สรุปว่าในมุมมองกฎหมายประเทศไทย พระพุทธรูป คือ ศาสนาพุทธใช่ไหมครับ

จากข่าว "ศาลฎีกาสั่งปรับพระเกษม หมิ่นศาสนา"

ศาลฎีกาตัดสินคดีพระเกษม หมิ่นศาสนา ยืนตามศาลอุทธรณ์ แต่ยกโทษจำคุกเหลือแค่โทษปรับกระทงละ2,000 บาท
ที่ศาลจังหวัดหล่มสัก นายรังสรรค์ พิบูลย์กิจสกุล ผู้พิพากษารองหัวหน้าศาลจังหวัดหล่มสัก ได้ออกนั่งบัลลังก์อ่านคำพิพากษาของศาลฎีกาในคดี
พระเกษม อาจิณฺณสีโล เจ้าอาวาสสำนักสงฆ์ป่าสามแยก ต.วังกวาง อ.น้ำหนาว จ.เพชรบูรณ์ ในคดีความผิดเกี่ยวกับศาสนา
ซึ่งมีอัยการจังหวัดหล่มสักเป็นโจทก์ยื่นฟ้อง ในคดีเลขดำที่ อ.943/51

โดยกล่าวหา พระเกษมกระทำการหมิ่นและเหยียดหยามศาสนา
โดยกระทำการใช้ฝ่ามือตบพระพักตร์และเหยียบที่ฐานของพระพุทธรูป
โดยศาลฎีกามีคำพิพากษายืนตามศาลชั้นอุทธรณ์ที่ให้พระเกษมมีความผิดทั้งโทษจำและโทษปรับ


โดยโทษจำคุกให้รอลงอาญา แต่ศาลฎีกามีความเห็นว่าสมควรให้มีการลดหย่อนโทษจำคุกให้เปลี่ยนเป็นไม่ต้องจำคุก
และมีโทษปรับ 2 กระทง ๆ ละ 2,000 บาท แต่เนื่องจากจำเลยให้การเป็นประโยชน์ต่อการนำสืบและพิจารณาคดีจึงให้ลดโทษ
ปรับให้เหลือเพียงกระทงละ 1,000 บาท

อย่างไรก็ตาม ในการเดินทางมารับฟังคำพิพากษาของศาลฎีกาในครั้งนี้ พระเกษม นั่งเฮลิคอปเตอร์ บินมาลงที่บริเวณสนามหลังอนุสาวรีย์พ่อขุนผาเมือง โดยมีบรรดาลูกศิษย์ใกล้ชิดไปรอต้อนรับและให้กำลังใจจำนวน กว่า 100 คน

ที่มา http://www.innnews.co.th/shownews/show?newscode=581625



ปล.1 ผมยังไม่มีโอกาสได้อ่านคำพิพากษาฉบับเต็มของกรณีนี้
ปล.2 ผมออกตัวก่อนว่า ผมไม่มีความรู้ ความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง ในเรื่องศาสนาพุทธ แต่ผมก็พอมีความรู้ ความเข้าใจอยู่บ้าง
เทียบเท่ากับคนไทยโดยทั่วไปที่โดนบังคับให้เรียนวิชาพุทธศาสนา


ในสังคมวงกว้าง สิ่งที่ถูกให้ความยอมรับว่าเป็นสิ่งสำคัญในพุทธศาสนาคือ องค์พระศาสดา พระธรรม พระไตรปิฎก สมณะเจ้าผู้ปฏิบัติธรรมและเผยแพร่ื พุทธมามกะ ศาสนสถาน และวันสำคัญทางพุทธศาสนา

ส่วนศาสนวัตถุและการเคารพบูชา ขอพร อธิฐาน หรือภาวนา นั้นไม่ถือว่าเป็นสิ่งสำคัญทางพุทธศาสนาในทางทฤษฎี

แต่ในทางปฏิบัติสิ่งเหล่านั้นกลับมีความสำคัญยิ่ง สำคัญยิ่งกว่าสิ่งที่ถูกยอมรับในทางทฤษฎีเสียอีก

และจากข่าวในวันนี้ ยิ่งตอกย้ำถึงความสำคัญผิดของสังคม

หากมองเพียงผิวเผิน อาจไม่ใช่เรื่องใหญ่ เรื่องแปลกใหม่อะไร เพราะมันก็เป็นสิ่งที่รับรู้ รับทราบ และปฏิบัติกันมานาน

แต่หากมองแล้วคิดสักนิด ก็จะเห็นว่านี่คือการขีดเส้นยอมรับทางสังคมโดยสถาบันหลักของประเทศไทยนั่นก็คือศาล

ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อประชาชนคนไทยทุกคนที่อยู่ภายใต้กฎหมายไทย

วันนี้ ศาสนวัตถุเช่น พระพุทธรูป ถูกยกให้มีความสำคัญเทียบเท่า ศาสนา แล้วและมีการรับรองโดยศาล จากการตัดสินคดีนี้

โดยกล่าวหา พระเกษมกระทำการหมิ่นและเหยียดหยามศาสนา
โดยกระทำการใช้ฝ่ามือตบพระพักตร์และเหยียบที่ฐานของพระพุทธรูป
โดยศาลฎีกามีคำพิพากษายืนตามศาลชั้นอุทธรณ์ที่ให้พระเกษมมีความผิดทั้งโทษจำและโทษปรับ




ผมตระหนักและเข้าใจถึงอีกด้านของเรื่องนี้ นั่นก็คือความรู้สึกของคนที่รู้สึกไม่ดี รู้สึกถูกดูหมิ่น จากการกระทำของคนที่ไม่ให้ความเคารพถึงสิ่งที่เขาเหล่านั้นให้ความเคารพ

แต่อยากจะขอชี้แจงว่า

1. คุณมีสิทธิ์ที่จะเคารพ บูชา ใ้ห้ความสำคัญ กับสิ่งใดๆก็ได้ในกรณีนี้คือ พระพุทธรูป
2. คุณไม่มีสิทธิ์ไปบังคับคนอื่น ให้เขาเคารพ บูชา ให้ความสำคัญ ในสิ่งเดียวกันกับคุณ
3. คุณไม่สามารถไปเอาผิดบุคคลอื่น ถ้าเขาไม่เคารพ บูชา หรือหากบุคคลอื่นไปดูหมิ่นในสิ่งที่คุณเคารพบูชา หากของสิ่งนั้นไม่ใช่ของคุณ ยกเว้นว่าจะมีกฎหมายรองรับไว้ เช่น กม.112 หรือ การดูหมิ่นเหยียดหยามศาสนาซึ่งเกิดขึ้นในกรณีนี้
4. การดูหมิ่นเหยียดหยามศาสนา ก็ต้องมาตีความว่า "ศาสนา" คืออะไร
5. "พระพุทธรูป" คือ ศาสนาไหม?


กรณีการตบตีหรือเหยียบพระพุทธรูป หรือ "การแสดงความไม่เคารพ ต่อสิ่งที่มีคนอื่นให้ความเคารพ" อาจเป็นการทำร้ายจิตใจของผู้ที่ให้ความเคารพต่อสิ่งนั้นๆจริง

แต่. นั่นก็ไม่ใช่สาเหตุที่เบลอหรือเลื่อนเส้นแบ่งหรือเพิ่มสิ่งสำคัญของพุทธศาสนา

หากต้องการเอาผิดกับคนที่  "แสดงความไม่เคารพ ต่อสิ่งที่มีคนอื่นให้ความเคารพ" ก็ควรหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องโดยตรงมาใช้

หรือไม่ก็ออกกฎหมายใหม่ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้โดยตรง ไม่ใช่เอาความเชื่อของตนเองไปตัดสินผู้อื่นแบบนี้

ท้ายที่สุดนี้ผมวังว่าคงจะไม่มีใครไล่ผมไปนับถือศาสนาอื่น หรือไล่ผมออกจากบ้านไปอยู่ที่อื่นนะครับ

สวัสดี
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่