญิงสาวตั้งแต่ลำคอจนถึงข้อเท้า
“สุดแต่วาสนานะเจ้า” ชายชราพูดเบาๆกับร่างที่นอนแน่นิ่งอยู่
“พ่อครู” พรานป่าเข้าไปประคองชายชราให้ก้าวลงบันใดหิน เขานั่งสมาธิกรรมฐานอยู่อีกด้านหนึ่งของแท่นหินตลอดพิธีกรรมและถอยออกเมื่อจบลง
“ข้าไม่เป็นไร” ชายชราพูด
“ท่านเหนื่อยมากแล้ว พักเถอะข้าจะไปนำน้ำกับผลไม้ป่ามา” เขาพูดอย่างเป็นห่วงเหลือบมองร่างที่นอนนิ่งอยู่
“อย่าถูกตัวมันจนเพ็ญโสมหน้า” ชายชราพูดสั่งแล้วเดินอย่างเหนื่อยอ่อนไปทรุดตัวลงนั่งอยู่ที่เดิม
พรานป่ายืนมองพ่อครูและร่างของหญิงสาวครู่หนึ่งแล้วหันไปหยิบย่ามกับอาวุธเดินออกนอกถ้ำไป
สองวันผ่านไปหลังพิธีกรรม ร่างของหญิงสาวยังนอนสงบอยู่บนก้อนหินใหญ่ มีเพียงการขยับพลิกตัวเบาๆและเสียงหายใจรวยรินเท่านั้นที่บ่งบอกสัญญาณชีพ ชายชรายังคงนั่งสงบอยู่ในกรรมฐานมานานสองวันแล้ว
พรานป่าวัยห้าสิบนั่งชันเข่าอยู่ข้างกองไฟที่ก่อไว้ปากทางเข้าถ้ำเพื่อระวังภัย นานๆเขาก็จะเดินเข้ามามองดูร่างทั้งสองนั้นด้วยความเป็นห่วงและเติมฟืนลงในกองไฟเพื่อให้อบอุ่น เขาเดินเข้าเดินออกบริเวณหน้าถ้ำไม่ห่างนักเพื่อเก็บฟืนและผลไม้ป่ามาตระเตรียมไว้ยังชีพทั้งยังต้องหาสมุนไพรไว้ใช้รักษาแผล
“เป็นอย่างไรแล้ว” ชายชราลืมตาขึ้นถามเสียวแผ่วขณะพรานป่าพยายามจรดฝีเท้าเบาๆเดินผ่าน
“พ่อครูถอยแล้วรึท่าน” เขาถามเสียงกระซิบ
“นี่นานเท่าไรแล้ว” ชายชราถาม
“สองวันพ่อครู” เขาตอบ “ข้าจะไปเอาน้ำกับลูกกล้วยมาให้ท่าน”
พรานไพรรีบนำกระบอกไม้ไผ่บรรจุน้ำและผลกล้วยป่าสุกทั้งเครือมาวางไว้ตรงหน้าชายชรา ปอกกล้วยใส่มือให้ด้วยความห่วงว่าพ่อครูเข้ากรรมฐานสองวันแล้วร่างกายคงอ่อนแอ ชายชรายิ้มให้แล้วเริ่มกินอย่างช้าๆ เขาเองก็ปอกกล้วยนั้นกินไปพร้อมกันกับพ่อครูของเขาด้วย
“จากนี้จะเป็นอย่างไรพ่อครู” พรานป่าเอ่ยถาม
“โส่ยมันได้ยี่สิบขวบปีแล้ว เวทย์พรานอ่านไพรเจ้าเองก็สอนมันจนหมดไส้แล้วกระมัง” พ่อครูผาตอบ “รอมันคืนสติ หายาไว้รักษาแผล ถ้าไม่ติดป่าติดไพรมันคงดีเอง”
“หะนี้เจ้าต้องหากล้วยหายาหาน้ำวางไว้ให้มันบนนั้น มันต้องทำเองบำเพ็ญเองบนนั้น ใครจะต้องตัวมันมิได้จน
ถึงเพ็ญโสมหน้า เจ้าเข้าใจรึ” ชายชราวางมือบนไหล่เชิงบอกสั่ง พรานโละพยักหน้ารับคำแล้วลุกขึ้นเดินไปหยุดยืนมองลูกสาวที่นอนสงบนิ่งอยู่
“เจ้าต้องตื่นนะลูก” เขารำพึงเบาๆ
เนิ่นนานเท่าใดในกาลเวลาและสิ่งอื่นปราศจากการรับรู้ มีเพียงความรู้สึกที่หมุนคว้างช้าๆล่องลอยเคลิ้มฝันไปท่ามกลางความมืดสนิท รอบล้อมนั้นคือแสงดาวระยิบงามตา เสียงหัวร่อต่อกระซิกดังผิวแผ่วดุจจะกล่อมให้เคลิบเคลิ้มอยู่ในนิทรารมย์นั้น ที่แสงดาวหนึ่งอันห่างไกลพลันค่อยๆสว่างเรืองรองขึ้นกว่าดาวอื่นเหมือนเรียกหาให้สนใจ ความรู้สึกที่รับรู้การเรียกหานั้นแปรเปลี่ยนอาการหมุนคว้างเป็นหยุดนิ่ง ความรู้สึกค่อยๆหนักอึ้งขึ้นจนแข็งชา แสงดาวดวงนั้นค่อยๆสว่างขึ้นสว่างขึ้นจนกลายเป็นเจิดจ้าอยู่รอบกาย
“โส่ย โส่ย” เสียงเรียกเบาๆนั้นปลุกขึ้นจากภวังค์แห่งความฝัน
เปลือกตาหนักอึ้งปรือมองภาพพร่ามัวของสองใบหน้าที่รู้สึกคุ้นเคย สติเริ่มกลับคืนมาทีละน้อยรับรู้สายตาของปู่ทวดผาและพรานโละผู้พ่อ และอีกความรู้สึกหนึ่งคือได้กลับมาสู่โลกของความจริงแล้ว ประสาทสัมผัสในร่างกายซึ่งรับรู้การกลับมาของจิตอีกครั้งก็ส่งผ่านความเจ็บปวดกลับมาบอกกล่าว หลังหนักอึ้งปวดชาด้วยพิษแผล เนื้อตัวแขนขาไม่มีเรี่ยวแรงขยับ เธอนอนมองสบตาทั้งสองชั่วครู่ด้วยความวางใจเชื่อมั่น แล้วจึงปิดเปลือกตาลงหลับต่อไป
หลายวันต่อมา
“เป็นอย่างไรวันนี้” พรานโละซึ่งยืนอยู่บนพื้นถ้ำเงยหน้าถามลูกสาวพร้อมกับเอื้อมวางถังใส่น้ำไว้บนแท่นหิน
“ดีขึ้นมากแล้วจ้ะพ่อ” โส่ยหรือที่โจกับพีเรียกเธอว่าสร้อยตอบพ่อขณะค่อยๆติดกระดุมเสื้อ
“ยังใส่ลำบากอยู่รึลูก” พรานโละถาม
“จ้ะ แผลยังเจ็บอยู่ เอี้ยวลำบาก” โส่ยตอบ
“กางเกงฉันยังอยู่ใช่มั้ยจ๊ะ” โส่ยถามเมื่อนึกขึ้นได้ถึงกางเกงเดินป่าที่โจซื้อให้
“พ่อซักตากอังไฟไว้ให้แล้ว” พรานโละตอบลูก
“พ่อ ครั้งที่พ่อครอบพรานเป็นอย่างนี้มั้ย” โส่ยถามมองหน้าพ่อ
“ไม่” พรานโละตอบ “ปู่ทวดของเจ้าพาพ่อไปนั่งกรรมฐานแผ่ให้เจ้าป่าเจ้าเขากับภูตผีสัตว์ป่า”
“แล้วทำไม” โส่ยหยุดคำถามก้มลงกราบปู่ทวดผาที่เดินเข้ามา
“มันเป็นทางเดินของเจ้าโส่ย” ปู่ทวดผาตอบ “หมั่นนั่งสมาธินะ อยู่บนนั้น เจ้าจะลงมาได้แค่ขับถ่าย อย่าถูกตัวทวดหรือพ่อเจ้าจนถึงเพ็ญโสมหน้า อย่าลืม”
“จ้ะปู่” โส่ยรับคำปู่ทวดด้วยความแคลงใจ
วันคืนผ่านไปพรานโละสาละวนอยู่กับการเก็บฟืนหาผลไม้ป่าซึ่งหายากในฤดูหนาวเช่นนี้ สัตว์ป่าซึ่งเขาสามารถหามาได้โดยไม่ยากนั้นกลายเป็นสิ่งต้องห้ามในเวลาของพิธีกรรม ทั้งยังต้องดูแลการดำรงชีพของพ่อครูและลูกสาวจึงทำให้เขาไม่มีเวลาครุ่นคิดเบื่อหน่ายเท่าใดนัก ชายชราพรานจอมขมังเวทย์นั้นเวลาส่วนใหญ่หมดไปกับการทำสมาธิกรรมฐานซึ่งบางครั้งเป็นเวลาถึงสามวันสามคืน
ส่วนโส่ยหรือสร้อยนั้นหญิงสาวใช้ชีวิตอยู่หลายวันแล้วบนแท่นหินเธอนั่งสมาธิภาวนาเพื่อสร้างสมบุญบารมีอย่างมุ่งมั่นตามที่ปู่ทวดและบิดาสอนสั่ง ยามนี้เธอนั่งกอดเข่าเหม่อมองไปที่ปากถ้ำแล้วแหงนหน้าดูโพรงที่อยู่เหนือขึ้นไป
ใจสาวได้ปลดปล่อยพันธนาการของพิธีกรรมบนแท่นหินและถ้ำใหญ่ โบยบินออกไปสู่โลกกว้างถึงเรื่องราวที่ฝังลึกอยู่ในใจ เรื่องราวที่เธอเองก็มองไม่เห็นจุดหมายปลายทางมองไม่เห็นความเป็นไปได้ เธอลดสายตาลงมองพื้นหินที่นั่งอยู่ แล้วน้ำใสดังกระจกก็เอ่อท้นหัวใจรินออกจากดวงตาไหลบ่าลงอาบที่สองแก้มนวลนั้น
“จงอดทน มุ่งมั่น สิ่งนี้สำคัญต่อเจ้า” เสียงปู่ทวดผาซึ่งยืนอยู่ที่พื้นถ้ำตรงหน้าเธอพูดขึ้น
หญิงสาวตื่นจากภวังค์ เธอเปลี่ยนท่านั่งเป็นพับเพียบแล้วถาม “สำคัญยังไง ปู่ทวดช่วยบอกข้าด้วย”
“มันเป็นลิขิต” ปู่ทวดผาตอบ
“ข้าคิดว่าแค่ครอบพราน” โส่ยตั้งคำถาม
ปู่ทวดผาไม่ตอบหันหลังเดินกลับไป ทิ้งโส่ยมองตามอย่างไม่เข้าใจแต่ไม่ว่าลิขิตนั้นจะคืออะไร เธอรู้แน่ว่าปู่ทวด
และพ่อนั้นจะให้สิ่งที่ดีที่สุดกับเธอเสมอ
จนคืนวันเพ็ญขึ้นสิบห้าค่ำเวียนมาบรรจบอีกครั้ง
“หลังไหล่เป็นยังไงบ้างแล้ว” พรานโละเดินมายืนถามลูกสาว
“เจ็บเบาลงแล้วจ้ะพ่อ” โส่ยตอบ
“ถ้าเจ้ายังเจ็บ ปู่ทวดบอกว่าจะอยู่ต่ออีกพัก” พรานโละบอกลูก
ธารทิพย์ บทที่ 4
ณ ถ้ำใหญ่ที่อยู่ลึกล้ำห่างไกล ขวางกั้นหลายชั้นด้วยโตรกเขาและเหวชันเป็นกำแพง ป่าดิบทึบนั้นซ่อนเร้นป้องปิดมิให้เผยต่อสายตามนุษย์โดยง่าย สายหมอกทึบขมุกขมัวปกคลุมไปทั่วผืนป่า กลิ่นไพรที่แผ่ซ่านอยู่ทุกอนูเย็นเยือกชวนวังเวง มีรอยเท้ามนุษย์ผู้กล้าผู้มากบารมีเพียงไม่กี่รอยเท่านั้นที่ผ่านภูติพรายสัตว์ร้ายมาได้จนเข้าถึง
ภายในถ้ำสินธุแร่และหินปูนธรรมชาติหลากสีที่ก่อตัวขึ้นผ่านกาลเวลาอันยาวนาน บ้างก็เกาะจากด้านบนแล้วหยดย้อยสร้างสรรค์เป็นกรวยแหลม บ้างก็ถมทับกันเป็นกรวยคว่ำอยู่บนพื้นรูปลักษณ์สีสันแตกต่างเกาะกลุ่มรวมกันเป็นหมู่อยู่ทั้งที่พื้นและเพดานถ้ำดูละลานตา
ผนังถ้ำหลายแห่ง การสะสมดังกล่าวเกิดเป็นลักษณะเหมือนมวลน้ำที่พุ่งลงจากผาน้ำตกเล็กๆ แล้วติดนิ่งค้างอยู่กับนัยแห่งเวลา ประดับประดาผนังถ้ำเรืองรองด้วยแก้วผลึกเล็กละเอียดที่ฉาบทาอยู่ทั่วไปแม้เพียงต้องแสงจันทร์วันเพ็ญที่ส่องผ่านจากช่องโพรงด้านบนลงมา แสงนั้นก็สะท้อนกลับไปมานับแสนนับล้านครั้งจนเรืองรองสว่างไสว อากาศภายในนั้นสงบนิ่งเย็นเยียบ พื้นถ้ำมีธารน้ำรินไหลเอื่อยลึกเพียงครึ่งฝ่าเท้า ที่กลางพื้นถ้ำมีหินก้อนใหญ่แบนมนสูงเทียมเอว ลักษณะแตกต่างจากหินอื่นภายในถ้ำอย่างสิ้นเชิงตั้งอยู่ ดูประหนึ่งทวยเทพฯได้นำมาวางทิ้งไว้
ชายชราชาวป่าที่นั่งขัดสมาธิอยู่ด้านหนึ่งของผนังถ้ำค่อยๆเปิดเปลือกตาขึ้นเพื่อออกจากกรรมฐาน นั่งนิ่งอยู่อึดใจใหญ่รอให้สัมปชัญญะสมบูรณ์จึงค่อยๆหยิบครกหินบดยาเล็กๆมาวางตรงหน้า อีกมือหนึ่งล้วงเอาวัตถุที่อยู่ในย่ามเก่าคร่ำออกมาใส่ในครกแล้วเริ่มบดวัตถุนั้นอย่างช้าๆด้วยสากหิน ริมฝีปากปิดสนิทสายตาจับนิ่งเป็นสมาธิอยู่ที่การบด ชายชราค่อยๆใช้อุ้งมือช้อนน้ำจากสายน้ำรินเล็กๆบนพื้นถ้ำใส่ครก เวลาผ่านไปเสียงสากที่บดลงดังกรากแกรกอยู่ภายในถ้ำค่อยๆเบาลงเพราะสิ่งที่ถูกบดนั้นเริ่มละเอียดขึ้นแล้ว ชายชราช้อนน้ำนั้นใส่ลงในครกหินอีกแล้วบดต่อไปจนกระทั่งมีเพียงเสียงสากและครกหินเสียดสีกันอันเป็นสัญญาณว่าวัตถุนั้นละเอียดได้ที่แล้ว
ชายชราล้วงหยิบกริชโบราณเรียวเล็กแหลมคมออกจากย่ามค่อยๆพยุงกายลุกขึ้น อีกมือหนึ่งถือครกหินเดินช้าๆมาที่ก้อนหินใหญ่กลางพื้นถ้ำค่อยๆเหยียบก้อนหินที่วางไว้แทนบันไดขึ้นไป บนแท่นหินมนที่มีแสงเงินยวงของพระจันทร์วันเพ็ญสาดส่องลงมาจากช่องโพรงสูงเบื้องบน
ร่างของหญิงสาวนอนคว่ำหน้าอยู่บนนั้น ผมยาวของเธอเกล้ามวยไว้เรียบร้อยท่อนบนเปลือยเปล่าเผยให้เห็นแผ่นหลังสวยสะอาด หญิงสาวงอสองแขนเบียดชิดสีข้างเพื่อปกปิดเนินฐานของสองปทุมไว้ ท่อนล่างนั้นนุ่งซิ่นสีขาวไว้เรียบร้อย เธอนอนเหยียดตัวหลังเท้าแตะพื้นชิดกัน ชายชราหยุดยืนมองนิ่งที่ร่างนั้นริมฝีปากเหี่ยวย่นขยับไปมาเหมือนบริกรรมคาถาบางอย่างโดยไม่มีเสียง ชั่วครู่ก็นั่งคุกเข่าสูงข้างเดียวโหย่งตัวคร่อมร่างนั้นไว้ที่บั้นเอวแล้ววางครกหินเล็กบนแผ่นหลัง
“เจ้าจงอยู่ในสมาธิ” ชายชราพูดเบาชูกริชขึ้นด้วยมือซ้าย ใช้ห้านิ้วหนีบใบกริชไว้หันปลายคมไปทางขวา ตามองไปที่เบื้องบนเหมือนขอให้เป็นทิพย์พยาน จากนั้นชายชราก็ก้มลงตัดปอยผมของหญิงสาวใส่ลงในครกหิน
“เจ้ามีอันใดลังเลสงสัย” ชายชราถามเบาๆด้วยเสียงแหบพร่า
หญิงสาวที่นอนคว่ำอยู่ส่ายหน้าช้าๆแทนคำตอบแล้วชายชราก็ก้มลงใช้มือขวายันพื้นเพื่อทรงตัวจิกปลายกริชแหลมคมเบาๆลงที่ต้นคอ ร่างของหญิงสาวกระตุกเล็กน้อยด้วยความเจ็บที่เพิ่งเริ่ม เลือดแดงไหลซึมออกมาจากแผลเล็กชายชราใช้ปลายกริชนั้นปาดหยดเลือดจุ่มลงในครกหินแล้วเงยหน้าขึ้นมองเบื้องบนอีกครั้ง ปลายคมกริบถูกจุ่มลงในของเหลวสีเทาหม่นในครกหินจรดลงบนแผ่นหลัง เขาเริ่มกรีดคมผ่านเนื้อขาวลงไปเบาๆเหมือนจารอักขระสลับกับจุ่มปลายกริชทุกครั้งที่เริ่มอักขระตัวใหม่บริกรรมคาถาเบาๆในลำคอ สายตาจับนิ่งอย่างมีสมาธิขณะกรีดปลายคม
เลือดแดงไหลรินเป็นทางไปบนแผ่นหลังขาวผ่อง บาดแผลที่สัมผัสกับของเหลวสีเทาหม่นนั้นก่อให้เกิดความเจ็บปวดแผ่ซ่านไปทุกจุดประสาทในร่างกาย แม้หญิงสาวซึ่งมุ่งมั่นเตรียมใจมาก่อนจะพยายามทำจิตให้อยู่ในสมาธิแต่ร่างกายก็ยังไม่วายกระตุก เธอกัดริมฝีปากแน่นเพื่อรวบรวมจิตใจให้เข้มแข็งต่อสู้กับความเจ็บปวด ทุกตัวของอักขระที่ได้สัมผัสบนแผ่นหลังอันอ่อนบาง ความรวดร้าวนั้นเธอรู้สึกได้ว่าแฝงมนต์ขลังที่ซึมลึกเข้าไปจนถึงจิตวิญญาณ แล้วที่จุดสูงสุดของความอดทน สำนึกสุดท้ายก็ดับวูบลงจากความเจ็บปวดกลับกลายเป็นเบาหวิว ล่องลอยเชื่องช้าไปในความมืดท่ามกลางหมู่ดาว
อักขระแถวสุดท้ายถูกจารลงจนจบเหนือบั้นเอว ชายชราหยิบครกหินชันกายยืนขึ้นแล้วก้าวออกมายืนข้างๆร่างนั้น ของเหลวในครกหินถูกราดลงจนทั่วบนแผ่นหลังที่แดงฉานของหญิงสาวที่นอนแน่นิ่งอยู่ ผ้าสีน้ำเงินเก่าคร่ำที่พับวางอยู่ด้านข้างถูกคลี่ออกปรากฏให้เห็นภาษาแปลกๆที่เขียนลงบนผืนผ้าด้วยสีเหลืองทองซีดจาง ชายชราจบพิธีกรรมด้วยการคลุมร่างของหญิงสาวตั้งแต่ลำคอจนถึงข้อเท้า
“สุดแต่วาสนานะเจ้า” ชายชราพูดเบาๆกับร่างที่นอนแน่นิ่งอยู่
“พ่อครู” พรานป่าเข้าไปประคองชายชราให้ก้าวลงบันใดหิน เขานั่งสมาธิกรรมฐานอยู่อีกด้านหนึ่งของแท่นหินตลอดพิธีกรรมและถอยออกเมื่อจบลง
“ข้าไม่เป็นไร” ชายชราพูด
“ท่านเหนื่อยมากแล้ว พักเถอะข้าจะไปนำน้ำกับผลไม้ป่ามา” เขาพูดอย่างเป็นห่วงเหลือบมองร่างที่นอนนิ่งอยู่
“อย่าถูกตัวมันจนเพ็ญโสมหน้า” ชายชราพูดสั่งแล้วเดินอย่างเหนื่อยอ่อนไปทรุดตัวลงนั่งอยู่ที่เดิม
พรานป่ายืนมองพ่อครูและร่างของหญิงสาวครู่หนึ่งแล้วหันไปหยิบย่ามกับอาวุธเดินออกนอกถ้ำไป
สองวันผ่านไปหลังพิธีกรรม ร่างของหญิงสาวยังนอนสงบอยู่บนก้อนหินใหญ่ มีเพียงการขยับพลิกตัวเบาๆและเสียงหายใจรวยรินเท่านั้นที่บ่งบอกสัญญาณชีพ ชายชรายังคงนั่งสงบอยู่ในกรรมฐานมานานสองวันแล้ว
พรานป่าวัยห้าสิบนั่งชันเข่าอยู่ข้างกองไฟที่ก่อไว้ปากทางเข้าถ้ำเพื่อระวังภัย นานๆเขาก็จะเดินเข้ามามองดูร่างทั้งสองนั้นด้วยความเป็นห่วงและเติมฟืนลงในกองไฟเพื่อให้อบอุ่น เขาเดินเข้าเดินออกบริเวณหน้าถ้ำไม่ห่างนักเพื่อเก็บฟืนและผลไม้ป่ามาตระเตรียมไว้ยังชีพทั้งยังต้องหาสมุนไพรไว้ใช้รักษาแผล
“เป็นอย่างไรแล้ว” ชายชราลืมตาขึ้นถามเสียวแผ่วขณะพรานป่าพยายามจรดฝีเท้าเบาๆเดินผ่าน
“พ่อครูถอยแล้วรึท่าน” เขาถามเสียงกระซิบ
“นี่นานเท่าไรแล้ว” ชายชราถาม
“สองวันพ่อครู” เขาตอบ “ข้าจะไปเอาน้ำกับลูกกล้วยมาให้ท่าน”
พรานไพรรีบนำกระบอกไม้ไผ่บรรจุน้ำและผลกล้วยป่าสุกทั้งเครือมาวางไว้ตรงหน้าชายชรา ปอกกล้วยใส่มือให้ด้วยความห่วงว่าพ่อครูเข้ากรรมฐานสองวันแล้วร่างกายคงอ่อนแอ ชายชรายิ้มให้แล้วเริ่มกินอย่างช้าๆ เขาเองก็ปอกกล้วยนั้นกินไปพร้อมกันกับพ่อครูของเขาด้วย
“จากนี้จะเป็นอย่างไรพ่อครู” พรานป่าเอ่ยถาม
“โส่ยมันได้ยี่สิบขวบปีแล้ว เวทย์พรานอ่านไพรเจ้าเองก็สอนมันจนหมดไส้แล้วกระมัง” พ่อครูผาตอบ “รอมันคืนสติ หายาไว้รักษาแผล ถ้าไม่ติดป่าติดไพรมันคงดีเอง”
“หะนี้เจ้าต้องหากล้วยหายาหาน้ำวางไว้ให้มันบนนั้น มันต้องทำเองบำเพ็ญเองบนนั้น ใครจะต้องตัวมันมิได้จน
ถึงเพ็ญโสมหน้า เจ้าเข้าใจรึ” ชายชราวางมือบนไหล่เชิงบอกสั่ง พรานโละพยักหน้ารับคำแล้วลุกขึ้นเดินไปหยุดยืนมองลูกสาวที่นอนสงบนิ่งอยู่
“เจ้าต้องตื่นนะลูก” เขารำพึงเบาๆ
เนิ่นนานเท่าใดในกาลเวลาและสิ่งอื่นปราศจากการรับรู้ มีเพียงความรู้สึกที่หมุนคว้างช้าๆล่องลอยเคลิ้มฝันไปท่ามกลางความมืดสนิท รอบล้อมนั้นคือแสงดาวระยิบงามตา เสียงหัวร่อต่อกระซิกดังผิวแผ่วดุจจะกล่อมให้เคลิบเคลิ้มอยู่ในนิทรารมย์นั้น ที่แสงดาวหนึ่งอันห่างไกลพลันค่อยๆสว่างเรืองรองขึ้นกว่าดาวอื่นเหมือนเรียกหาให้สนใจ ความรู้สึกที่รับรู้การเรียกหานั้นแปรเปลี่ยนอาการหมุนคว้างเป็นหยุดนิ่ง ความรู้สึกค่อยๆหนักอึ้งขึ้นจนแข็งชา แสงดาวดวงนั้นค่อยๆสว่างขึ้นสว่างขึ้นจนกลายเป็นเจิดจ้าอยู่รอบกาย
“โส่ย โส่ย” เสียงเรียกเบาๆนั้นปลุกขึ้นจากภวังค์แห่งความฝัน
เปลือกตาหนักอึ้งปรือมองภาพพร่ามัวของสองใบหน้าที่รู้สึกคุ้นเคย สติเริ่มกลับคืนมาทีละน้อยรับรู้สายตาของปู่ทวดผาและพรานโละผู้พ่อ และอีกความรู้สึกหนึ่งคือได้กลับมาสู่โลกของความจริงแล้ว ประสาทสัมผัสในร่างกายซึ่งรับรู้การกลับมาของจิตอีกครั้งก็ส่งผ่านความเจ็บปวดกลับมาบอกกล่าว หลังหนักอึ้งปวดชาด้วยพิษแผล เนื้อตัวแขนขาไม่มีเรี่ยวแรงขยับ เธอนอนมองสบตาทั้งสองชั่วครู่ด้วยความวางใจเชื่อมั่น แล้วจึงปิดเปลือกตาลงหลับต่อไป
หลายวันต่อมา
“เป็นอย่างไรวันนี้” พรานโละซึ่งยืนอยู่บนพื้นถ้ำเงยหน้าถามลูกสาวพร้อมกับเอื้อมวางถังใส่น้ำไว้บนแท่นหิน
“ดีขึ้นมากแล้วจ้ะพ่อ” โส่ยหรือที่โจกับพีเรียกเธอว่าสร้อยตอบพ่อขณะค่อยๆติดกระดุมเสื้อ
“ยังใส่ลำบากอยู่รึลูก” พรานโละถาม
“จ้ะ แผลยังเจ็บอยู่ เอี้ยวลำบาก” โส่ยตอบ
“กางเกงฉันยังอยู่ใช่มั้ยจ๊ะ” โส่ยถามเมื่อนึกขึ้นได้ถึงกางเกงเดินป่าที่โจซื้อให้
“พ่อซักตากอังไฟไว้ให้แล้ว” พรานโละตอบลูก
“พ่อ ครั้งที่พ่อครอบพรานเป็นอย่างนี้มั้ย” โส่ยถามมองหน้าพ่อ
“ไม่” พรานโละตอบ “ปู่ทวดของเจ้าพาพ่อไปนั่งกรรมฐานแผ่ให้เจ้าป่าเจ้าเขากับภูตผีสัตว์ป่า”
“แล้วทำไม” โส่ยหยุดคำถามก้มลงกราบปู่ทวดผาที่เดินเข้ามา
“มันเป็นทางเดินของเจ้าโส่ย” ปู่ทวดผาตอบ “หมั่นนั่งสมาธินะ อยู่บนนั้น เจ้าจะลงมาได้แค่ขับถ่าย อย่าถูกตัวทวดหรือพ่อเจ้าจนถึงเพ็ญโสมหน้า อย่าลืม”
“จ้ะปู่” โส่ยรับคำปู่ทวดด้วยความแคลงใจ
วันคืนผ่านไปพรานโละสาละวนอยู่กับการเก็บฟืนหาผลไม้ป่าซึ่งหายากในฤดูหนาวเช่นนี้ สัตว์ป่าซึ่งเขาสามารถหามาได้โดยไม่ยากนั้นกลายเป็นสิ่งต้องห้ามในเวลาของพิธีกรรม ทั้งยังต้องดูแลการดำรงชีพของพ่อครูและลูกสาวจึงทำให้เขาไม่มีเวลาครุ่นคิดเบื่อหน่ายเท่าใดนัก ชายชราพรานจอมขมังเวทย์นั้นเวลาส่วนใหญ่หมดไปกับการทำสมาธิกรรมฐานซึ่งบางครั้งเป็นเวลาถึงสามวันสามคืน
ส่วนโส่ยหรือสร้อยนั้นหญิงสาวใช้ชีวิตอยู่หลายวันแล้วบนแท่นหินเธอนั่งสมาธิภาวนาเพื่อสร้างสมบุญบารมีอย่างมุ่งมั่นตามที่ปู่ทวดและบิดาสอนสั่ง ยามนี้เธอนั่งกอดเข่าเหม่อมองไปที่ปากถ้ำแล้วแหงนหน้าดูโพรงที่อยู่เหนือขึ้นไป
ใจสาวได้ปลดปล่อยพันธนาการของพิธีกรรมบนแท่นหินและถ้ำใหญ่ โบยบินออกไปสู่โลกกว้างถึงเรื่องราวที่ฝังลึกอยู่ในใจ เรื่องราวที่เธอเองก็มองไม่เห็นจุดหมายปลายทางมองไม่เห็นความเป็นไปได้ เธอลดสายตาลงมองพื้นหินที่นั่งอยู่ แล้วน้ำใสดังกระจกก็เอ่อท้นหัวใจรินออกจากดวงตาไหลบ่าลงอาบที่สองแก้มนวลนั้น
“จงอดทน มุ่งมั่น สิ่งนี้สำคัญต่อเจ้า” เสียงปู่ทวดผาซึ่งยืนอยู่ที่พื้นถ้ำตรงหน้าเธอพูดขึ้น
หญิงสาวตื่นจากภวังค์ เธอเปลี่ยนท่านั่งเป็นพับเพียบแล้วถาม “สำคัญยังไง ปู่ทวดช่วยบอกข้าด้วย”
“มันเป็นลิขิต” ปู่ทวดผาตอบ
“ข้าคิดว่าแค่ครอบพราน” โส่ยตั้งคำถาม
ปู่ทวดผาไม่ตอบหันหลังเดินกลับไป ทิ้งโส่ยมองตามอย่างไม่เข้าใจแต่ไม่ว่าลิขิตนั้นจะคืออะไร เธอรู้แน่ว่าปู่ทวด
และพ่อนั้นจะให้สิ่งที่ดีที่สุดกับเธอเสมอ
จนคืนวันเพ็ญขึ้นสิบห้าค่ำเวียนมาบรรจบอีกครั้ง
“หลังไหล่เป็นยังไงบ้างแล้ว” พรานโละเดินมายืนถามลูกสาว
“เจ็บเบาลงแล้วจ้ะพ่อ” โส่ยตอบ
“ถ้าเจ้ายังเจ็บ ปู่ทวดบอกว่าจะอยู่ต่ออีกพัก” พรานโละบอกลูก