2 ครั้งแรกไม่ได้เกิดกับการเล่นหุ้นครับ รายละเอียดค่อนข้างยาว เพื่อนๆจะข้ามไปอ่านครั้งที่ 3 ที่เกิดกับเรื่องหุ้นโดยตรงเลยก็ได้นะครับ
ปิ๊งแว๊บครั้งแรกในชีวิต
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้เกิดในวันสอบภาคปฎิบัติครั้งสุดท้ายก่อนเรียนจบมหาลัยครับ สารภาพตามตรงว่าจนถึงวันสุดท้ายผมก็ยังไม่สามารถเชื่อมโยงสิ่งที่เรียนมาเข้าด้วยกันได้เลย การสอบที่เคยผ่านๆมาเกิดจากการท่องจำล้วนๆ ซึ่งผมก็ไม่ได้มีเกรดหรือคะแนนสวยหรูแต่อย่างใด ก็แค่พอสอบผ่านแบบฉิวเฉียดไปได้ในแต่ละวิชาก็แค่นั้น ผมค่อนข้างเป็นกลุ่มเด็กที่เรียนอ่อนที่สุดในคณะครับ เวลาเรียนฟังอาจารย์พูดก็งงแต่ก็ไม่กล้าถาม อัดเทปกลับมาฟังที่หอก็ยังงงอยู่ดี เอาเลคเชอร์เพื่อนมาอ่านก็ไม่เข้าใจ จะสรุปว่าโง่ก็ได้ครับ อาศัยที่ว่าท่องจำเป็นนกแก้วนกขุนทองก็เลยผ่านมาได้เรื่อยๆครับ
เวลาได้เคสคนไข้ใหม่ (ผมไม่ใช่หมอนะ แต่ขอไม่บอกว่าเป็นอะไรละกัน)ผมท่องได้หมดเลยนะว่ามีขั้นตอนอะไรบ้าง ซักประวัติปัจจุบัน ประวัติอดีต ตรวจร่างกาย แปลผล เป้าหมายการรักษาระยะสั้น ระยะยาว แต่ละขั้นตอนมีเรื่องที่ต้องถาม มีเรื่องที่ต้องตรวจอะไรบ้าง 1...2...3...4...ฯลฯ ผมท่องมาหมดแต่...ลึกๆแล้วผมไม่สามารถเชื่อมโยงความเกี่ยวข้องในแต่ละหัวข้อได้เลย พูดไปก็สงสารตัวเองครับที่โง่บัดซบขนาดนั้น ผมก็แค่ตรวจคนไข้เรียงตามขั้นตอนในตำราแค่นั้น ซึ่งการสอบครั้งก่อนๆถึงจะคะแนนคาบเส้นหรือจะเกือบตกแต่ผมก็รอดมาได้ด้วยการท่องจำเป็นหลักนี่แหละ
จนกระทั่งถึงการสอบปฎิบัติครั้งสุดท้าย ซึ่งผมมาตายเอาตรงที่เป็นการสอบกับคนไข้จริงและมีการจำกัดเวลาให้เหลือน้อยลงกว่าเดิมเสมือนเราทำงานจริงๆโดยไม่มีอาจารย์เข้ามาเกี่ยวข้อง (แค่ยืนมองห่างๆ) ต่างจากที่การสอบครั้งก่อนๆที่ถึงจะเป็นคนไข้จริงแต่จะไม่ซีเรียสเรื่องเวลามากนักและจะมีอาจารย์กำกับอยู่ข้างๆตลอด ถามตอบกันจนกว่าจะพอใจถึงจะปล่อยออกมาได้ มาคราวนี้ผมจำไม่ได้แน่ชัดเหมือนจะซักประวัติ 10 นาที ตรวจร่างกาย 20 นาทีหรือไงนี่แหละ ไม่แน่ใจเรื่องเวลานะ และผมแทบจะไม่ได้นอนมาเกือบ 2 คืนเลยเพราะมัวแต่ท่องจำส่วนที่คิดว่าจะออกสอบทั้งหมด เลยเป็นอะไรที่เบลอมาก
วันนั้นพอถึงเวลาสอบเจอคนไข้ปุ๊บผมก็ร่ายยาวเลย ซักประวัติต้องถามอะไรบ้าง 1 2 3 4 บลาๆๆ ปรากฏว่าใช้เวลาไปเกือบ 20 นาทีก็ยังถามไม่หมดเพราะมันมีหลายหน้า อาจารย์ก็ให้หยุดบอกเกินเวลามามากแล้วให้ตรวจร่างกายเลย ผมก็ร่ายยาวเลยเหมือนกัน ตรวจนั่น ตรวจนี่ไปๆมาๆล่อไปครึ่งชั่วโมงก็ยังไม่เสร็จ อาจารย์ก็บอกพอเถอะ ให้ออกมาวิเคราะห์ว่าเจออะไรบ้างแล้วจะวางแผนการรักษายังไง บอกตามตรงเลยว่าตอนนั้นผมมึนมาก ผมเชื่อมโยงการซักประวัติ-การตรวจร่างกาย-การรักษา ไม่ได้เลย (ทั้งๆที่ผมท่องจำขั้นตอน รายละเอียดได้ในทุกหัวข้อ) ตอบแบบโยงเรื่องนั้นเรื่องนี้มั่วไปหมด สภาพเหมือนคนเมาถูกถามทางเลยนะครับ อาจารย์ฟังแล้วก็คงเซ็งๆครับ สีหน้าท่านบ่งบอก พอผมพูดจบอาจารย์ก็จัดชุดใหญ่มาเลย ...เวลามีจำกัดทำไมไม่รู้จักคัดกรองคำถาม คนไข้บาดเจ็บจากการเล่นบอล (ไม่แน่ใจว่าเจ็บข้อเท้าหรือเข่า) ทำไมถึงไปเสียเวลากับการถามประวัติครอบครัว พ่อเค้าเป็นโรคอะไรบ้าง แม่เค้าเป็นโรคอะไรบ้าง คุณจะถามไปทำไม ? บลาๆๆ ตรวจร่างกายก็เช่นกัน...โดนชุดใหญ่ เวลามีนิดเดียว ทำไมถึงเลือกตรวจตรงนั้น ทำไมถึงไม่ตรวจตรงนี้ บลาๆๆ ณ จุดนั้นผมไม่กล้าตอบอะไรอาจารย์เลยครับ ผมไม่อยากจะตอบว่าผมตรวจเรียงตามหนังสือเลยอ่าครับ มีอะไรมาผมตรวจหมด ผมไม่รู้จริงๆครับว่าผมต้องเลือกที่จะตรวจอะไร หรือไม่ตรวจอะไร คือคนไข้เป็นแค่ขา แต่วันนั้นผมตรวจเรียงหัวข้อลงมาตั้งแต่เอวเลย มันถึงเวลาไม่พอไง แย่จริงๆเห็นอาจารย์พูดแต่ละอย่างออกมาผมก็ทำใจแล้วล่ะครับว่าไม่รอดแน่
แล้วอาจารย์ก็พูดอะไรออกมาอีกหลายๆอย่างแต่สภาพผมตอนนั้นมีนมากแล้วจะอ๊วกแล้วครับ คือเห็นอาจารย์ขยับปากพูดแต่ผมไม่รู้ว่าอาจารย์พูดอะไร มึนครับ ได้แต่ก้มหน้าหงึกๆแค่นั้น แล้วก็มาถึงคำถามสุดท้ายอาจารย์ถามเกี่ยวอาการชาที่เท้า ว่าจะแยกอะไรยังไงนี่แหละ ผมตอบไม่ได้ อาจารย์ก็อธิบายอะไรสักอย่าง (แต่ผมเบลอแบบไม่ได้ยินแล้ว) แล้วอาจารย์ก็ตอบประโยคสุดท้ายที่ผมเริ่มมีสติได้ยินพอดีว่า "มันคือ spinal cord"
ทันทีที่สิ้นเสียงอาจารย์ วินาทีนั้นมันเหมือนโลกหยุดหมุน เวลาหยุดนิ่งอ่ะครับ เหมือนประโยคนี้มันก้องอยู่ในหู แล้วมีลมก้อนใหญ่ๆพัดใส่หน้ามาวูบนึง แล้วสิ่งที่ท่องจำที่เรียนมาตั้งแต่ปี 1 มันเหมือนปลดล็อคเชื่อมโยงเข้าด้วยกันหมดเลย เหมือนกับเรามองเห็นมิติความลึกของการรักษานะครับ จากเดิมที่ทำได้แค่ตรวจไล่หัวข้อไปตามหนังสือ มันเห็นเลยว่าถ้าคนไข้เดินเข้ามามีอาการอะไร มันแว๊บทันทีเลยว่าต้องทำอะไรบ้าง มองการซักประวัติและการตรวจร่างกายออกเลยว่าจากที่เยอะๆเป็นหน้าๆนั่นอ่ะ เราจะต้องเลือกถามหัวข้อไหน หัวข้อไหนจำเป็น หัวข้อไหนไม่จำเป็นต้องถาม ต้องตรวจอะไร มองย้อนกลับได้เลยว่าอาการนั้นๆน่าจะเกิดจากสาเหตุอะไรได้บ้าง มีทางที่จะรักษากี่ทาง แต่ละทางมีโอกาสหายแค่ไหน ไปจนถึงบอกคร่าวๆได้ว่าจะหายเมื่อไหร่ถ้ารักษาตามแผน ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นภายในลมวูบเดียวครับ
ปิ๊งแว๊บครั้งที่สอง
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ผมเป็นคนที่สนใจศึกษาธรรมะมาตั้งแต่สมัยเรียนม.ต้น แล้ว พยายามหาหนังสืออ่านอยู่เรื่อยๆแต่ก็ไม่ค่อยต่อเนื่องเท่าไหร่ มีขาดช่วงไปบ้างช่วงเอนท์ ช่วงเรียนมหาลัย แรงบันดาลใจที่ทำให้อยากอ่านหนังสือธรรมะคืออยากรู้ว่าจริงๆแล้วชีวิตคืออะไรกับอยากรู้เกี่ยวกับชีวิตหลังความตายครับ 55555 ก็เลยได้มาศึกษาหาความรู้ตรงนี้ แรกๆก็จะอ่านพุทธประวัติ ต่อมาก็จะเป็นประวัติพระสงฆ์ พระอริยะ ก็ได้ฝึกจิตนั่งสมาธินั่งภาวนากำหนดลมหายใจบ่อยๆ แต่หลังๆก็ไม่ค่อยได้ตามเรื่องประวัติพระแล้ว พระเกจิมีเยอะเหลือเกิน สายไหนทางไหนจำไม่หมดครับ เลยแค่ตามหนังสือว่าท่านไหนเขียนเข้าใจง่ายก็จะยึดมาปฎิบัติตามก็พอ
แต่ลึกๆก็ยังรู้สึกเหมือนว่าจะยังไม่รู้อะไรอยู่ดี หลังๆเริ่มเบื่อเลยหันเหไปทางสะสมพระเครื่อง แต่ไม่ใช่พระเก่านะครับ เป็นพระที่ปลุกเสกใหม่ๆ วัดไหนเวลามีงานสร้างพระ ปลุกเสกกันทีพระสงฆ์เป็นร้อยๆรูปต้องหาทางไปให้ได้ อยากทำบุญ อยากเช่าพระ แต่ละองค์ก็ให้คุณไม่เหมือนกัน ทางเมตตามหานิยม ทางแคล้วคลาดอะไรก็ว่ากันไป เช่ามาหมด ไม่ได้เช่ามาห้อยเองคนเดียวแต่จะติดมาฝากเพื่อนๆหรือคนรู้จักด้วย พระนี่ห้อยรอบคออ่าครับ ชั้นบน-ชั้นล่างบ้าน หน้ารถ ใต้หมอน พระเพียบทุกที่ครับ
ถึงจุดนึงก็รู้สึกว่าไม่พอแฮะ มีพระอย่างเดียวคงไม่พอต้องบทสวดด้วย ก็ไปเสาะแสวงหาบทสวดมนต์มาสวดทั้งเช้าทั้งเย็น สวดชินปัญชร กับพาหุงมหากาเป็นหลัก หลังๆก็เลยไปถึงคาถาต่างๆ คาถาเรียกทรัพย์ คาถามหาลาภ คาถาแคล้วคลาด บทขอขมา บทแผ่เมตตา บทแผ่บารมี แต่ละวันกว่าจะได้เข้านอนคือสวดกันเป็นชั่วโมงเลยครับ นอกจากนี้ยังเข้มงวดกับตัวเองเรื่องดวงด้วย เช่น วันนี้ชะตาจะถูกกับเลขอะไร ถูกหรือไม่ถูกกับสีไหน เช่น ถ้าวันไหนไม่ถูกกับสีฟ้า แล้วเราไปเจอคนใส่เสื้อสีฟ้าหรืออะไรที่มีสีฟ้าเราจะไม่เข้าใกล้เลย แต่พอวันรุ่งขึ้นเป็นสีอื่นก็เปลี่ยนสีได้ประมาณนั้น
ก็ดำเนินชีวิตลักษณะนี้อยู่พักนึง ก็มานั่งคิดว่า มันใช่แล้วเหรอว่ะ ชีวิตมันไม่ได้มีอะไรดีขึ้นเลยนะ แล้วสิ่งที่อยากรู้ก็ยังไม่ได้คำตอบ ก็เลยเลิกครับ เลิกทุกอย่าง เลิกสวดมนต์ เลิกห้อยพระ เลิกอ่านหนังสือธรรมะ เหลือไว้แค่นั่งสมาธิอย่างเดียว แต่ไม่ได้นั่งกำหนดลมหายใจแล้ว แค่นั่งทบทวนตัวเอง ว่าวันนี้ทำอะไรมาบ้าง เจอปัญหาตรงไหน จะแก้ไขยังไง ก็คิดอะไรเรื่อยเปื่อยไปเรื่อย
พอแก้ปัญหาของตัวเองได้แล้วก็เลยไปคิดถึงเหตุการณ์ต่างๆนอกตัวบ้าง ทำไมถึงเกิดปัญหานั้น ปัญหานี้ จะแก้ไขยังไงได้บ้าง คิดๆๆ แล้ววันนึงหัวโล่งๆนั่งสมาธิอยู่ดีดีก็นึกไปถึงพระ นึกถึงป่า แสงแดด ทุ่งนา ทุ่งหญ้า ทะเล ความสงบ นึกเลยไปถึงความเงียบในอวกาศ ดวงดาว การเกิด การดับ แล้วอยู่ดีดีมันก็รู้สึกเสียวแปล๊บขึ้นมาในหัวใจ ผมรู้ได้ทันทีว่ามันคือปิ๊งแว๊บครั้งที่สอง ความรู้สึกตอนนั้นเหมือนแลงดอน ได้เปิดเจอคำๆนึงใน holy grail คำตอบของคำถามทั้งหมดที่ผมอยากรู้มานาน คำที่เป็นจุดเริ่มต้นและสิ้นสุดของทุกสิ่ง และผมก็เปิดเจอแล้ว คำๆนั้นคือคำว่า "ความว่าง" ครับ
ปล.1. ปิ๊งแว๊บครั้งนี้เกิดขึ้นสมัยผมเรียนจบแล้วเพิ่งเข้าทำงานใหม่ๆครับ
ปล.2. วิญญาณมีจริง เป็นพลังงานรูปแบบนึงที่มีชีวิต ...ชีวิตไม่ได้สิ้นสุดที่ความตายครับ
ปิ๊งแว๊บครั้งที่สาม
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้เพิ่งเกิดเมื่อเดือน-2 เดือนที่ผ่านมานี้เอง หลังจากผมเจ๊งหุ้นหนักๆมาไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง แบบว่านับครั้งไม่ถ้วนเลยครับ 5555 และวันนั้นก็เช่นกันหลังจากเจ๊งอีกรอบก็คัทอีก แบบว่าหมดแรงจริงๆ ก็อ้าวเที่ยงพอดีก็ขี่มอไซค์จะออกไปซื้อข้าวกิน ขี่แบบหมดอาลัยตายอยาก ท้อแท้สิ้นหวังมากๆครับ ขี่ไปเรื่อยๆก็นึกถึงภาพกราฟไปเรื่อยๆ นึกๆๆ จากที่นึกแค่กราฟแท่งเทียน ก็นึกไปถึง MACD นึกถึงอินดิเคเตอร์หลายๆตัว
แล้วภาพมันก็ค่อยๆไหลเข้ามาในหัวเองครับ ไหลเข้ามาเรื่อยๆ แบบว่าไหลเร็วขึ้นเรื่อยๆด้วย ไหลเข้ามาจนเห็นว่าอินดิเคเตอร์แต่ละตัวมันเริ่มซ้อนกัน จนถึงจุดนึงมันไม่ใช่แค่อินดิเคเตอร์ซ้อนกันอย่างเดียว แต่เหมือนมันซ้อน timeframe เข้าไปด้วย เหมือนเอาแต่ละ timeframe มาเรียงใส่ในหนังสือ แล้วเราเปิดเร็วๆอ่ะครับ สิ่งที่เห็นจะคล้ายๆกับเราได้เห็นแม่น้ำสายเล็กๆค่อยๆไหลมารวมกันเป็นแม่น้ำสายใหญ่นะครับ ภาพทั้งหมดมันไหลเข้ามาในหัวเร็วมากครับ บรรยายไม่ถูก อยากจะวนรถกลับไปดูกราฟต่อที่บ้าน แทบจะไม่อยากกินข้าวเลยครับ
ไม่ทราบว่าเพื่อนๆจะพอคุ้นๆประโยคนึงใน the matrix ได้มั้ย ที่นีโอคุยกับมอร์เฟียสว่า
นีโอ : คุณกำลังจะบอกว่า ถ้าใช้อินดิเคเตอร์จนเก่งแล้ว ผมจะสามารถทำนายการขึ้นลงของหุ้นได้งั้นเหรอ
มอร์เฟียส : เปล่าเลยนีโอ ผมกำลังจะบอกว่า เมื่อวันนั้นมาถึงคุณไม่จำเป็นต้องใช้อินดิเคเตอร์เลยด้วยซ้ำ
ตามนั้น 5555...ผมเทรดโดยไม่ได้ใช้อินดิเคเตอร์ใดๆเลยมาระยะนึงแล้วครับ แต่ไม่ได้หมายความว่าผมจะเทรดถูกทางทุกครั้งนะครับ เปรียบง่ายๆมันเหมือนก่อนหน้านี้ มีเพื่อนชื่อ MACD คอยบอกทางคุณ , Sto. ก็บอกคุณ , RSI , EMA , Fibo. , Elliott wave ทุกคนช่วยกันบอกทางคุณ บางครั้งเพื่อนพวกนี้ก็ชี้บอกกันไปคนละทางเลย และบางครั้งคุณก็โดนเพื่อนพวกนี้หลอก ขายหมูบ้าง ต้มกบบ้าง โดนกับดักบ้าง พาคุณเดินตกเหวคัทไม่ทันบ้าง ความรู้สึกผมหลังจากไม่ได้ใช้อินดิเคเตอร์คือผมไม่ได้มองถูกทางมากขึ้นนะ แต่มันทำให้ผมต้องเดินแต่ละก้าวอย่างระมัดระวังและรอบคอบมากขึ้น เพราะผมไม่รู้จริงๆว่าข้างหน้ามันมีอะไรรออยู่ หรืออินดี้มันจะกลับตัวรึยัง คือผมไม่รู้เลย ดังนั้นงั้นผมจะเข้าก็ต่อเมื่อจังหวะมันค่อนข้างชัดเจนจริงๆ และผมจะออกก็ต่อเมื่อรู้สึกไม่ปลอดภัย
ปกติเราใช้อินดิเคเตอร์ในการช่วยตัดสินใจซื้อขาย แต่มองอีกมุมบางครั้งอินดิเคเตอร์ก็ถูกสร้างขึ้นเพื่อกำหนดกรอบให้เราเดินตามทางที่ใครบางคนสร้างไว้เช่นกัน
แล้วถ้าไม่ใช้อินดิเคเตอร์แล้ว งั้นผมซื้อขายโดยดูจากอะไรล่ะ ?
....ผมไม่ได้มองกราฟเป็นกราฟแล้วครับ ผมมองเห็นมันเป็นคลื่นในทะเล ลองมองกราฟของคุณดูดีดีจะเห็นการขึ้นลงและความไม่แน่นอนของมันเหมือนคลื่นในทะเลเลยครับ มีบ้างที่บางทีผมเห็นมันเป็นลูกบอลเด้งขึ้นเด้งลง แต่ส่วนใหญ่แล้วผมจะเห็นเป็นคลื่นทะเลมากกว่า
ตอนแรกก็ว่าจะไม่เขียนกระทู้นี้ขึ้นมา อยากจะหายไปเฉยๆ แต่คิดไปคิดมาถ้าได้แชร์ประสบการณ์แปลกๆของผมออกไปแล้วถ้าจะมีสัก 1 คนที่ได้ประโยชน์จากการอ่านกระทู้นี้ ผมก็ถือว่าคุ้มแล้วล่ะ
ก็ขอให้ทุกท่านโชคดีครับ
แชร์ประสบการณ์การเกิดปิ๊งแว๊บครั้งที่ 3 กับการเล่นหุ้นครับ
ปิ๊งแว๊บครั้งแรกในชีวิต
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ปิ๊งแว๊บครั้งที่สอง
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ปิ๊งแว๊บครั้งที่สาม
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ตอนแรกก็ว่าจะไม่เขียนกระทู้นี้ขึ้นมา อยากจะหายไปเฉยๆ แต่คิดไปคิดมาถ้าได้แชร์ประสบการณ์แปลกๆของผมออกไปแล้วถ้าจะมีสัก 1 คนที่ได้ประโยชน์จากการอ่านกระทู้นี้ ผมก็ถือว่าคุ้มแล้วล่ะ
ก็ขอให้ทุกท่านโชคดีครับ