ธารทิพย์ บทที่ 4

กระทู้สนทนา
ธารทิพย์

โดย อัศวรักษ์



            ณ ถ้ำใหญ่ที่อยู่ลึกล้ำห่างไกล ขวางกั้นหลายชั้นด้วยโตรกเขาและเหวชันเป็นกำแพง ป่าดิบทึบนั้นซ่อนเร้นป้องปิดมิให้เผยต่อสายตามนุษย์โดยง่าย สายหมอกทึบขมุกขมัวปกคลุมไปทั่วผืนป่า กลิ่นไพรที่แผ่ซ่านอยู่ทุกอนูเย็นเยือกชวนวังเวง มีรอยเท้ามนุษย์ผู้กล้าผู้มากบารมีเพียงไม่กี่รอยเท่านั้นที่ผ่านภูติพรายสัตว์ร้ายมาได้จนเข้าถึง
            ภายในถ้ำสินธุแร่และหินปูนธรรมชาติหลากสีที่ก่อตัวขึ้นผ่านกาลเวลาอันยาวนาน บ้างก็เกาะจากด้านบนแล้วหยดย้อยสร้างสรรค์เป็นกรวยแหลม บ้างก็ถมทับกันเป็นกรวยคว่ำอยู่บนพื้นรูปลักษณ์สีสันแตกต่างเกาะกลุ่มรวมกันเป็นหมู่อยู่ทั้งที่พื้นและเพดานถ้ำดูละลานตา
            
                ผนังถ้ำหลายแห่ง การสะสมดังกล่าวเกิดเป็นลักษณะเหมือนมวลน้ำที่พุ่งลงจากผาน้ำตกเล็กๆ แล้วติดนิ่งค้างอยู่กับนัยแห่งเวลา ประดับประดาผนังถ้ำเรืองรองด้วยแก้วผลึกเล็กละเอียดที่ฉาบทาอยู่ทั่วไปแม้เพียงต้องแสงจันทร์วันเพ็ญที่ส่องผ่านจากช่องโพรงด้านบนลงมา แสงนั้นก็สะท้อนกลับไปมานับแสนนับล้านครั้งจนเรืองรองสว่างไสว อากาศภายในนั้นสงบนิ่งเย็นเยียบ พื้นถ้ำมีธารน้ำรินไหลเอื่อยลึกเพียงครึ่งฝ่าเท้า ที่กลางพื้นถ้ำมีหินก้อนใหญ่แบนมนสูงเทียมเอว ลักษณะแตกต่างจากหินอื่นภายในถ้ำอย่างสิ้นเชิงตั้งอยู่ ดูประหนึ่งทวยเทพฯได้นำมาวางทิ้งไว้
                
            ชายชราชาวป่าที่นั่งขัดสมาธิอยู่ด้านหนึ่งของผนังถ้ำค่อยๆเปิดเปลือกตาขึ้นเพื่อออกจากกรรมฐาน นั่งนิ่งอยู่อึดใจใหญ่รอให้สัมปชัญญะสมบูรณ์จึงค่อยๆหยิบครกหินบดยาเล็กๆมาวางตรงหน้า อีกมือหนึ่งล้วงเอาวัตถุที่อยู่ในย่ามเก่าคร่ำออกมาใส่ในครกแล้วเริ่มบดวัตถุนั้นอย่างช้าๆด้วยสากหิน ริมฝีปากปิดสนิทสายตาจับนิ่งเป็นสมาธิอยู่ที่การบด ชายชราค่อยๆใช้อุ้งมือช้อนน้ำจากสายน้ำรินเล็กๆบนพื้นถ้ำใส่ครก เวลาผ่านไปเสียงสากที่บดลงดังกรากแกรกอยู่ภายในถ้ำค่อยๆเบาลงเพราะสิ่งที่ถูกบดนั้นเริ่มละเอียดขึ้นแล้ว ชายชราช้อนน้ำนั้นใส่ลงในครกหินอีกแล้วบดต่อไปจนกระทั่งมีเพียงเสียงสากและครกหินเสียดสีกันอันเป็นสัญญาณว่าวัตถุนั้นละเอียดได้ที่แล้ว
                
            ชายชราล้วงหยิบกริชโบราณเรียวเล็กแหลมคมออกจากย่ามค่อยๆพยุงกายลุกขึ้น  อีกมือหนึ่งถือครกหินเดินช้าๆมาที่ก้อนหินใหญ่กลางพื้นถ้ำค่อยๆเหยียบก้อนหินที่วางไว้แทนบันไดขึ้นไป บนแท่นหินมนที่มีแสงเงินยวงของพระจันทร์วันเพ็ญสาดส่องลงมาจากช่องโพรงสูงเบื้องบน
            ร่างของหญิงสาวนอนคว่ำหน้าอยู่บนนั้น ผมยาวของเธอเกล้ามวยไว้เรียบร้อยท่อนบนเปลือยเปล่าเผยให้เห็นแผ่นหลังสวยสะอาด หญิงสาวงอสองแขนเบียดชิดสีข้างเพื่อปกปิดเนินฐานของสองปทุมไว้ ท่อนล่างนั้นนุ่งซิ่นสีขาวไว้เรียบร้อย เธอนอนเหยียดตัวหลังเท้าแตะพื้นชิดกัน ชายชราหยุดยืนมองนิ่งที่ร่างนั้นริมฝีปากเหี่ยวย่นขยับไปมาเหมือนบริกรรมคาถาบางอย่างโดยไม่มีเสียง ชั่วครู่ก็นั่งคุกเข่าสูงข้างเดียวโหย่งตัวคร่อมร่างนั้นไว้ที่บั้นเอวแล้ววางครกหินเล็กบนแผ่นหลัง
            
                “เจ้าจงอยู่ในสมาธิ”  ชายชราพูดเบาชูกริชขึ้นด้วยมือซ้าย ใช้ห้านิ้วหนีบใบกริชไว้หันปลายคมไปทางขวา ตามองไปที่เบื้องบนเหมือนขอให้เป็นทิพย์พยาน จากนั้นชายชราก็ก้มลงตัดปอยผมของหญิงสาวใส่ลงในครกหิน

                “เจ้ามีอันใดลังเลสงสัย”  ชายชราถามเบาๆด้วยเสียงแหบพร่า

                หญิงสาวที่นอนคว่ำอยู่ส่ายหน้าช้าๆแทนคำตอบแล้วชายชราก็ก้มลงใช้มือขวายันพื้นเพื่อทรงตัวจิกปลายกริชแหลมคมเบาๆลงที่ต้นคอ ร่างของหญิงสาวกระตุกเล็กน้อยด้วยความเจ็บที่เพิ่งเริ่ม เลือดแดงไหลซึมออกมาจากแผลเล็กชายชราใช้ปลายกริชนั้นปาดหยดเลือดจุ่มลงในครกหินแล้วเงยหน้าขึ้นมองเบื้องบนอีกครั้ง ปลายคมกริบถูกจุ่มลงในของเหลวสีเทาหม่นในครกหินจรดลงบนแผ่นหลัง เขาเริ่มกรีดคมผ่านเนื้อขาวลงไปเบาๆเหมือนจารอักขระสลับกับจุ่มปลายกริชทุกครั้งที่เริ่มอักขระตัวใหม่บริกรรมคาถาเบาๆในลำคอ สายตาจับนิ่งอย่างมีสมาธิขณะกรีดปลายคม

                เลือดแดงไหลรินเป็นทางไปบนแผ่นหลังขาวผ่อง บาดแผลที่สัมผัสกับของเหลวสีเทาหม่นนั้นก่อให้เกิดความเจ็บปวดแผ่ซ่านไปทุกจุดประสาทในร่างกาย แม้หญิงสาวซึ่งมุ่งมั่นเตรียมใจมาก่อนจะพยายามทำจิตให้อยู่ในสมาธิแต่ร่างกายก็ยังไม่วายกระตุก เธอกัดริมฝีปากแน่นเพื่อรวบรวมจิตใจให้เข้มแข็งต่อสู้กับความเจ็บปวด ทุกตัวของอักขระที่ได้สัมผัสบนแผ่นหลังอันอ่อนบาง ความรวดร้าวนั้นเธอรู้สึกได้ว่าแฝงมนต์ขลังที่ซึมลึกเข้าไปจนถึงจิตวิญญาณ แล้วที่จุดสูงสุดของความอดทน สำนึกสุดท้ายก็ดับวูบลงจากความเจ็บปวดกลับกลายเป็นเบาหวิว ล่องลอยเชื่องช้าไปในความมืดท่ามกลางหมู่ดาว

                อักขระแถวสุดท้ายถูกจารลงจนจบเหนือบั้นเอว ชายชราหยิบครกหินชันกายยืนขึ้นแล้วก้าวออกมายืนข้างๆร่างนั้น ของเหลวในครกหินถูกราดลงจนทั่วบนแผ่นหลังที่แดงฉานของหญิงสาวที่นอนแน่นิ่งอยู่ ผ้าสีน้ำเงินเก่าคร่ำที่พับวางอยู่ด้านข้างถูกคลี่ออกปรากฏให้เห็นภาษาแปลกๆที่เขียนลงบนผืนผ้าด้วยสีเหลืองทองซีดจาง ชายชราจบพิธีกรรมด้วยการคลุมร่างของหญิงสาวตั้งแต่ลำคอจนถึงข้อเท้า

                “สุดแต่วาสนานะเจ้า”  ชายชราพูดเบาๆกับร่างที่นอนแน่นิ่งอยู่

                “พ่อครู”  พรานป่าเข้าไปประคองชายชราให้ก้าวลงบันใดหิน เขานั่งสมาธิกรรมฐานอยู่อีกด้านหนึ่งของแท่นหินตลอดพิธีกรรมและถอยออกเมื่อจบลง

                “ข้าไม่เป็นไร”  ชายชราพูด

                “ท่านเหนื่อยมากแล้ว พักเถอะข้าจะไปนำน้ำกับผลไม้ป่ามา”  เขาพูดอย่างเป็นห่วงเหลือบมองร่างที่นอนนิ่งอยู่

                “อย่าถูกตัวมันจนเพ็ญโสมหน้า”  ชายชราพูดสั่งแล้วเดินอย่างเหนื่อยอ่อนไปทรุดตัวลงนั่งอยู่ที่เดิม

                พรานป่ายืนมองพ่อครูและร่างของหญิงสาวครู่หนึ่งแล้วหันไปหยิบย่ามกับอาวุธเดินออกนอกถ้ำไป
    
            สองวันผ่านไปหลังพิธีกรรม ร่างของหญิงสาวยังนอนสงบอยู่บนก้อนหินใหญ่ มีเพียงการขยับพลิกตัวเบาๆและเสียงหายใจรวยรินเท่านั้นที่บ่งบอกสัญญาณชีพ ชายชรายังคงนั่งสงบอยู่ในกรรมฐานมานานสองวันแล้ว
            พรานป่าวัยห้าสิบนั่งชันเข่าอยู่ข้างกองไฟที่ก่อไว้ปากทางเข้าถ้ำเพื่อระวังภัย นานๆเขาก็จะเดินเข้ามามองดูร่างทั้งสองนั้นด้วยความเป็นห่วงและเติมฟืนลงในกองไฟเพื่อให้อบอุ่น  เขาเดินเข้าเดินออกบริเวณหน้าถ้ำไม่ห่างนักเพื่อเก็บฟืนและผลไม้ป่ามาตระเตรียมไว้ยังชีพทั้งยังต้องหาสมุนไพรไว้ใช้รักษาแผล

                “เป็นอย่างไรแล้ว”  ชายชราลืมตาขึ้นถามเสียวแผ่วขณะพรานป่าพยายามจรดฝีเท้าเบาๆเดินผ่าน

                “พ่อครูถอยแล้วรึท่าน”  เขาถามเสียงกระซิบ

                “นี่นานเท่าไรแล้ว”  ชายชราถาม

                “สองวันพ่อครู”  เขาตอบ  “ข้าจะไปเอาน้ำกับลูกกล้วยมาให้ท่าน”  

                พรานไพรรีบนำกระบอกไม้ไผ่บรรจุน้ำและผลกล้วยป่าสุกทั้งเครือมาวางไว้ตรงหน้าชายชรา ปอกกล้วยใส่มือให้ด้วยความห่วงว่าพ่อครูเข้ากรรมฐานสองวันแล้วร่างกายคงอ่อนแอ ชายชรายิ้มให้แล้วเริ่มกินอย่างช้าๆ เขาเองก็ปอกกล้วยนั้นกินไปพร้อมกันกับพ่อครูของเขาด้วย

            “จากนี้จะเป็นอย่างไรพ่อครู”  พรานป่าเอ่ยถาม

                “โส่ยมันได้ยี่สิบขวบปีแล้ว เวทย์พรานอ่านไพรเจ้าเองก็สอนมันจนหมดไส้แล้วกระมัง”  พ่อครูผาตอบ  “รอมันคืนสติ หายาไว้รักษาแผล ถ้าไม่ติดป่าติดไพรมันคงดีเอง”

                “หะนี้เจ้าต้องหากล้วยหายาหาน้ำวางไว้ให้มันบนนั้น มันต้องทำเองบำเพ็ญเองบนนั้น ใครจะต้องตัวมันมิได้จน
ถึงเพ็ญโสมหน้า เจ้าเข้าใจรึ”  ชายชราวางมือบนไหล่เชิงบอกสั่ง พรานโละพยักหน้ารับคำแล้วลุกขึ้นเดินไปหยุดยืนมองลูกสาวที่นอนสงบนิ่งอยู่

                “เจ้าต้องตื่นนะลูก”  เขารำพึงเบาๆ

                เนิ่นนานเท่าใดในกาลเวลาและสิ่งอื่นปราศจากการรับรู้ มีเพียงความรู้สึกที่หมุนคว้างช้าๆล่องลอยเคลิ้มฝันไปท่ามกลางความมืดสนิท รอบล้อมนั้นคือแสงดาวระยิบงามตา เสียงหัวร่อต่อกระซิกดังผิวแผ่วดุจจะกล่อมให้เคลิบเคลิ้มอยู่ในนิทรารมย์นั้น ที่แสงดาวหนึ่งอันห่างไกลพลันค่อยๆสว่างเรืองรองขึ้นกว่าดาวอื่นเหมือนเรียกหาให้สนใจ ความรู้สึกที่รับรู้การเรียกหานั้นแปรเปลี่ยนอาการหมุนคว้างเป็นหยุดนิ่ง ความรู้สึกค่อยๆหนักอึ้งขึ้นจนแข็งชา แสงดาวดวงนั้นค่อยๆสว่างขึ้นสว่างขึ้นจนกลายเป็นเจิดจ้าอยู่รอบกาย

                “โส่ย โส่ย”  เสียงเรียกเบาๆนั้นปลุกขึ้นจากภวังค์แห่งความฝัน
            เปลือกตาหนักอึ้งปรือมองภาพพร่ามัวของสองใบหน้าที่รู้สึกคุ้นเคย สติเริ่มกลับคืนมาทีละน้อยรับรู้สายตาของปู่ทวดผาและพรานโละผู้พ่อ และอีกความรู้สึกหนึ่งคือได้กลับมาสู่โลกของความจริงแล้ว ประสาทสัมผัสในร่างกายซึ่งรับรู้การกลับมาของจิตอีกครั้งก็ส่งผ่านความเจ็บปวดกลับมาบอกกล่าว หลังหนักอึ้งปวดชาด้วยพิษแผล เนื้อตัวแขนขาไม่มีเรี่ยวแรงขยับ เธอนอนมองสบตาทั้งสองชั่วครู่ด้วยความวางใจเชื่อมั่น แล้วจึงปิดเปลือกตาลงหลับต่อไป

                หลายวันต่อมา
                “เป็นอย่างไรวันนี้”  พรานโละซึ่งยืนอยู่บนพื้นถ้ำเงยหน้าถามลูกสาวพร้อมกับเอื้อมวางถังใส่น้ำไว้บนแท่นหิน

                “ดีขึ้นมากแล้วจ้ะพ่อ”  โส่ยหรือที่โจกับพีเรียกเธอว่าสร้อยตอบพ่อขณะค่อยๆติดกระดุมเสื้อ

                “ยังใส่ลำบากอยู่รึลูก”  พรานโละถาม

                “จ้ะ แผลยังเจ็บอยู่ เอี้ยวลำบาก”  โส่ยตอบ

                “กางเกงฉันยังอยู่ใช่มั้ยจ๊ะ”  โส่ยถามเมื่อนึกขึ้นได้ถึงกางเกงเดินป่าที่โจซื้อให้

                “พ่อซักตากอังไฟไว้ให้แล้ว”  พรานโละตอบลูก

                “พ่อ ครั้งที่พ่อครอบพรานเป็นอย่างนี้มั้ย”  โส่ยถามมองหน้าพ่อ

                “ไม่”  พรานโละตอบ  “ปู่ทวดของเจ้าพาพ่อไปนั่งกรรมฐานแผ่ให้เจ้าป่าเจ้าเขากับภูตผีสัตว์ป่า”

                “แล้วทำไม”  โส่ยหยุดคำถามก้มลงกราบปู่ทวดผาที่เดินเข้ามา

                “มันเป็นทางเดินของเจ้าโส่ย”  ปู่ทวดผาตอบ  “หมั่นนั่งสมาธินะ อยู่บนนั้น เจ้าจะลงมาได้แค่ขับถ่าย อย่าถูกตัวทวดหรือพ่อเจ้าจนถึงเพ็ญโสมหน้า อย่าลืม”

                “จ้ะปู่”  โส่ยรับคำปู่ทวดด้วยความแคลงใจ
    
            วันคืนผ่านไปพรานโละสาละวนอยู่กับการเก็บฟืนหาผลไม้ป่าซึ่งหายากในฤดูหนาวเช่นนี้ สัตว์ป่าซึ่งเขาสามารถหามาได้โดยไม่ยากนั้นกลายเป็นสิ่งต้องห้ามในเวลาของพิธีกรรม ทั้งยังต้องดูแลการดำรงชีพของพ่อครูและลูกสาวจึงทำให้เขาไม่มีเวลาครุ่นคิดเบื่อหน่ายเท่าใดนัก ชายชราพรานจอมขมังเวทย์นั้นเวลาส่วนใหญ่หมดไปกับการทำสมาธิกรรมฐานซึ่งบางครั้งเป็นเวลาถึงสามวันสามคืน
    
            ส่วนโส่ยหรือสร้อยนั้นหญิงสาวใช้ชีวิตอยู่หลายวันแล้วบนแท่นหินเธอนั่งสมาธิภาวนาเพื่อสร้างสมบุญบารมีอย่างมุ่งมั่นตามที่ปู่ทวดและบิดาสอนสั่ง ยามนี้เธอนั่งกอดเข่าเหม่อมองไปที่ปากถ้ำแล้วแหงนหน้าดูโพรงที่อยู่เหนือขึ้นไป
            ใจสาวได้ปลดปล่อยพันธนาการของพิธีกรรมบนแท่นหินและถ้ำใหญ่ โบยบินออกไปสู่โลกกว้างถึงเรื่องราวที่ฝังลึกอยู่ในใจ เรื่องราวที่เธอเองก็มองไม่เห็นจุดหมายปลายทางมองไม่เห็นความเป็นไปได้ เธอลดสายตาลงมองพื้นหินที่นั่งอยู่ แล้วน้ำใสดังกระจกก็เอ่อท้นหัวใจรินออกจากดวงตาไหลบ่าลงอาบที่สองแก้มนวลนั้น

                “จงอดทน มุ่งมั่น สิ่งนี้สำคัญต่อเจ้า”  เสียงปู่ทวดผาซึ่งยืนอยู่ที่พื้นถ้ำตรงหน้าเธอพูดขึ้น

                หญิงสาวตื่นจากภวังค์ เธอเปลี่ยนท่านั่งเป็นพับเพียบแล้วถาม  “สำคัญยังไง ปู่ทวดช่วยบอกข้าด้วย”

                “มันเป็นลิขิต”  ปู่ทวดผาตอบ

                “ข้าคิดว่าแค่ครอบพราน”  โส่ยตั้งคำถาม
    
            ปู่ทวดผาไม่ตอบหันหลังเดินกลับไป ทิ้งโส่ยมองตามอย่างไม่เข้าใจแต่ไม่ว่าลิขิตนั้นจะคืออะไร เธอรู้แน่ว่าปู่ทวด
และพ่อนั้นจะให้สิ่งที่ดีที่สุดกับเธอเสมอ

                จนคืนวันเพ็ญขึ้นสิบห้าค่ำเวียนมาบรรจบอีกครั้ง
                “หลังไหล่เป็นยังไงบ้างแล้ว”  พรานโละเดินมายืนถามลูกสาว

                “เจ็บเบาลงแล้วจ้ะพ่อ”  โส่ยตอบ

                “ถ้าเจ้ายังเจ็บ ปู่ทวดบอกว่าจะอยู่ต่ออีกพัก”  พรานโละบอกลูก
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่