Do Not Go Gentle into That Good Night [The Evil Within - fan fiction] : ตอนต้น

กระทู้สนทนา
บอกกล่าว

สำหรับท่านที่ไม่เคยได้ยินคำว่า Fan Fiction อธิบายคำนี้ง่าย ๆ ก็คือ เรื่องแต่งที่เขียนขึ้นโดยอิงจากนิยาย การ์ตูน หรือเกมที่มีอยู่แล้ว โดยอาศัยตัวละครและเค้าโครงเรื่องเดิม แล้วแต่งเรื่องเสริมเข้าไป ส่วนใหญ่แล้วเกิดขึ้นจากความชอบของคนดูที่มีต่อคนเขียน ตัวละคร หรือเรื่องเรื่องนั้นค่ะ การที่จะเขียนได้ต้องรู้จักและศึกษาตัวละครและสาระสำคัญของเรื่องต้นแบบมาพอสมควร จนกระทั่งนำมาเขียนแบบเก็บความในภาษาและเรื่องราวของตัวเอง ซึ่งอาจจะมีเนื่อเรื่องใหม่ไปเลย หรืออยู่บนพื้นฐานเรื่องเดิมผสมเรื่องใหม่ก็ได้ แต่ตัวละครหลักยังคงเดิม

คราวก่อน เคยเขียน Fan Fiction ของเกม The Evil Within เอาไว้ คือ

"We Are Not in Wonderland Anymore" : http://ppantip.com/topic/32788549


คิดว่าไหน ๆ ก็เขียนแล้ว เอาให้ครบถ้วนเลยก็แล้วกัน

สำหรับตอนนี้จะเป็นเรื่องที่อยู่ในช่วงเหตุการณ์หลังจากนั้น และอยู่ในโครงเรื่องพื้นฐานของเกม ช่วงนี้ วุ่นวายอยู่กับเรื่องของคอมพิวเตอร์นิดหน่อย บวกกับได้อ่านกระทู้ Interstellar ของ Christopher Nolan ซึ่งอ้างถึงบทกวีที่ตัวเองชอบมาก คือ Do Not Go Gentle Into That Good Night อยู่ด้วย เลยเกิดนึกได้เลยเขียนขึ้นมาก่อนที่จะลืม เพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบันและค่อนไปทางไซไฟนิดหน่อยเขียนค่อนข้างง่ายกว่านิยายพีเรียดหรือย้อนยุค

สำหรับ Dark Tales of London ที่ลงค้างไว้อีก 2 ตอนจะจบแล้ว ขอพักไว้แป๊บนึง ปั่นงานให้เสร็จก่อน แล้วจะรีบเอามาลงภายในเดือนธันวานี้แน่นอนค่ะ ^^


----------------------------------------------------------------------------------------------------



“Do not go gentle into that good night
Rage, rage against the dying of the light ” (1)
Dylan Thomas

“อย่ายินยอมพร้อมลาลับเมื่อแสงวาย
ตราบวันตายจงเดือดดาลหาญสู้ไป” (2)
ดีแลน โทมัส





Part I: Rage, rage against the dying of the light



(1)

สิ้นเสียงปืน ร่างของชายหนุ่มที่วิ่งเข้าขวางและใช้ตัวเองต่างโล่ป้องกันบุคคลที่ตกเป็นเป้าสังหารผงะหงาย เลือดสีแดงสดกระเซ็นออกมาจากบาดแผลกระสุนปืนบนอกซ้าย ก่อนที่เขาจะทรุดฮวบและแน่นิ่งอยู่กับพื้น ปราศจากความเคลื่อนไหว โดยไม่มีเสียงร้องที่แสดงถึงความเจ็บปวดหรือสัญญาณของการมีชีวิตอยู่


“โจเซฟ!!! ไม่!!!”


เซบาสเตียนร้องลั่นด้วยความตกใจ ในเวลานั้น สมองของเขามึนชาไปหมดจนคิดอะไรไม่ออกว่าจะเลือกทางไหน ระหว่างเข้าไปหาคู่หูที่ถูกยิง หรือติดตามจูลี่ คิดแมน นักสืบฝึกงานที่ยิงคู่หูของเขา และกำลังจะฆ่าเลสลี่ เด็กหนุ่มสติไม่สมประกอบ ซึ่งตกเป็นเป้าหมายสังหาร และดูเหมือนจะเป็นกุญแจดอกหนึ่งในการไขความลับเบื้องหลังคดีคนหาย ฆาตกรรมต่อเนื่อง และการที่เขาต้องตกอยู่ในสถานที่ที่เหมือนกับโลกความฝันกึ่งความจริงแห่งนี้ได้


ไม่ทันได้ตัดสินใจ เสียงคลื่นที่เป็นตัวการให้เขาและทุกคนที่นี่แทบเป็นบ้าไปกันหมดก็กระจายผ่านไปทั่วบริเวณอีกครั้ง เขายกมือขึ้นปิดหู แม้จะรู้ว่าไม่มีประโยชน์ ก่อนที่สติจะดับหายไปชั่วครู่ โดยที่ไม่รู้ว่า ตนเองจะถูกชักนำไปอยู่ที่ใดอีก


สิ่งเดียวที่เขารู้ในตอนนี้ คือ เขาต้องสู้ต่อไปตามลำพัง แต่คราวนี้ จะไม่มีโจเซฟ โอดะ เพื่อนคู่หูที่ทำงานร่วมกันมาหลายปี และถือเสมือนเป็นเพื่อนตายของเขาเป็นคู่คิดอีกต่อไปแล้ว


ภายในระยะเวลาไม่กี่ปีที่ผ่านมา เขาเสียคนที่รักไปอย่างไม่มีวันกลับมามากพอแล้ว และเขาไม่อยากเสียใครไปอีก


ลิลลี่ เป็นลูกสาวที่ทำให้เขาภาคภูมิใจ แกเป็นเด็กฉลาดเหมือนแม่และเข้มแข็งเหมือนเขาซึ่งเป็นพ่อ เขายังจำวันที่สาวน้อยของเขาเข้าโรงเรียนอนุบาลเป็นวันแรกได้ดี เขาเคยกังวลว่า แกจะร้องไห้หาและจะอยู่โรงเรียนจนถึงเวลารับกลับบ้านได้หรือไม่ ลิลลี่กลับโบกมือเล็ก ๆ ให้อย่างร่าเริงและเดินตามครูพี่เลี้ยงไปแต่โดยดี คนเป็นพ่ออย่างเขาเสียอีกที่แทบจะร้องไห้ที่เห็นลูกเดินลับสายตาไป แต่แล้ววันหนึ่ง เขากลับต้องเสียลูกสาวของตัวเองไปอย่างไม่มีวันกลับ ด้วยสิ่งที่ทุกคนสรุปแทบเป็นเสียงเดียวกันว่า เพราะอุบัติเหตุ จากวันนั้นเป็นต้นมา หนทางเดียวที่ทำให้เขาสามารถข่มตาลงได้ คือ การดื่มเหล้าจนเมาและหลับไปเอง


จากนั้นไม่นาน ไมร่า ภรรยาของเขาก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย… เธอเป็นนักสืบฝีมือดีและเคยเป็นคู่หูของเขามาก่อน เขาเคยสัญญากับตัวเองหลังจากที่เธอถูกยิงได้รับบาดเจ็บระหว่างการปฏิบัติหน้าที่ว่า เขาจะไม่ยอมสูญเสียเธอไปอีก แต่ท้ายที่สุด เขาก็ทำไม่ได้ เพราะหลังจากการตายของลิลลี่ เธอก็เก็บตัวเงียบอยู่ตามลำพังมานาน จนกระทั่งวันหนึ่ง เขากลับจากทำงานมาพบบ้านที่ว่างเปล่า เขาพยายามขอความช่วยเหลือจากหน่วยงานต้นสังกัดเพื่อตามหาเธอ แต่ผู้บังคับบัญชากลับมองว่า เธออาจหนีออกจากบ้านเพื่อหนีสามีที่มีปัญหาติดเหล้าชั่วคราว แต่เธอก็ไม่กลับมา ข่าวคราวเพียงอย่างเดียวที่เขาได้รับ คือ เอกสารที่เธอส่งให้เขาทางไปรษณีย์ ซึ่งเป็นเหตุผลที่ทำให้เขาลุกขึ้นสู้อีกครั้ง เพื่อแสวงหาความยุติธรรมให้กับลิลลี่และไมร่า ไม่ว่าจะยากเย็นแค่ไหนก็ตาม


การสูญเสียลิลลี่และไมร่าไปในเวลาใกล้เคียงกันทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ตัวคนเดียวในโลก และเขาคงกลายเป็นไอ้ขี้เมาที่ดื่มเหล้าหัวราน้ำไปวัน ๆ หมดกำลังใจจะทำงาน เสียศรัทธาในผู้คนรอบตัว และสูญเสียหน้าที่การงานไปทั้งหมด หากไม่มีผู้ที่เป็นทั้งลูกน้อง คู่หู และเพื่อนเพียงคนเดียวที่หลงเหลืออยู่คอยช่วยเหลือ


ในเวลานี้ เพื่อนคนเดียวที่เขามีอยู่ในโลกที่เต็มไปด้วยอันตรายก็ยังจะถูกพรากไปจากเขาอีกอย่างนั้นหรือ


ได้โปรดเถอะ โจเซฟ… ขออย่าเป็นอะไรเลย… เขาภาวนา แม้จะมีความหวังอยู่เพียงริบหรี่เหลือเกินก็ตาม




(2)


“นายต้องมีชีวิตอยู่ นายต้องไม่เป็นไรสิ โจเซฟ นายเคยรอดตายมาได้แล้วหลายหนแล้วไม่ใช่เหรอ”


เซบาสเตียนพร่ำพูดกับตัวเองตลอดเวลาหลังฟื้นคืนสติอีกครั้ง และพบว่าตนเองตกอยู่ในสถานที่ใหม่อีกหน ก่อนก้าวขาออกเดินทางไปยังจุดหมายปลายทางที่นักสืบคู่หูของเขาเคยวิเคราะห์เอาไว้ คือ ประภาคารของโรงพยาบาล ซึ่งเป็นศูนย์กลางของเหตุการณ์ทั้งหมด เพราะไม่ว่าเขาจะถูกชักนำไปยังสถานที่แห่งใด ก็จะสามารถมองเห็นสถานที่แห่งนั้นและแสงของมันได้ทุกครั้งและตลอดเวลา


สำหรับเขา โจเซฟ โอดะไม่ใช่แค่คนรับคำสั่งหรือแค่ทำงานรองมือรองเท้า แต่เป็นสมองที่ช่วยคิด มือที่ช่วยแบ่งเบาภาระและฉุดเขาขึ้นมาเมื่อล้ม และแผ่นหลังที่เขาสามารถพักพิงได้โดยไม่ต้องกลัวว่าจะถูกทำร้าย และต่อให้ช่วยอะไรเขาไม่ได้ การมี ‘เพื่อน’ ที่เข้าใจกันและอยู่ด้วยกันให้พออุ่นใจในโลกที่เขาไม่อาจคาดเดาได้ว่า จะเกิดอะไรขึ้นต่อไปบ้าง ก็ยังดีกว่าอยู่ตามลำพัง


“ไหนนายสัญญากับลูกสาวของนายไงว่าจะรีบกลับบ้านให้เร็วที่สุด… นายไม่กลัวแกจะเสียใจเพราะนายผิดคำพูดหรือไง”


เขาร้องถามอีกฝ่ายในใจทั้งที่รู้ว่าคนที่เขากล่าวถึงไม่อาจรับรู้และไม่รู้ว่าเป็นตายร้ายดีอย่างไร


จูลี่ คิดแมน… ชื่อของใครอีกคนหนึ่งแวบเข้ามาในความคิด… ใช่ เพราะผู้หญิงคนนั้น หากเธอไม่คิดจะกำจัดเด็กที่ชื่อเลสลี่ วิทเธอส์ หรือยั้งมือเอาไว้บ้าง เรื่องคงไม่ออกมาเป็นอย่างนี้


ทำไมกัน… ทั้ง ๆ ที่โจเซฟเป็นห่วงเป็นใยเธอตลอดเวลา แม้กระทั่งตอนที่ตัวเองอยู่ในสภาพย่ำแย่ที่สุด ปากของอีกฝ่ายก็ยังคงถามไถ่ถึงสวัสดิภาพของเธอว่า จะปลอดภัยหรือไม่ แล้วสิ่งตอบแทนที่ได้รับคืออะไร  


โจเซฟมักจะลอบมองจูลี่ คิดแมนอยู่บ่อย ๆ และเมื่อเขาตั้งข้อสังเกตเรื่องดังกล่าว อีกฝ่ายกลับบอกว่า เขาคิดมากไป แต่เขาอดสงสัยไม่ได้ว่า คู่หูของเขาอาจหลงรักนักสืบสาวผู้มาใหม่เข้าแล้วก็เป็นได้ และเขาไม่แปลกใจที่ผู้อ่อนวัยกว่าจะชอบเธอ ถึงจะเย็นชา แต่เซบาสเตียนยอมรับว่า เธอเป็นคนฉลาด คล่องแคล่ว มีไหวพริบ ซึ่งนั่นเป็นลักษณะของผู้หญิงประเภทที่โจเซฟชอบ เพราะภรรยาของชายหนุ่มเชื้อสายเอเชียผู้นี้ก็เป็นคนอย่างนั้น


จริงอยู่ ทีโจเซฟแต่งงานแล้ว และรักลูกสาวของตนเองยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด หากสัญชาตญาณของนักสืบหรืออะไรก็แล้วแต่ บอกเขาว่า ความสัมพันธ์ของคู่สามีภรรยาโอดะก้ำกึ่งอยู่ระหว่างความผูกพันเพราะอยู่ด้วยกันมานานและหน้าที่ของพ่อแม่มากกว่าความรักฉันหนุ่มสาวที่คบหากันมานาน


คืนวันฮัลโลวีนที่ผ่านมา ที่เขาได้รับเชิญไปทานอาหารค่ำที่บ้านคนทั้งสอง แม้ทั้งคู่จะปฏิบัติต่อกันด้วยดี หากเขาก็สามารถมองเห็นเค้าลางของความห่างเหินระหว่างผู้อ่อนวัยกว่าและภรรยาที่เริ่มชัดเจนขึ้น และเขาเชื่อว่า สาเหตุหนึ่งเกิดขึ้นจากคดีคนหายและฆาตกรรมต่อเนื่องที่เกิดขึ้นในช่วงหลังนี้ ซึ่งทำให้ภาระงานของแผนกสืบสวนล้นมือจนแทบไม่มีเวลาส่วนตัว แม้เหตุการณ์เช่นนี้จะเป็นเรื่องปกติในชีวิตคู่ของตำรวจ แต่เขาก็ไม่อยากให้ชีวิตที่กำลังดำเนินไปอย่างเรียบร้อยของทั้งคู่จบลงเหมือนนักสืบคนอื่นอีกหลายคน


เขาหวังว่า ตัวเองจะคิดผิด และคิดมากเกินไป อย่างไรก็ตาม เขาก็ยังไม่อาจไว้ใจคิดแมนได้เต็มร้อย และบอกตัวเองให้พยายามเก็บเอกสารสำคัญต่าง ๆ ให้พ้นตาเธอ และระมัดระวังการกระทำกับคำพูดของตัวเองให้มาก เมื่อเธออยู่ด้วย


ในที่สุด เขาก็รู้แล้วว่าลางสังหรณ์ของเขาถูกต้อง… จูลี่ คิดแมน ไม่ใช่นักสืบธรรมดาอย่างที่เขาเคยระแวงจริง ๆ





(มีต่อนะคะ)


--------------------------------------------------------------------------
หมายเหตุ
(1) บทกวี Do Not Go Gentle into That Good Night ของ Dylan Thomas กวีชาวเวลส์ (ค.ศ.1914 - 1951)
(2) สำนวนแปลของ ‘ลมตะวัน’ จาก เรื่อง ภารกิจลิขิตชะตา (Matched)
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่