เชอะ ไม่ได้แอ้มดอกเบี้ยฉันหรอก ตอนที่ 1
นึกถืงเมื่อ 4ปีก่อน ผมมีหนี้บัตรเครดิต และหนี้สินบุคคล 19 รายรวมกว่า 2.7ล้านบาท
ต้องจ่ายดอกเบี้ย 20-25%ต่อปีซึ่งเฉพาะดอกเบี้ยก็ประมาณกว่า 5หมื่นบาทต่อเดือน แต่ละเดือนทำงานตัวเกลียวหัวเป็นน็อตเพื่อหาเงินจ่ายหนี้ขั้นต่ำ ซึ่งจ่ายไปเท่าไร่หนี้ก็ไม่ยอมลด
จากวันนั้นถึงวันนี้ต่างกันและเหมือนกันหลายอย่าง ตอนนั้นหนี้เป็นแบบ NPL ที่ไม่ก่อรายได้ชีวิตเหมือนเป็นทาสของธนาคาร ทำงานหนักได้มาเท่าไร่ก็ต้องเอาให้ธนาคารหมด
แต่วันนี้ ผมมีหนี้บัตรเครดิตเดือนละ 4-6แสน (ย้ำเดือนละ) และมีหนี้ผ่อนบ้านอีกหลายล้านบาท ดูเหมือนหนี้มากกว่าเดิม แต่ดีกว่าเดิมโดยสิ้นเชิงครับ
หนี้บัตรเครดิตผมเคลียร์ได้ทุกเดือน ธนาคารไม่ได้แอ้มดอกเบี้ยแม้แต่บาทเดียวทุกเดือน และผมยังได้กำไรเป็นบัตรกำนัลบัตรแลกซื้อของ เซ็นทรัลเดือนละ 5000บาท หรือบางทีแลกเป็นบัตร starbuck และยังเหลือแต้มแลกเที่ยวบินฟรีอีก ล่าสุดแลก iphone 6 16G ได้ 1เครื่อง มากกว่านั้นผมได้กำไรจากการใช้บัตรเครดิตเดือนละหลายหมื่น ส่วนบ้านระยะยาวก็อาจราคาขึ้นถือเป็นทรัพย์สินและเป็นที่อยู่ให้ชีวิตมีความสุขไปด้วย
อยากรู้แล้วละสิว่าผมทำยังงัย?... ผมก็จะขอแบ่งปันให้กับคนที่ยังมีหนี้เยอะและคนที่อยากสร้างรายได้เสริมให้เห็นเป็นแนวคิดอีกช่องทางนะครับ ส่วนวิธีปลดหนี้เอาไว้หลังไมค์แล้วกัน ตรงนี้แชร์เฉพาะคนที่มีบัตรเครดิตที่ยังไม่เป็น NPL โดยมีแนวคิดคือ เราจะใช้เงินไปลงทุนทำกำไร ในช่วง 30-45วันแทนที่จะเอาเงินไปจับจ่ายก่อน
วิธีการมีดังนี้ครับ
1. ค่าใช้จ่ายประจำพวก ค่าโทรศัพท์ ค่าไฟค่าน้ำ ไปลงทะเบียนให้ตัดอัตโนมัติผ่านบัตรเครดิดเลย ถ้าเป็นบัตร SCB จะได้เครดิตเงินคืน 100บาทต่อเบอร์ และถ้าโทรศัพท์ค่ายเป็น AIS จะได้โทรฟรีเพิ่มอีก 200นาที ส่วน TRUEMOVE H ได้เน็ตฟรี 3G 1GB ด้วย เราก็จะได้ไม่ต้องเอาเงินสดไปจ่ายทำให้เงินอยู่กับเรายาวไปได้อีก 30-45วัน
2. ซื้อของใช้ต่างๆเข้าบ้าน รูดบัตรไว้ก่อน แต่อย่าไปช็อปปิ้งจนลืมตัวละ เก็บเงินสดไว้ทำกำไร ท่องไว้
3. หาธุรกิจเช่นธุรกิจเครือข่ายที่มีสินค้าดีๆตลาดต้องการ หรือธุรกิจซื้อมาขายไปที่คุณสามารถซื้อด้วยการตัดบัตรเครดิตได้หลายรอบแต่ไม่ต้องลงทุน STOCK มากเกินไป เพื่อเอาสินค้ามาขายออนไลน์ทำกำไรได้ ที่แนะนำธุรกิจเครือข่ายแม้กำไรขายจะน้อยแต่ไม่จำเป็นต้อง สต็อกไม่เสี่ยง และใช้บัตรเครดิตได้ เรียกว่ารูดซื้อทุกวันขายทุกวันไปเลย
คราวนี้พอเงินเดือนออกก็แบ่งไว้สำหรับค่าน้ำมันรถค่าเดินทางและค่ากินอยู่ประมาณ 10000-20000บาท ส่วนเงินที่เหลือก็ แบ่งเป็น 1. ลงทุนกับหุ้น 40% 2. ลงทุนธุรกิจที่ชัวร์แล้วคือมียอดสั่งซื้อแล้วแน่ๆ 60% ซึ่งใน 60% นี้ให้ ครึ่งนึงไว้เป็นค่าสินค้าที่ต้องใช้เงินสดซื้อ และอีก ครึ่งนึงเอาไว้ลงสื่อโฆษณาขายสินค้า สินค้าที่ขายออนไลน์ดี ส่วนใหญ่ยังต้องให้ซื้อด้วยเงินสดครับ อันนี้เลยจำเป็นต้องมีด้วย
ถ้าศึกษาหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ดีๆ ทำเป็น จะสามารถลงทุนกับหุ้นแบบ Great Stock แบบเน้นรอบทำกำไรกับ โมเมนตัมได้ประมาณ 10% ต่อเดือน ส่วนธุรกิจขายของออนไลน์ก็สามารถทำรอบได้เหมือนกันครับ โดยส่วนตัวผมจะได้กำไรประมาณ 40-50% ของวงเงินบัตรเครดิตต่อเดือน
ซึ่งกำไรส่วนนี้สามารถนำไปจ่ายค่าบัตรเดรดิตคืนได้ทั้งหมดและเหลือใช้ได้สบาย แต่ถ้าคุณยังไม่ชำนาญโชคไม่ดีมากกำไรธุรกิจยังไม่ได้ขนาดนั้น ก็สามารถขายหุ้นและถอนเงินออกจากหุ้น ซึ่งจะได้เงินคืนประมาณ 3 วันทำการก็เอาเงินก้อนนั้นไปชำระค่าบัตรเครดิตที่ค้างได้ ซึ่งคุณมีเวลาเอาเงินไปทำงานได้สูงสุด 30-45วัน อันนี้แล้วแต่ธนาคารนะครับ
การลงทุนมีความเสี่ยงครับ แต่จัดการได้ด้วยการศึกษาข้อมูลให้มากที่สุด และจริงๆแล้วความเสี่ยงไม่ได้มากมายอย่างที่คิดเลยครับ
เงินจะอยู่กับเราและจะโตขึ้น ถ้าเราใส่ใจ รักเขา และดูแลเขานะครับ หวังว่าจะเป็นประโยชน์นะ ขอให้ รวยๆๆๆ ครับ
เชอะ บัตรเครดิต ไม่ได้แอ้มดอกเบี้ยฉันหรอก
นึกถืงเมื่อ 4ปีก่อน ผมมีหนี้บัตรเครดิต และหนี้สินบุคคล 19 รายรวมกว่า 2.7ล้านบาท
ต้องจ่ายดอกเบี้ย 20-25%ต่อปีซึ่งเฉพาะดอกเบี้ยก็ประมาณกว่า 5หมื่นบาทต่อเดือน แต่ละเดือนทำงานตัวเกลียวหัวเป็นน็อตเพื่อหาเงินจ่ายหนี้ขั้นต่ำ ซึ่งจ่ายไปเท่าไร่หนี้ก็ไม่ยอมลด
จากวันนั้นถึงวันนี้ต่างกันและเหมือนกันหลายอย่าง ตอนนั้นหนี้เป็นแบบ NPL ที่ไม่ก่อรายได้ชีวิตเหมือนเป็นทาสของธนาคาร ทำงานหนักได้มาเท่าไร่ก็ต้องเอาให้ธนาคารหมด
แต่วันนี้ ผมมีหนี้บัตรเครดิตเดือนละ 4-6แสน (ย้ำเดือนละ) และมีหนี้ผ่อนบ้านอีกหลายล้านบาท ดูเหมือนหนี้มากกว่าเดิม แต่ดีกว่าเดิมโดยสิ้นเชิงครับ
หนี้บัตรเครดิตผมเคลียร์ได้ทุกเดือน ธนาคารไม่ได้แอ้มดอกเบี้ยแม้แต่บาทเดียวทุกเดือน และผมยังได้กำไรเป็นบัตรกำนัลบัตรแลกซื้อของ เซ็นทรัลเดือนละ 5000บาท หรือบางทีแลกเป็นบัตร starbuck และยังเหลือแต้มแลกเที่ยวบินฟรีอีก ล่าสุดแลก iphone 6 16G ได้ 1เครื่อง มากกว่านั้นผมได้กำไรจากการใช้บัตรเครดิตเดือนละหลายหมื่น ส่วนบ้านระยะยาวก็อาจราคาขึ้นถือเป็นทรัพย์สินและเป็นที่อยู่ให้ชีวิตมีความสุขไปด้วย
อยากรู้แล้วละสิว่าผมทำยังงัย?... ผมก็จะขอแบ่งปันให้กับคนที่ยังมีหนี้เยอะและคนที่อยากสร้างรายได้เสริมให้เห็นเป็นแนวคิดอีกช่องทางนะครับ ส่วนวิธีปลดหนี้เอาไว้หลังไมค์แล้วกัน ตรงนี้แชร์เฉพาะคนที่มีบัตรเครดิตที่ยังไม่เป็น NPL โดยมีแนวคิดคือ เราจะใช้เงินไปลงทุนทำกำไร ในช่วง 30-45วันแทนที่จะเอาเงินไปจับจ่ายก่อน
วิธีการมีดังนี้ครับ
1. ค่าใช้จ่ายประจำพวก ค่าโทรศัพท์ ค่าไฟค่าน้ำ ไปลงทะเบียนให้ตัดอัตโนมัติผ่านบัตรเครดิดเลย ถ้าเป็นบัตร SCB จะได้เครดิตเงินคืน 100บาทต่อเบอร์ และถ้าโทรศัพท์ค่ายเป็น AIS จะได้โทรฟรีเพิ่มอีก 200นาที ส่วน TRUEMOVE H ได้เน็ตฟรี 3G 1GB ด้วย เราก็จะได้ไม่ต้องเอาเงินสดไปจ่ายทำให้เงินอยู่กับเรายาวไปได้อีก 30-45วัน
2. ซื้อของใช้ต่างๆเข้าบ้าน รูดบัตรไว้ก่อน แต่อย่าไปช็อปปิ้งจนลืมตัวละ เก็บเงินสดไว้ทำกำไร ท่องไว้
3. หาธุรกิจเช่นธุรกิจเครือข่ายที่มีสินค้าดีๆตลาดต้องการ หรือธุรกิจซื้อมาขายไปที่คุณสามารถซื้อด้วยการตัดบัตรเครดิตได้หลายรอบแต่ไม่ต้องลงทุน STOCK มากเกินไป เพื่อเอาสินค้ามาขายออนไลน์ทำกำไรได้ ที่แนะนำธุรกิจเครือข่ายแม้กำไรขายจะน้อยแต่ไม่จำเป็นต้อง สต็อกไม่เสี่ยง และใช้บัตรเครดิตได้ เรียกว่ารูดซื้อทุกวันขายทุกวันไปเลย
คราวนี้พอเงินเดือนออกก็แบ่งไว้สำหรับค่าน้ำมันรถค่าเดินทางและค่ากินอยู่ประมาณ 10000-20000บาท ส่วนเงินที่เหลือก็ แบ่งเป็น 1. ลงทุนกับหุ้น 40% 2. ลงทุนธุรกิจที่ชัวร์แล้วคือมียอดสั่งซื้อแล้วแน่ๆ 60% ซึ่งใน 60% นี้ให้ ครึ่งนึงไว้เป็นค่าสินค้าที่ต้องใช้เงินสดซื้อ และอีก ครึ่งนึงเอาไว้ลงสื่อโฆษณาขายสินค้า สินค้าที่ขายออนไลน์ดี ส่วนใหญ่ยังต้องให้ซื้อด้วยเงินสดครับ อันนี้เลยจำเป็นต้องมีด้วย
ถ้าศึกษาหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ดีๆ ทำเป็น จะสามารถลงทุนกับหุ้นแบบ Great Stock แบบเน้นรอบทำกำไรกับ โมเมนตัมได้ประมาณ 10% ต่อเดือน ส่วนธุรกิจขายของออนไลน์ก็สามารถทำรอบได้เหมือนกันครับ โดยส่วนตัวผมจะได้กำไรประมาณ 40-50% ของวงเงินบัตรเครดิตต่อเดือน
ซึ่งกำไรส่วนนี้สามารถนำไปจ่ายค่าบัตรเดรดิตคืนได้ทั้งหมดและเหลือใช้ได้สบาย แต่ถ้าคุณยังไม่ชำนาญโชคไม่ดีมากกำไรธุรกิจยังไม่ได้ขนาดนั้น ก็สามารถขายหุ้นและถอนเงินออกจากหุ้น ซึ่งจะได้เงินคืนประมาณ 3 วันทำการก็เอาเงินก้อนนั้นไปชำระค่าบัตรเครดิตที่ค้างได้ ซึ่งคุณมีเวลาเอาเงินไปทำงานได้สูงสุด 30-45วัน อันนี้แล้วแต่ธนาคารนะครับ
การลงทุนมีความเสี่ยงครับ แต่จัดการได้ด้วยการศึกษาข้อมูลให้มากที่สุด และจริงๆแล้วความเสี่ยงไม่ได้มากมายอย่างที่คิดเลยครับ
เงินจะอยู่กับเราและจะโตขึ้น ถ้าเราใส่ใจ รักเขา และดูแลเขานะครับ หวังว่าจะเป็นประโยชน์นะ ขอให้ รวยๆๆๆ ครับ