---- เรียน มนุษย์ญาติ เพื่อโปรดทราบครับ ----
สวัสดีครับ นี่เป็นกระทู้แรกของผมที่ตั้งใจบันทึกไว้เพื่อเอามาลงพันทิพโดยเฉพาะ
ขอแนะนำตัวคร่าวๆ ผมเป็นนักศึกษาแพทย์ปี6 อีก 4 เดือนจะจบออกไปเป็นแพทย์ใช้ทุน แพทย์ที่จะได้กระจายไปตามจังหวัดต่างๆ ทั่วประเทศไทย
นักศึกษาแพทย์ปี 6 เป็นนักศึกษาแพทย์ปีสุดท้าย เรียนและทำงานเทียบเท่ากับแพทย์ที่จบแล้ว คุยกับคนไข้จะเรียกแทนตัวเองว่าหมอเป็นปกติ ต่างที่ความชำนาญ ความรู้เฉพาะทาง และยังไม่สามารถสั่งยาได้ด้วยตนเอง ถ้าไม่มีแพทย์ที่มีเลขประจำตัวผู้ประกอบโรคศิลป์กำกับ
ขอเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับตัวเองในเร็วๆ นี้
-ด้วย “อารมณ์” ความอึดอัดใจ อัดอั้นตันใจและไม่เข้าใจเป็นอย่างยิ่งกับสังคมนี้
-และด้วย “เหตุผล” ที่อยากให้คนทั่วไปได้รับรู้ (แม้ว่าจริงๆ แล้วมันจะเป็น “common sense” หรือ "สามัญสำนึก" ก็ตาม)
-ภาษาที่ใช้ต่อไปนี้อาจจะดูไม่ค่อยเหมาะกับ “มโนภาพ” ความเป็นหมอของผู้คนทั่วไปนัก
-แม้ว่าลักษณะการเรียน/การทำงานของผู้เขียน จะเรียกได้ว่าเป็นหมอแล้วก็ตาม แต่ในกระทู้นี้ ขอเขียนในฐานะประชาชนคนหนึ่งที่อยู่เส้นตรงกลาง หันไปด้านหนึ่งเป็นแพทย์ หันไปด้านหนึ่งเป็นบุคคลที่ไม่ใช่แพทย์ (ใช่ครับ หมอจะเข้าใจทั้งฝั่งหมอและคนไข้ ส่วนฝั่งคนไข้มักจะเข้าใจฝั่งคนไข้ฝั่งเดียว)
1.เมื่อไม่กี่วันมานี้ ผมได้ปฏิบัติงานแพทย์เวรกะบ่าย ณ โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง
ผมก็ทำงานไปตามปกติ ซักประวัติ->ตรวจร่างกาย->ส่งตรวจเพิ่มเติมถ้าจำเป็น->วินิจฉัย->แจ้งการวินิจฉัยและการรักษา->รักษา
เป็น step ที่ทำมาตลอดกับคนไข้ทุกคนอย่างต่อเนื่อง
จนมาถึงคนนี้
ผมได้ตรวจคนไข้หญิงอายุ 61 ปี มาด้วยเรื่องปวดสะโพกร้าวลงขา
เป็นคนไข้เปล (คือนอนบนเตียงรถเข็น) อยู่หน้าห้องแพทย์เวร
แน่นอน ผมก็ซักประวัติไปตามปกติ เป็นอะไรมา เป็นมานานเท่าไหร่ detail อาการเป็นอย่างไรบ้าง
แล้วก็ตรวจร่างกายไปด้วย ดูตา คลำชีพจรแขนขา จับขายกขึ้นเพื่อดู range of motion, ดูแรงของกล้ามเนื้อขา
แล้วก็กำลังจะเข้าห้องไปปรึกษาพี่แพทย์เฉพาะทาง
พอเข้าประตูห้องมาไม่กี่ก้าว เพื่อนที่อยู่เวรด้วยกันก็เข้ามาบอกว่า (สมมติผมชื่อ TT เพื่อนชื่อ V) (conversation อาจไม่ได้ตรงกับเหตุการณ์จริงแบบ “เป๊ะๆ” แต่ไม่เสียเนื้อความแน่นอน)
V: นี่เมื่อกี้ญาติคนไข้ถ่ายรูป TT ไปด้วย
TT: ห๊ะ.. ใคร
V: ญาติคนไข้ที่แกตรวจไปเมื่อกี้อ่ะ
TT: คนไหน เสื้อสีฟ้า ดำ ขาว (พูดพร้อมกับเดินออกห้องไปด้วย)
V: เสื้อสีฟ้า
TT: ขอโทษนะครับ สถานที่ราชการห้ามถ่ายรูปนะครับ
ฟ้า : ครับๆ (ยิ้ม)
TT เดินจากออกมา
V: แก เอาแค่นี้เหรอวะ ไม่ดูรูปบอกให้ลบรูปด้วยล่ะ เรื่องแบบนี้ยอมไม่ได้นะเว่ย
TT เดินเข้าไปใหม่
TT: ขอโทษนะครับ เมื่อกี้ได้ถ่ายรูปรึเปล่าครับ ขอดูด้วย
ฟ้า: โถ่ จะอะไรกันเยอะแยะ (หยิบมือถือขึ้นมา เปิดไลน์ เป็นไลน์กรุ๊ปครอบครัวอะไรซักอย่าง ลงรูปคนไข้นอนและผมที่ยืนอยู่ข้างเตียง กำลังยกขาคนไข้ ตัว,หน้าหันเข้าหากล้องประมาณ 30 องศา.. (คือถ้าคนที่รู้จักเห็นรูปจะรู้แน่นอนว่าเป็นผม)
TT: ไม่ให้ถ่ายอีก เข้าใจนะครับ
V: แก ไม่ได้ให้เค้าลบรูปเหรอวะ
TT: เค้าลงกรุ๊ปไลน์ไปแล้ว มันลบไม่ได้ป่ะ.. เรื่องแบบนี้ขึ้น occurrence report ได้มั้ย (รายงานอุบัติการณ์ที่เกิดขึ้นในโรงพยาบาล)
V: ได้ ต้องแจ้งพี่พยาบาลหัวหน้าเวร
แล้วผมก็แจ้งกับพี่พยาบาล จากนั้นเรื่องเป็นยังไงต่อไม่รู้ ประมาณว่ามีการบันทึกเหตุการณ์ เกิดเหตุการณ์อะไร เมื่อไหร่ ญาติของคนไข้ชื่ออะไร หมอชื่ออะไร แล้วพี่หัวหน้าเวรก็เข้าไปเจรจากับญาติคนไข้
ตอนนั้นตัวผมก็ได้ปรึกษาเคสกับพี่แพทย์เวร (คือเป็นนักศึกษาอยู่ ตรวจเคสอะไรมาต้องปรึกษาทุกเคส คือ present ประวัติ,ตรวจร่างกายที่พบ) พอรายงานเคสเสร็จ ก็บอกพี่ว่า ผมยังไม่ได้เขียนประวัติลงในแฟ้มนะครับ เมื่อกี้ญาติคนไข้ถ่ายรูป
พี่ก็ตกใจและเป็นห่วง ถามว่ารายงานพยาบาลหรือยัง พร้อมกับเอาเคสไปซักประวัติเองตั้งแต่ต้นเฉพาะกับคนไข้เท่านั้น
ผมถามพี่ว่าผมเข้าไปดูด้วยได้มั้ย อยากรู้ว่าเค้าคุยกันยังไง แต่พอผมออกจากห้องจะเข้าไปฟังด้วย เค้าก็คุยกันเสร็จแล้ว
เหลือแต่ญาติ3คนกับผม ที่แยกผมออกมาเคลียร์ความเข้าใจ
(ต่อจากนี้ อะไรที่ผมคิดในใจไม่ได้พูดออกไป จะใส่ [วงเล็บ] แบบนี้เอาไว้)
จำไม่ได้แล้วว่าถูกถามคำถามแรกว่าอะไร แต่ตอบไปว่า “เป็นกฎของโรงพยาบาลนะครับ สถานที่ราชการห้ามถ่ายรูป และถ้าเกิดขึ้นหมอต้องแจ้งกับหัวหน้าให้รับทราบ” ญาติเสื้อฟ้า(มนุษย์กล้อง)พูดถึงว่าเค้ารู้จัก สนิทกับอาจารย์ชื่ออะไรซักอย่าง (ขอโทษครับ ผมเลือกที่จะไม่จำ ไม่ว่าจะใหญ่มาจากไหน ผมสนแค่ content และ event ที่เกิดขึ้น ไม่ใช่ตัวบุคคล) และลูกเค้าเรียนโรงเรียนชื่อดังแห่งหนึ่งในใกล้ๆกรุงเทพ บอกว่าเดี๋ยวเค้าก็จะมาเป็นรุ่นน้องผม ต้องได้เจอกันอีก ประมาณนี้ .. แรกใจผม focus ไปที่เรื่องเค้าสนิทกับอาจารย์ผู้ใหญ่ ผมบอกไปว่า ดีแล้ว คุณลองไปถามหมอที่คุณรู้จักดูว่าถ้าเกิดเหตุการณ์อย่างนี้เค้าทำกันยังไง จะได้รู้ว่าหมอไม่ได้ทำตามใจตัวเอง เพราะถ้าเป็นนิสัยส่วนตัวเองหมอไม่ชอบต้องมีเรื่องขัดแย้งอะไรกับใครด้วยซ้ำ หมอทำตามกฎโรงพยาบาลเหมือนทั่วๆไป ถึงไม่รู้ว่ามีกฎนี้มันก็เป็นมารยาทโดยทั่วไปนะครับ
ญาติเสื้อดำ: โอเค ถ้ารู้กฎอย่างนี้แล้ว ทีนี้กฎมันเป็นสิ่งที่สร้างขึ้น มันก็..
TT: มันต้องมีเหตุผลใช่มั้ยครับ คือ... [ไอ่ห่_ มัน common sense ป้ะวะ.. มารยาท สิทธิส่วนบุคคลเนี่ย]
พูดตะกุกตะกักไปซักพัก
ญาติเสื้อฟ้า(มนุษย์กล้อง): สิทธิส่วนบุคคลใช่มะ
TT: อื้ม นั่นแหละครับ
ญาติเสื้อฟ้า(มนุษย์กล้อง): ผมเรียนจบกฎหมายมา เนี่ยหมอต้องเรียนกฎหมายไว้บ้างนะ จะได้เข้าใจอยู่ในสังคมข้างนอกได้
TT: [educate ขนาดนี้แล้วยังไม่รู้จักเรื่อง privacy มั่งเหรอวะ.. กุคิดอยู่ว่าจะพูดยังไงไม่ให้แรง.. ขืนพูดไอ่ที่คิดไว้ใจมีหวังแตกหักแน่]
แล้วมนุษย์กล้องนักกฎหมายคนเดิมก็พูดพล่ามถึงเรื่องกฎว่า ถึงถ่ายรูปในรพ.จะผิดกฎก็จริง แต่กฎหมายเวลาตัดสินเค้าดูกันที่เจตนา ดูที่สถานการณ์ อย่างเช่นถ้าหมอเอาปืนไปยิงคนตายงี้ หมอทำผิดกฎหมายแน่ๆ แต่ถ้าเพิ่มเติมว่าคนที่หมอยิงไปเค้าเอาปืนเล็งมาทางหมอก่อน ..บลาๆๆ
TT: ครับ ผมก็เรียนรัฐศาสตร์ด้วย [กุไม่โง่สังคมอย่างที่คิดขนาดนั้นหรอกครับ เอามะพร้าวห้าวมาขายหมอ เรื่องกฎหมายเบสิคขนาดนี้กุก็รู้ครับ แล้วเรื่องสิทธิเนี่ยไม่รู้มั่งเหรอครับ] คือเรื่องถ่ายรูปเนี่ยเป็นกฎห้ามอยู่แล้ว แต่ก็มีข้อยกเว้นที่ทำได้ คือสมมติคนไข้มีแผล แล้วหมอไม่แน่ใจว่าเป็นแผลอะไรต้องรักษายังไง หมอก็จะถ่ายรูปแล้วส่งไปปรึกษาให้พี่ดู โดยที่ต้องขออนุญาตก่อน..
มนุษย์กล้อง: น่ะ เห็นมั้ย น้องพูดเองว่ายกเว้น
TT: [ คือ.... กุขออนุญาตคนไข้ก่อนถ่ายรูปแผลไปปรึกษาเพื่อการรักษา.. ถ่ายรูปกุไปทำอะไร..โดยไม่ได้ขออนุญาตก่อนด้วยนะครับ ]
มนุษย์กล้อง: ผมว่ามันไม่ควรจะมาซีเรียสกันนะ หน้าที่มันก็ต้องเป็นหน้าที่ หมอก็มีหน้าที่รักษาคนไข้
TT: ครับ มันต้องเป็นหน้าที่อยู่แล้ว มันอยู่ในตัวหมอทุกคน ยกตัวอย่างง่ายๆ ถ้าคนไข้หมดสติหัวใจหยุดเต้นต้องปั๊มหัวใจ แล้วคุณถ่ายรูปอยู่ ไม่มีหมอที่ไหนหรอกครับที่หยุดปั๊มแล้วบอกว่า ถ้าคุณยังถ่ายรูปอยู่หมอจะไม่ปั๊ม ..หมอก็ทำหน้าที่ของหมออยู่แล้วครับ แต่ก็จะมีคนเข้ามาห้ามคุณเอง
[ครับ กุรู้ว่าหน้าที่หมอคือรักษาคนไข้ ส่วนหน้าที่ญาติคนไข้คือถ่ายรูปหมอ(?)อย่างงั้นหรือครับ]
หลังจากนั้นก็พูดถึงเรื่องคนไข้ต่อว่าตรวจเจออะไร จะส่งต่อให้หมอเฉพาะทางตรวจ บลาๆๆ (ครับ กุทำหน้าที่ของกุอยู่แล้วครับ)
หลังจากจบเหตุการณ์ได้แล้ว ก็ยังเหลือเวลาในเวรอีกเกือบ 2 ชั่วโมงที่ต้องทำงานต่อ
ตอนนั้นยอมรับเลยว่าตัวเองเสีย function ไปมาก
ลืมซักประวัติลืมตรวจอะไรที่สำคัญๆ จนไปปรึกษาเคสกับพี่แล้วพี่ตกใจ เฮ้ย ตั้งสติๆน้อง ต้องซัก......บลาๆ ไว้ด้วยนะ ถ้าพลาดไปคนไข้อันตรายนะ
รู้สึกเฟล เซ็ง แย่มากๆครับตอนนี้
บทสรุปเรื่องนี้อยู่ที่ “อย่าอ้างหน้าที่ของคนอื่น ถ้ายังไม่รู้จักสิทธิของคนอื่นดีพอ คนเหล่านี้มักจะรู้สิทธิของคนอื่นน้อยไป และคิดว่าตัวเองมีสิทธิเกินที่ควรมีจริงๆ”
ผมค่อนข้างมั่นใจว่าหากมนุษย์กล้องผู้นั้นมาอ่านกระทู้นี้เข้าน่าจะรู้ตัวว่าถูกพูดถึงอยู่
จะได้รู้ไว้ครับว่าแม่.ง common sense มากๆ
(นี่ไม่นับว่าผมคิดถึงอีกสาเหตุนึง คือจริงๆคุณรู้ แต่ถ่ายไว้เผื่อเป็นหลักฐานฟ้องร้องทีหลังได้.... นี่เราจะอยู่กันด้วยความหวาดระแวงซึ่งกันและกันอย่างนี้จริงๆ เหรอครับ)
ปล. นึกขึ้นได้ว่า ญาติเสื้อดำถามว่า เค้ามีกฎห้ามถ่ายรูปในรพ.จริงเหรอ มีกันมานานยัง ที่โรงบาลเอกชนยังถ่ายรูปได้ [เหรอวะ???!!!]
ผมเดินไปที่ป้ายตรงประตูทางเข้า “สถานที่ราชการ ห้ามถ่ายรูป” แล้วบอก มานี่ครับ และชี้ให้ดู
ญาติมนุษย์กล้องเดินเลยไปทำท่าจะเข้าไปห้องตรวจ “ญาติเข้าไม่ได้นะครับ” [แน้.... ยังจะมีหน้ามาเข้าไป (พี่พยาบาลบอกไม่ให้ญาติเข้าไปก่อนหน้านั้นแล้ว) ญาติเยอะแบบนี้หมอขอใช้สิทธิตรวจเฉพาะคนไข้เท่านั้นครับ เราทำหน้าที่รักษาคนไข้จริงๆครับ หากญาติเป็นอุปสรรคต่อการรักษาคนไข้ เราเลือกที่จะกีดกันอุปสรรคนั้นออกไปครับ]
ปลล. พอเล่าเรื่องญาติคนไข้ที่จบกฎหมายมาให้พี่ผู้ช่วยพยาบาลฟัง พี่พูดว่า “””เรียนจบมาไม่ช่วยอะไร”””” โอ๊ยผมชอบคำนี้มาก 555555 การศึกษาดีใช่ว่าจะดีเสมอนะครับ ถ้าเรียนไปแล้วไม่เอามาใช้ดีๆเนี่ย
สุดท้ายนี้ขอขอบคุณพี่หัวหน้าเวร พี่พยาบาล พี่ผู้ช่วยพยาบาล พี่แพทย์ และเพื่อนผมคนนี้ สำคัญมาก ถ้าเพื่อนไม่บอกผมผมก็ไม่รู้ว่าถูกถ่ายรูปอยู่ (ครับ ผม focus หน้าที่รักษาคนไข้ของผมอยู่ ไม่มามัวดูว่าตอนนี้ถูกแอบถ่ายอยู่รึเปล่าหรอกครับ) ขอบคุณไอดีพันทิปด้วยครับ (ได้ใช้แบบมีสาระบ้างนะแก 55555)
ในฐานะคนที่อยู่ตรงกลางระหว่าง หมอ กับ คนที่ไม่ใช่หมอ
ขอบอกว่าพวกคุณ.. คนไทยทั้งหลายครับ.. พวกคุณโชคดีมากแค่ไหนแล้วที่เกิดมาบนประเทศที่มีสาธารณสุขแบบประเทศไทย
มีคนเล่าเรื่องราวประสบการณ์การใช้บริการสาธารณสุขในต่างแดนอยู่ค่อนข้างเยอะ ลองศึกษาดูครับ
อืมมม.. จริงๆ ศึกษาเรื่องสิทธิขั้นพื้นฐานของมนุษย์ก่อนจะดีกว่าครับ first priority เลย *
---------
วันนี้ได้คุยกับใครหลายๆคน สรุปว่า:
เหตุการณ์เมื่อวานทำให้ได้เรียนรู้ว่า อากาศที่เรากำลังหายใจอยู่นี้ มี #มนุษย์ญาติ แบบนี้ หายใจร่วมอากาศเดียวกับเราจริงๆในสังคม
ผมจ่ายค่าเรียนรู้นี้ด้วยการไม่เอาเรื่องต่อละกันนะครับ (ซึ่งจริงๆ ทำได้แน่นอน)
ถ้าเจออีกผมไม่ใจดีแบบนี้แล้วนะ เอาเรื่องให้ถึงที่สุด ไม่ใช่ในฐานะหมอที่คุณจะมองในฐานะผู้ให้บริการ inferiorly..
แต่ในฐานะประชาชนคนหนึ่ง มีสิทธิเสรีภาพเท่าเทียมกัน *
--------------
(แท็ก โรงพยาบาล แพทย์ โดยตรงนะครับ
แท็กรัฐศาสตร์ อยากให้ทบทวนนิยาม "สิทธิ" "เสรีภาพ" "หน้าที่" กันใหม่ครับ
แท็กศาลาประชาคม เรื่องกฎหมายห้ามถ่ายภาพในโรงพยาบาล
แท็กภาพถ่ายบุคคล บอกว่าห้ามถ่ายภาพคนอื่นโดยไม่ได้รับอนุญาตนะครับ)
Updated (1/12/2014 4.30)
กระทู้สืบเนื่องจากกระทู้นี้ครับ
http://ppantip.com/topic/32925062
อีกกรณีหนึ่ง เป็นระหว่างบุคคลธรรมดากับบริษัทเอกชน
ลองเทียบดูกับกรณีแพทย์และญาติคนไข้ดูครับว่าเป็นอย่างไร น่าสนใจมาก
ปล. สำนวนนางแซ่บเว่อร์
ได้อ่าน comment แล้วนะครับ ขอบคุณทุกคนมาก ผมกลับมา function ปกติแล้ว
ผมตอบบาง comment ไว้แล้ว จะกลับมาตอบเมื่อมีเวลาใหม่
เรียน มนุษย์ญาติ (ญาติคนไข้ประเภทหนึ่ง) เพื่อโปรดทราบครับ
สวัสดีครับ นี่เป็นกระทู้แรกของผมที่ตั้งใจบันทึกไว้เพื่อเอามาลงพันทิพโดยเฉพาะ
ขอแนะนำตัวคร่าวๆ ผมเป็นนักศึกษาแพทย์ปี6 อีก 4 เดือนจะจบออกไปเป็นแพทย์ใช้ทุน แพทย์ที่จะได้กระจายไปตามจังหวัดต่างๆ ทั่วประเทศไทย
นักศึกษาแพทย์ปี 6 เป็นนักศึกษาแพทย์ปีสุดท้าย เรียนและทำงานเทียบเท่ากับแพทย์ที่จบแล้ว คุยกับคนไข้จะเรียกแทนตัวเองว่าหมอเป็นปกติ ต่างที่ความชำนาญ ความรู้เฉพาะทาง และยังไม่สามารถสั่งยาได้ด้วยตนเอง ถ้าไม่มีแพทย์ที่มีเลขประจำตัวผู้ประกอบโรคศิลป์กำกับ
ขอเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับตัวเองในเร็วๆ นี้
-ด้วย “อารมณ์” ความอึดอัดใจ อัดอั้นตันใจและไม่เข้าใจเป็นอย่างยิ่งกับสังคมนี้
-และด้วย “เหตุผล” ที่อยากให้คนทั่วไปได้รับรู้ (แม้ว่าจริงๆ แล้วมันจะเป็น “common sense” หรือ "สามัญสำนึก" ก็ตาม)
-ภาษาที่ใช้ต่อไปนี้อาจจะดูไม่ค่อยเหมาะกับ “มโนภาพ” ความเป็นหมอของผู้คนทั่วไปนัก
-แม้ว่าลักษณะการเรียน/การทำงานของผู้เขียน จะเรียกได้ว่าเป็นหมอแล้วก็ตาม แต่ในกระทู้นี้ ขอเขียนในฐานะประชาชนคนหนึ่งที่อยู่เส้นตรงกลาง หันไปด้านหนึ่งเป็นแพทย์ หันไปด้านหนึ่งเป็นบุคคลที่ไม่ใช่แพทย์ (ใช่ครับ หมอจะเข้าใจทั้งฝั่งหมอและคนไข้ ส่วนฝั่งคนไข้มักจะเข้าใจฝั่งคนไข้ฝั่งเดียว)
1.เมื่อไม่กี่วันมานี้ ผมได้ปฏิบัติงานแพทย์เวรกะบ่าย ณ โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง
ผมก็ทำงานไปตามปกติ ซักประวัติ->ตรวจร่างกาย->ส่งตรวจเพิ่มเติมถ้าจำเป็น->วินิจฉัย->แจ้งการวินิจฉัยและการรักษา->รักษา
เป็น step ที่ทำมาตลอดกับคนไข้ทุกคนอย่างต่อเนื่อง
จนมาถึงคนนี้
ผมได้ตรวจคนไข้หญิงอายุ 61 ปี มาด้วยเรื่องปวดสะโพกร้าวลงขา
เป็นคนไข้เปล (คือนอนบนเตียงรถเข็น) อยู่หน้าห้องแพทย์เวร
แน่นอน ผมก็ซักประวัติไปตามปกติ เป็นอะไรมา เป็นมานานเท่าไหร่ detail อาการเป็นอย่างไรบ้าง
แล้วก็ตรวจร่างกายไปด้วย ดูตา คลำชีพจรแขนขา จับขายกขึ้นเพื่อดู range of motion, ดูแรงของกล้ามเนื้อขา
แล้วก็กำลังจะเข้าห้องไปปรึกษาพี่แพทย์เฉพาะทาง
พอเข้าประตูห้องมาไม่กี่ก้าว เพื่อนที่อยู่เวรด้วยกันก็เข้ามาบอกว่า (สมมติผมชื่อ TT เพื่อนชื่อ V) (conversation อาจไม่ได้ตรงกับเหตุการณ์จริงแบบ “เป๊ะๆ” แต่ไม่เสียเนื้อความแน่นอน)
V: นี่เมื่อกี้ญาติคนไข้ถ่ายรูป TT ไปด้วย
TT: ห๊ะ.. ใคร
V: ญาติคนไข้ที่แกตรวจไปเมื่อกี้อ่ะ
TT: คนไหน เสื้อสีฟ้า ดำ ขาว (พูดพร้อมกับเดินออกห้องไปด้วย)
V: เสื้อสีฟ้า
TT: ขอโทษนะครับ สถานที่ราชการห้ามถ่ายรูปนะครับ
ฟ้า : ครับๆ (ยิ้ม)
TT เดินจากออกมา
V: แก เอาแค่นี้เหรอวะ ไม่ดูรูปบอกให้ลบรูปด้วยล่ะ เรื่องแบบนี้ยอมไม่ได้นะเว่ย
TT เดินเข้าไปใหม่
TT: ขอโทษนะครับ เมื่อกี้ได้ถ่ายรูปรึเปล่าครับ ขอดูด้วย
ฟ้า: โถ่ จะอะไรกันเยอะแยะ (หยิบมือถือขึ้นมา เปิดไลน์ เป็นไลน์กรุ๊ปครอบครัวอะไรซักอย่าง ลงรูปคนไข้นอนและผมที่ยืนอยู่ข้างเตียง กำลังยกขาคนไข้ ตัว,หน้าหันเข้าหากล้องประมาณ 30 องศา.. (คือถ้าคนที่รู้จักเห็นรูปจะรู้แน่นอนว่าเป็นผม)
TT: ไม่ให้ถ่ายอีก เข้าใจนะครับ
V: แก ไม่ได้ให้เค้าลบรูปเหรอวะ
TT: เค้าลงกรุ๊ปไลน์ไปแล้ว มันลบไม่ได้ป่ะ.. เรื่องแบบนี้ขึ้น occurrence report ได้มั้ย (รายงานอุบัติการณ์ที่เกิดขึ้นในโรงพยาบาล)
V: ได้ ต้องแจ้งพี่พยาบาลหัวหน้าเวร
แล้วผมก็แจ้งกับพี่พยาบาล จากนั้นเรื่องเป็นยังไงต่อไม่รู้ ประมาณว่ามีการบันทึกเหตุการณ์ เกิดเหตุการณ์อะไร เมื่อไหร่ ญาติของคนไข้ชื่ออะไร หมอชื่ออะไร แล้วพี่หัวหน้าเวรก็เข้าไปเจรจากับญาติคนไข้
ตอนนั้นตัวผมก็ได้ปรึกษาเคสกับพี่แพทย์เวร (คือเป็นนักศึกษาอยู่ ตรวจเคสอะไรมาต้องปรึกษาทุกเคส คือ present ประวัติ,ตรวจร่างกายที่พบ) พอรายงานเคสเสร็จ ก็บอกพี่ว่า ผมยังไม่ได้เขียนประวัติลงในแฟ้มนะครับ เมื่อกี้ญาติคนไข้ถ่ายรูป
พี่ก็ตกใจและเป็นห่วง ถามว่ารายงานพยาบาลหรือยัง พร้อมกับเอาเคสไปซักประวัติเองตั้งแต่ต้นเฉพาะกับคนไข้เท่านั้น
ผมถามพี่ว่าผมเข้าไปดูด้วยได้มั้ย อยากรู้ว่าเค้าคุยกันยังไง แต่พอผมออกจากห้องจะเข้าไปฟังด้วย เค้าก็คุยกันเสร็จแล้ว
เหลือแต่ญาติ3คนกับผม ที่แยกผมออกมาเคลียร์ความเข้าใจ
(ต่อจากนี้ อะไรที่ผมคิดในใจไม่ได้พูดออกไป จะใส่ [วงเล็บ] แบบนี้เอาไว้)
จำไม่ได้แล้วว่าถูกถามคำถามแรกว่าอะไร แต่ตอบไปว่า “เป็นกฎของโรงพยาบาลนะครับ สถานที่ราชการห้ามถ่ายรูป และถ้าเกิดขึ้นหมอต้องแจ้งกับหัวหน้าให้รับทราบ” ญาติเสื้อฟ้า(มนุษย์กล้อง)พูดถึงว่าเค้ารู้จัก สนิทกับอาจารย์ชื่ออะไรซักอย่าง (ขอโทษครับ ผมเลือกที่จะไม่จำ ไม่ว่าจะใหญ่มาจากไหน ผมสนแค่ content และ event ที่เกิดขึ้น ไม่ใช่ตัวบุคคล) และลูกเค้าเรียนโรงเรียนชื่อดังแห่งหนึ่งในใกล้ๆกรุงเทพ บอกว่าเดี๋ยวเค้าก็จะมาเป็นรุ่นน้องผม ต้องได้เจอกันอีก ประมาณนี้ .. แรกใจผม focus ไปที่เรื่องเค้าสนิทกับอาจารย์ผู้ใหญ่ ผมบอกไปว่า ดีแล้ว คุณลองไปถามหมอที่คุณรู้จักดูว่าถ้าเกิดเหตุการณ์อย่างนี้เค้าทำกันยังไง จะได้รู้ว่าหมอไม่ได้ทำตามใจตัวเอง เพราะถ้าเป็นนิสัยส่วนตัวเองหมอไม่ชอบต้องมีเรื่องขัดแย้งอะไรกับใครด้วยซ้ำ หมอทำตามกฎโรงพยาบาลเหมือนทั่วๆไป ถึงไม่รู้ว่ามีกฎนี้มันก็เป็นมารยาทโดยทั่วไปนะครับ
ญาติเสื้อดำ: โอเค ถ้ารู้กฎอย่างนี้แล้ว ทีนี้กฎมันเป็นสิ่งที่สร้างขึ้น มันก็..
TT: มันต้องมีเหตุผลใช่มั้ยครับ คือ... [ไอ่ห่_ มัน common sense ป้ะวะ.. มารยาท สิทธิส่วนบุคคลเนี่ย]
พูดตะกุกตะกักไปซักพัก
ญาติเสื้อฟ้า(มนุษย์กล้อง): สิทธิส่วนบุคคลใช่มะ
TT: อื้ม นั่นแหละครับ
ญาติเสื้อฟ้า(มนุษย์กล้อง): ผมเรียนจบกฎหมายมา เนี่ยหมอต้องเรียนกฎหมายไว้บ้างนะ จะได้เข้าใจอยู่ในสังคมข้างนอกได้
TT: [educate ขนาดนี้แล้วยังไม่รู้จักเรื่อง privacy มั่งเหรอวะ.. กุคิดอยู่ว่าจะพูดยังไงไม่ให้แรง.. ขืนพูดไอ่ที่คิดไว้ใจมีหวังแตกหักแน่]
แล้วมนุษย์กล้องนักกฎหมายคนเดิมก็พูดพล่ามถึงเรื่องกฎว่า ถึงถ่ายรูปในรพ.จะผิดกฎก็จริง แต่กฎหมายเวลาตัดสินเค้าดูกันที่เจตนา ดูที่สถานการณ์ อย่างเช่นถ้าหมอเอาปืนไปยิงคนตายงี้ หมอทำผิดกฎหมายแน่ๆ แต่ถ้าเพิ่มเติมว่าคนที่หมอยิงไปเค้าเอาปืนเล็งมาทางหมอก่อน ..บลาๆๆ
TT: ครับ ผมก็เรียนรัฐศาสตร์ด้วย [กุไม่โง่สังคมอย่างที่คิดขนาดนั้นหรอกครับ เอามะพร้าวห้าวมาขายหมอ เรื่องกฎหมายเบสิคขนาดนี้กุก็รู้ครับ แล้วเรื่องสิทธิเนี่ยไม่รู้มั่งเหรอครับ] คือเรื่องถ่ายรูปเนี่ยเป็นกฎห้ามอยู่แล้ว แต่ก็มีข้อยกเว้นที่ทำได้ คือสมมติคนไข้มีแผล แล้วหมอไม่แน่ใจว่าเป็นแผลอะไรต้องรักษายังไง หมอก็จะถ่ายรูปแล้วส่งไปปรึกษาให้พี่ดู โดยที่ต้องขออนุญาตก่อน..
มนุษย์กล้อง: น่ะ เห็นมั้ย น้องพูดเองว่ายกเว้น
TT: [ คือ.... กุขออนุญาตคนไข้ก่อนถ่ายรูปแผลไปปรึกษาเพื่อการรักษา.. ถ่ายรูปกุไปทำอะไร..โดยไม่ได้ขออนุญาตก่อนด้วยนะครับ ]
มนุษย์กล้อง: ผมว่ามันไม่ควรจะมาซีเรียสกันนะ หน้าที่มันก็ต้องเป็นหน้าที่ หมอก็มีหน้าที่รักษาคนไข้
TT: ครับ มันต้องเป็นหน้าที่อยู่แล้ว มันอยู่ในตัวหมอทุกคน ยกตัวอย่างง่ายๆ ถ้าคนไข้หมดสติหัวใจหยุดเต้นต้องปั๊มหัวใจ แล้วคุณถ่ายรูปอยู่ ไม่มีหมอที่ไหนหรอกครับที่หยุดปั๊มแล้วบอกว่า ถ้าคุณยังถ่ายรูปอยู่หมอจะไม่ปั๊ม ..หมอก็ทำหน้าที่ของหมออยู่แล้วครับ แต่ก็จะมีคนเข้ามาห้ามคุณเอง
[ครับ กุรู้ว่าหน้าที่หมอคือรักษาคนไข้ ส่วนหน้าที่ญาติคนไข้คือถ่ายรูปหมอ(?)อย่างงั้นหรือครับ]
หลังจากนั้นก็พูดถึงเรื่องคนไข้ต่อว่าตรวจเจออะไร จะส่งต่อให้หมอเฉพาะทางตรวจ บลาๆๆ (ครับ กุทำหน้าที่ของกุอยู่แล้วครับ)
หลังจากจบเหตุการณ์ได้แล้ว ก็ยังเหลือเวลาในเวรอีกเกือบ 2 ชั่วโมงที่ต้องทำงานต่อ
ตอนนั้นยอมรับเลยว่าตัวเองเสีย function ไปมาก
ลืมซักประวัติลืมตรวจอะไรที่สำคัญๆ จนไปปรึกษาเคสกับพี่แล้วพี่ตกใจ เฮ้ย ตั้งสติๆน้อง ต้องซัก......บลาๆ ไว้ด้วยนะ ถ้าพลาดไปคนไข้อันตรายนะ
รู้สึกเฟล เซ็ง แย่มากๆครับตอนนี้
บทสรุปเรื่องนี้อยู่ที่ “อย่าอ้างหน้าที่ของคนอื่น ถ้ายังไม่รู้จักสิทธิของคนอื่นดีพอ คนเหล่านี้มักจะรู้สิทธิของคนอื่นน้อยไป และคิดว่าตัวเองมีสิทธิเกินที่ควรมีจริงๆ”
ผมค่อนข้างมั่นใจว่าหากมนุษย์กล้องผู้นั้นมาอ่านกระทู้นี้เข้าน่าจะรู้ตัวว่าถูกพูดถึงอยู่
จะได้รู้ไว้ครับว่าแม่.ง common sense มากๆ
(นี่ไม่นับว่าผมคิดถึงอีกสาเหตุนึง คือจริงๆคุณรู้ แต่ถ่ายไว้เผื่อเป็นหลักฐานฟ้องร้องทีหลังได้.... นี่เราจะอยู่กันด้วยความหวาดระแวงซึ่งกันและกันอย่างนี้จริงๆ เหรอครับ)
ปล. นึกขึ้นได้ว่า ญาติเสื้อดำถามว่า เค้ามีกฎห้ามถ่ายรูปในรพ.จริงเหรอ มีกันมานานยัง ที่โรงบาลเอกชนยังถ่ายรูปได้ [เหรอวะ???!!!]
ผมเดินไปที่ป้ายตรงประตูทางเข้า “สถานที่ราชการ ห้ามถ่ายรูป” แล้วบอก มานี่ครับ และชี้ให้ดู
ญาติมนุษย์กล้องเดินเลยไปทำท่าจะเข้าไปห้องตรวจ “ญาติเข้าไม่ได้นะครับ” [แน้.... ยังจะมีหน้ามาเข้าไป (พี่พยาบาลบอกไม่ให้ญาติเข้าไปก่อนหน้านั้นแล้ว) ญาติเยอะแบบนี้หมอขอใช้สิทธิตรวจเฉพาะคนไข้เท่านั้นครับ เราทำหน้าที่รักษาคนไข้จริงๆครับ หากญาติเป็นอุปสรรคต่อการรักษาคนไข้ เราเลือกที่จะกีดกันอุปสรรคนั้นออกไปครับ]
ปลล. พอเล่าเรื่องญาติคนไข้ที่จบกฎหมายมาให้พี่ผู้ช่วยพยาบาลฟัง พี่พูดว่า “””เรียนจบมาไม่ช่วยอะไร”””” โอ๊ยผมชอบคำนี้มาก 555555 การศึกษาดีใช่ว่าจะดีเสมอนะครับ ถ้าเรียนไปแล้วไม่เอามาใช้ดีๆเนี่ย
สุดท้ายนี้ขอขอบคุณพี่หัวหน้าเวร พี่พยาบาล พี่ผู้ช่วยพยาบาล พี่แพทย์ และเพื่อนผมคนนี้ สำคัญมาก ถ้าเพื่อนไม่บอกผมผมก็ไม่รู้ว่าถูกถ่ายรูปอยู่ (ครับ ผม focus หน้าที่รักษาคนไข้ของผมอยู่ ไม่มามัวดูว่าตอนนี้ถูกแอบถ่ายอยู่รึเปล่าหรอกครับ) ขอบคุณไอดีพันทิปด้วยครับ (ได้ใช้แบบมีสาระบ้างนะแก 55555)
ในฐานะคนที่อยู่ตรงกลางระหว่าง หมอ กับ คนที่ไม่ใช่หมอ
ขอบอกว่าพวกคุณ.. คนไทยทั้งหลายครับ.. พวกคุณโชคดีมากแค่ไหนแล้วที่เกิดมาบนประเทศที่มีสาธารณสุขแบบประเทศไทย
มีคนเล่าเรื่องราวประสบการณ์การใช้บริการสาธารณสุขในต่างแดนอยู่ค่อนข้างเยอะ ลองศึกษาดูครับ
อืมมม.. จริงๆ ศึกษาเรื่องสิทธิขั้นพื้นฐานของมนุษย์ก่อนจะดีกว่าครับ first priority เลย *
---------
วันนี้ได้คุยกับใครหลายๆคน สรุปว่า:
เหตุการณ์เมื่อวานทำให้ได้เรียนรู้ว่า อากาศที่เรากำลังหายใจอยู่นี้ มี #มนุษย์ญาติ แบบนี้ หายใจร่วมอากาศเดียวกับเราจริงๆในสังคม
ผมจ่ายค่าเรียนรู้นี้ด้วยการไม่เอาเรื่องต่อละกันนะครับ (ซึ่งจริงๆ ทำได้แน่นอน)
ถ้าเจออีกผมไม่ใจดีแบบนี้แล้วนะ เอาเรื่องให้ถึงที่สุด ไม่ใช่ในฐานะหมอที่คุณจะมองในฐานะผู้ให้บริการ inferiorly..
แต่ในฐานะประชาชนคนหนึ่ง มีสิทธิเสรีภาพเท่าเทียมกัน *
--------------
(แท็ก โรงพยาบาล แพทย์ โดยตรงนะครับ
แท็กรัฐศาสตร์ อยากให้ทบทวนนิยาม "สิทธิ" "เสรีภาพ" "หน้าที่" กันใหม่ครับ
แท็กศาลาประชาคม เรื่องกฎหมายห้ามถ่ายภาพในโรงพยาบาล
แท็กภาพถ่ายบุคคล บอกว่าห้ามถ่ายภาพคนอื่นโดยไม่ได้รับอนุญาตนะครับ)
Updated (1/12/2014 4.30)
กระทู้สืบเนื่องจากกระทู้นี้ครับ
http://ppantip.com/topic/32925062
อีกกรณีหนึ่ง เป็นระหว่างบุคคลธรรมดากับบริษัทเอกชน
ลองเทียบดูกับกรณีแพทย์และญาติคนไข้ดูครับว่าเป็นอย่างไร น่าสนใจมาก
ปล. สำนวนนางแซ่บเว่อร์
ได้อ่าน comment แล้วนะครับ ขอบคุณทุกคนมาก ผมกลับมา function ปกติแล้ว
ผมตอบบาง comment ไว้แล้ว จะกลับมาตอบเมื่อมีเวลาใหม่