ดวงตะวันกำลังจะลาลับขอบฟ้าไป ในขณะที่ความมืดมิดก็กำลังจะค่อยๆคืบคลานเข้ามาแทนที่ เสียงนกกาเหว่าขับขานร้องดังกังวานมาแต่ไกล ฟังดูแล้วช่างเงียบเหงาระคนปนเศร้าใจยิ่งนัก ฤดูฝนกำลังจะผ่านพ้นไป... และลมหนาวก็เริ่มพัดพามาแผ่วเบา สามแม่ลูกพากันไปอาบน้ำที่สะพานท่าน้ำ แม่มะลิจัดการถูขี้ไคลให้แก่เด็กน้อยทั้งสอง พลางบ่น...
"แม่บอกแล้วใช่ไหม ว่าไม่ให้เล่นดิน เห็นไหมเนี่ย!!! ขี้ไคลจับปั้นควายได้เป็นตัวๆเลย" แม้ปากจะบ่น แต่สองมือของแม่ก็ยังขัดถูไม่ยอมหยุด กุ๊กไก่ยืนนิ่งๆให้แม่อาบน้ำให้อย่างว่าง่าย แต่คนที่ดูเหมือนจะมีปัญหามากที่สุดก็คือพี่ใหญ่อย่างกุ้งแก้ว
"โอ๊ย!!! แม่... เบาๆหน่อยสิ หนูเจ็บนะ" กุ้งแก้วบอกแม่เพราะรู้สึกเจ็บจริงๆ แต่ก็หาได้หยุดแม่ได้ไม่ เด็กหญิงหัวฟูทำหน้านิ่วคิ้วขมวด
"แม่... หนูหนาวจะตายอยู่แล้ว" กุ้งแก้วบอก พลางแกล้งทำปากสั่นตัวสั่น
"เออ... ดี... ให้มันหนาวให้ตายไปเลย" แม่มะลิทำตาเขียวใส่ กุ้งแก้วมองหน้าแม่ พลางชักสีหน้าเบื่อหน่าย
ในที่สุดการรบราของสามแม่ลูกที่สะพานท่าน้ำก็ผ่านไปได้โดยสันติ งานนี้ยังไม่มีใครที่โดนหวดด้วยไม้เรียว
อาบน้ำแต่งตัวกันเสร็จแล้วเด็กๆก็พากันช่วยแม่มะลิปูที่หลับที่นอน โดยมีตะเกียงเจ้าพายุคอยทำหน้าที่ช่วยให้แสงสว่างในยามค่ำคืน ครรภ์ของแม่มะลิเดือนนี้ก็เข้าเดือนที่แปดแล้ว นางค่อยๆเอนกายล้มตัวลงนอนข้างๆกุ๊กไก่ ครั้นพอกุ้งแก้วเห็นก็รู้สึกยอมไม่ได้ตามประสาเด็ก
"ไม่เอา... แม่มานอนตรงกลางสิ หนูจะได้นอนกอดแม่ด้วย อย่างนี้กุ๊กไก่มันก็กอดแม่ได้คนเดียวสิ" กุ้งแก้วพูด แม่มะลิยิ้มกว้างด้วยความรักและเอ็นดู
แม้สภาพจิตใจอาจจะย่ำแย่ ที่ต้องรับภาระเลี้ยงดูบุตรทั้งสองเพียงลำพัง แต่เธอก็ยังมีกำลังใจจากหัวใจดวงน้อยๆทั้งสองดวงอยู่เต็มเปี่ยม ช่วงตั้งครรภ์บุตรคนที่สาม แม่มะลิจำเป็นต้องหยุดพักงานในสวนส้ม แล้วหันมายึดอาชีพช่างตัดเย็บเสื้อผ้า และช่างเสริมสวย ตามวิชาอาชีพที่ตนได้เคยร่ำเรียนมาตั้งแต่เมื่อครั้งยังไม่มีครอบครัวแทน นางกัดฟันฝืนความเหนื่อยล้า ใช้สองมือของนางสร้างเงินตราด้วยความขยันขันแข็ง นางบอกกับตัวเองเสมอว่า... นางจะต้องทำได้...
เมื่อขยับมานอนตรงกลางให้เด็กน้อยทั้งสองได้นอนอยู่ในอ้อมแขนอย่างเท่าเทียมกันแล้ว บทสนทนาประสาแม่ลูกจึงเริ่มต้นขึ้น...
"แม่จ๋า... หนูอยากฟังนิทานอีกจ้ะ เมื่อคืนแม่เล่าเรื่องเมขลากับรามสูร วันนี้แม่เล่าเรื่องใหม่นะ" กุ้งแก้วรู้สึกติดใจ หลังจากที่แม่เล่านิทานให้ฟังก่อนนอนเมื่อคืนที่ผ่านมา
"หนูก็อยากฟังนิทาน" กุ๊กไก่บอก ในขณะที่นิ้วโป้งมือยังอยู่ในปาก
"เล่าเรื่องอะไรดีล่ะ เดี๋ยวให้แม่คิดก่อนนะ" แม่มะลินึก แล้วสักครู่จึงเอ่ยถาม
"อ้อ... รู้แล้ว... ว่าจะเล่าเรื่องอะไร อยากฟังเรื่องดาวลูกไก่ไหม? แต่ว่ามันเป็นเพลงนะ"
"อยากฟังจ้ะๆ" เด็กน้อยทั้งสองพยักหน้าและแย่งกันตอบ พวกเขาตั้งตารอฟังอย่างตั้งใจ...
"...โอ้ชีวิตคิดไฉน ใครหนอใครลิขิต
ประกาศิตของศิวะ หรือของพระพรหมเจ้า
ว่ากำเนิดเกิดมา พอลืมตามองโลก
บ้างมีโชค บ้างอับโชค มีสุขโศกปนเศร้า
แต่จอมนราพิสุทธ์ ท่านสอนพุทธบริษัท
เป็นธรรมะปรมัต อ้างถึงอำนาจกรรมเก่า
ว่ากุสะลาธรรมา มนุษย์เกิดมามีสุข
อกุสะลา พาให้ทุกข์ ดังไฟที่ลุกรุมเร้า
บ้างกึ่งดี กึ่งชั่ว เพราะตัวของตัวมั่ววุ่น
สร้างทั้งบุญทั้งบาป เหมือนดำที่ฉาบด้วยขาว
ผมมิใช่บัณฑิต อันมีจิตสิเหน่หา
ที่จะเป็นนักเทศนา มาเจรจายั่วเย้า
จิตตั้งศรัทธาสาทก เรื่องยาจกยากจน
มีตากับยายสองคน ปลูกบ้านอยู่บนเชิงเขา
แกเลี้ยงแม่ไก่อู มีลูกอยู่เจ็ดตัว
เช้าก็ออกริมรั้ว จิกกินเม็ดถั่วเม็ดข้าว
เวลามีเหยี่ยวเฉี่ยวโฉบ อีแม่ก็โอบปีกอุ้ม
กางสองปีกออกคลุม พาลูกทั้งกลุ่มเข้าเล้า
แม่ไก่จะปลอบขวัญลูก เสียงกุ๊กๆปลุกขวัญ
ลูกตอบเจี๊ยบๆเสียงลั่น ทั้งๆที่ขวัญเขย่า
แล้วเขี่ยข้าวออกเผื่อ ต่างคุ้ยเหยื่อออกให้
ลูกไก่แม่ไก่ไร้ทุกข์ ซิไม่มีสุขใดเท่า
ถึงคราวจะสิ้นชีวิต เมื่อใกล้อาทิตย์อัสดง
มีภิกษุหนึ่งองค์ เดินออกจากดงชายเขา
ธุดงค์เดียวด้นดั้น เห็นสายัณห์สมัย
หยุดกางกรดพลันทันใด หลังบ้านตายายผู้เฒ่า
อยากรู้เรื่องต่อก็ต้อง เปิดหน้าสองฟังเอา...
พระธุดงค์ลงกลด ตะวันก็หมดแสงส่อง
อาศัยโคมทองจันทรา ลอยขึ้นมายอดเขา
ฝ่ายว่าสองยายตา เกิดศรัทธาสงสาร
พระผู้ภิกขาจารย์ ต้องขาดอาหารมื้อเช้า
ดงกันดารย่านนี้ หรือก็ไม่มีบ้านอื่น
ข้าวจะกล้ำน้ำจะกลืน จะมีใครยื่นให้เล่า
พวกฟักแฟงแตงกวา ของเราก็มาตายหมด
นึกสงสารพระจะอด ทั้งสองกำสรดโศกเศร้า
สักครู่หนึ่งตาจึงเอ่ย นี่แน่ะยายเอ๋ยตอนแจ้ง
ต้องเชือดแม่ไก่แล้วแกง ฝ่ายยายไม่แย้งตาเฒ่า
ฝ่ายแม่ไก่ได้ยิน น้ำตารินหลั่งไหล
ครั้นจะรีบหนีไป ก็คงต้องตายเปล่าๆ
อนิจจาแม่ไก่ ยังมีน้ำใจรู้คุณ
ที่ยายตาการุณ คิดแทนคุณเม็ดข้าว
น้ำตาไหลเรียกลูก ให้มาซุกซอกอก
น้ำตาแม่ไก่ไหลตก ในหัวอกปวดร้าว
อ้าปากออกบอกลูก แม่ต้องถูกตาเชือด
คอยดูเลือดแม่ไหล พรุ่งนี้ต้องตายจากเจ้า
มาเถิดลูกมาซุกอก ให้แม่กกก่อนตาย
แม่ขอกกเป็นครั้งสุดท้าย แม่ต้องตายตอนเช้า
อย่าทะเลาะเบาะแว้ง อย่าขัดแย้งเหยียดหยัน
จงรู้จักรักกัน อย่าผลุนผลันสะเพร่า
เจ้าตัวใหญ่สายสวาท อย่าเกรี้ยวกราดน้องๆ
จงปกครองดูแล ให้เหมือนแม่เลี้ยงเจ้า
น่าสงสารแม่ไก่ น้ำตาไหลสอนลูก
เช้าก็ถูกตาเชือด ต้องหลั่งเลือดนองเล้า
ส่วนลูกไก่ทั้งเจ็ด เหมือนถูกเด็ดดวงใจ
พากันโดดเข้ากองไฟ ตายตามแม่ไก่ดังกล่าว
ด้วยอานิสงฆ์ใจประเสริฐ ลูกไก่ไปเกิดเป็นดาว..."
เด็กน้อยทั้งสองรู้สึกโศกเศร้า เมื่อเสียงครวญแห่งบทเพลงได้จบลง เกิดความหดหู่สงสารแม่ไก่กับลูกไก่ในบทเพลงจับใจ จึงเอ่ยถามแม่ว่า...
"แม่จ๋า... ทำไมลูกไก่น่าสงสารจัง ตากับยายฆ่าแม่ไก่เอาไปทำแกงไก่ใส่มะเขือแบบที่แม่ทำหรือจ๊ะ..." กุ้งแก้วถาม
"ใช่แล้วจ้ะ..." ผู้เป็นแม่ตอบ
"แล้วถ้าแม่ไก่ตายลูกไก่มันจะอยู่ได้ยังไงกันล่ะจ๊ะ ที่ลูกไก่โดดเข้ากองไฟก็คงเป็นเพราะว่าพวกมันคิดถึงแม่ละมั้ง" พลางจินตนาการนึกเห็นภาพลูกไก่ตัวสีเหลืองๆ กางปีกน้อยๆวิ่งกระโดดเข้ากองไฟทีละตัว
"ลูกไก่โดดเข้ากองไฟมันก็ตายกลายเป็นไก่ย่างสิจ๊ะแม่ หนูอยากรู้จังว่าดาวดวงไหนคือดาวลูกไก่..." กุ้งแก้วเอ่ยด้วยความอยากรู้ แล้วจู่ๆก็คิดได้ว่าถ้าตนเองนั้นเป็นลูกไก่ เห็นแม่ไก่ตายจากไปต่อหน้า ก็คงรู้สึกเสียใจไม่ต่างกัน คิดแล้วก็พลางกระชับแขนเล็กๆโอบกอดแม่มะลิผู้เป็นมารดาไว้แนบแน่นพลางบอก...
"สมมุติว่าหนูกับน้องเป็นลูกไก่ หนูก็คงอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีแม่เหมือนกัน หนูรักแม่จ้ะ..." กุ้งแก้วทำซึ้ง
"หนูก็รักแม่เหมือนกัน รักมากกว่าพี่กุ้งแก้วอีก..." กุ๊กไก่เกทับ มีหรือที่งานนี้กุ้งแก้วจะยอม...
"พี่รักแม่มากกว่า รักเท่าฟ้าเลย..." ต่างคนต่างพูดข่มตามประสาเด็ก และแล้วสงครามรักแม่เล็กๆก็เกิดขึ้นบนที่นอน เมื่อไม่มีใครยอมรักแม่น้อยกว่าใคร ภายในห้องนอนเล็กๆที่แสนจะอบอุ่น
เรื่องราวผ่านไปจนกระทั่งเช้าวันหนึ่ง แม่มะลิตื่นขึ้นมาตั้งแต่ยังไม่ทันรุ่งสาง จัดแจงหุงข้าวเช็ดน้ำด้วยเตาฟืน รินน้ำข้าวเก็บเอาไว้ให้กุ๊กไก่ โขลกน้ำพริกแกงเขียวหวาน และปอกมะพร้าวคั้นกะทิเอง เพื่อเตรียมทำแกงเขียวหวานไก่ไปใส่บาตร กุ้งแก้วได้ยินเสียงแม่โขลกน้ำพริกแกงก็ตื่นขึ้นมาดูแม่ทำครัว ส่วนกุ๊กไก่ยังนอนหลับคุดคู้อยู่ในมุ้ง
เวลาที่แม่ทำกับข้าวเด็กหญิงกุ้งแก้วจะคอยสังเกต ว่าแม่นั้นทำอย่างไร เวลาที่ดูแม่ทำกับข้าวทุกครั้งจะรู้สึกมีความสุข อยากช่วย และอยากทำกับข้าวเป็น
เหลือบไปเห็นกะลามะพร้าวที่แม่ขูดเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็รู้สึกคันไม้คันมือหันไปหยิบกะลามานั่งทำท่าขูดบนกระต่ายขูดมะพร้าว พยายามจะเลียนแบบแม่ แต่ลักษณะการจับกะลานั้นผิดจึงพลาดท่าขูดเอามือจนได้เลือดซิบๆ เด็กน้อยแบฝ่ามือขึ้นดูรอยแผล นึกสงสัยในใจ ว่าแม่ขูดมะพร้าวอย่างไรมือถึงไม่เป็นแผลเลย แล้วก็คิดว่าวันหลังต้องคอยดูใหม่ว่าแม่จับกะลาอย่างไร
กุ้งแก้วมองเห็นแม่หยิบเส้นหมี่แห้งสีขาวแช่ลงในกะละมังที่มีน้ำ
"แม่จ๋า... วันนี้แม่ทำอะไรกินจ๊ะ" ถามด้วยความสงสัย
"แกงเขียวหวานไก่จ้ะ" แม่มะลิตอบ
"แล้วแม่แช่เส้นหมี่ทำไมล่ะจ๊ะ"
"ก็เอาไว้ลวก กินกับแกงเขียวหวานน่ะสิ มันอร่อยเข้ากันดี แม่ใช้แทนเส้นขนมจีน" ตอบพลางเริ่มลงมือผัดเครื่องแกงกับหัวกะทิ
"แม่จ๋า... ตอนนี้แม่กำลังทำอะไรจ๊ะ" เดินเข้าไปชะโงกหน้ามอง เห็นแม่กำลังเคี่ยวหัวกะทิสีขาวข้นในกระทะ
"นี่เค้าเรียกว่าหัวกะทิ ตอนนี้แม่กำลังจะผัดพริกแกง เราจะต้องเคี่ยวหัวกะทิให้แตกมันก่อน แล้วเราก็เอาพริกแกงลงไปผัดให้มันมีสีสวยๆ" ผู้เป็นแม่อธิบาย
กลิ่นพริกแกงหอมฟุ้งไปไกล กุ้งแก้วสังเกตเห็นว่าเริ่มมีน้ำมันสีเขียวผุดขึ้นมามากขึ้น แม่ชี้ให้ดู กุ้งแก้วจึงเริ่มเรียนรู้ว่า คำว่าพริกแกงแตกมันนั้นเป็นอย่างไร
เมื่อพริกแกงแตกมันแล้วแม่ก็ใส่ไก่รวนลงไปผัดรวนกับพริกแกงในกระทะอีกครั้ง ที่แม่ต้องใช้ไก่รวนแทนไก่สดเพราะที่บ้านของกุ้งแก้วยังไม่มีไฟฟ้าใช้ และไม่มีตู้เย็น ดังนั้นหากอยากจะทำแกงใส่เนื้อ เนื้อหมู เนื้อไก่ ในตอนเช้า ก็ต้องรวนเนื้อสัตว์ให้สุกไว้เสียก่อนตั้งแต่ตอนเย็น พลันจินตนาการเรื่องดาวลูกไก่ก็ผุดขึ้นมาในมโนของเด็กน้อยอีกครั้ง เกิดรู้สึกสงสารไก่ที่แม่กำลังแกงขึ้นมาในทันใด
"แม่จ๋า... ไก่ตัวนี้มันมีลูกไก่เจ็ดตัวหรือเปล่า" ถามแบบซื่อๆ แม่มะลิยิ้มกว้าง รู้สึกขบขันพลางตอบ
"แม่จะไปรู้ได้ยังไงล่ะกุ้งแก้ว เพราะแม่ไปซื้อมา บ้านเราไม่ได้เลี้ยงไก่สักหน่อย"
(มีต่อช่องคอมเม้นต์นะคะ)
กุ้งแก้วกับอาหารแห่งความทรงจำ ตอนที่ ๒ "แกงเขียวหวานไก่กับเส้นหมี่ลวก"
ดวงตะวันกำลังจะลาลับขอบฟ้าไป ในขณะที่ความมืดมิดก็กำลังจะค่อยๆคืบคลานเข้ามาแทนที่ เสียงนกกาเหว่าขับขานร้องดังกังวานมาแต่ไกล ฟังดูแล้วช่างเงียบเหงาระคนปนเศร้าใจยิ่งนัก ฤดูฝนกำลังจะผ่านพ้นไป... และลมหนาวก็เริ่มพัดพามาแผ่วเบา สามแม่ลูกพากันไปอาบน้ำที่สะพานท่าน้ำ แม่มะลิจัดการถูขี้ไคลให้แก่เด็กน้อยทั้งสอง พลางบ่น...
"แม่บอกแล้วใช่ไหม ว่าไม่ให้เล่นดิน เห็นไหมเนี่ย!!! ขี้ไคลจับปั้นควายได้เป็นตัวๆเลย" แม้ปากจะบ่น แต่สองมือของแม่ก็ยังขัดถูไม่ยอมหยุด กุ๊กไก่ยืนนิ่งๆให้แม่อาบน้ำให้อย่างว่าง่าย แต่คนที่ดูเหมือนจะมีปัญหามากที่สุดก็คือพี่ใหญ่อย่างกุ้งแก้ว
"โอ๊ย!!! แม่... เบาๆหน่อยสิ หนูเจ็บนะ" กุ้งแก้วบอกแม่เพราะรู้สึกเจ็บจริงๆ แต่ก็หาได้หยุดแม่ได้ไม่ เด็กหญิงหัวฟูทำหน้านิ่วคิ้วขมวด
"แม่... หนูหนาวจะตายอยู่แล้ว" กุ้งแก้วบอก พลางแกล้งทำปากสั่นตัวสั่น
"เออ... ดี... ให้มันหนาวให้ตายไปเลย" แม่มะลิทำตาเขียวใส่ กุ้งแก้วมองหน้าแม่ พลางชักสีหน้าเบื่อหน่าย
ในที่สุดการรบราของสามแม่ลูกที่สะพานท่าน้ำก็ผ่านไปได้โดยสันติ งานนี้ยังไม่มีใครที่โดนหวดด้วยไม้เรียว
อาบน้ำแต่งตัวกันเสร็จแล้วเด็กๆก็พากันช่วยแม่มะลิปูที่หลับที่นอน โดยมีตะเกียงเจ้าพายุคอยทำหน้าที่ช่วยให้แสงสว่างในยามค่ำคืน ครรภ์ของแม่มะลิเดือนนี้ก็เข้าเดือนที่แปดแล้ว นางค่อยๆเอนกายล้มตัวลงนอนข้างๆกุ๊กไก่ ครั้นพอกุ้งแก้วเห็นก็รู้สึกยอมไม่ได้ตามประสาเด็ก
"ไม่เอา... แม่มานอนตรงกลางสิ หนูจะได้นอนกอดแม่ด้วย อย่างนี้กุ๊กไก่มันก็กอดแม่ได้คนเดียวสิ" กุ้งแก้วพูด แม่มะลิยิ้มกว้างด้วยความรักและเอ็นดู
แม้สภาพจิตใจอาจจะย่ำแย่ ที่ต้องรับภาระเลี้ยงดูบุตรทั้งสองเพียงลำพัง แต่เธอก็ยังมีกำลังใจจากหัวใจดวงน้อยๆทั้งสองดวงอยู่เต็มเปี่ยม ช่วงตั้งครรภ์บุตรคนที่สาม แม่มะลิจำเป็นต้องหยุดพักงานในสวนส้ม แล้วหันมายึดอาชีพช่างตัดเย็บเสื้อผ้า และช่างเสริมสวย ตามวิชาอาชีพที่ตนได้เคยร่ำเรียนมาตั้งแต่เมื่อครั้งยังไม่มีครอบครัวแทน นางกัดฟันฝืนความเหนื่อยล้า ใช้สองมือของนางสร้างเงินตราด้วยความขยันขันแข็ง นางบอกกับตัวเองเสมอว่า... นางจะต้องทำได้...
เมื่อขยับมานอนตรงกลางให้เด็กน้อยทั้งสองได้นอนอยู่ในอ้อมแขนอย่างเท่าเทียมกันแล้ว บทสนทนาประสาแม่ลูกจึงเริ่มต้นขึ้น...
"แม่จ๋า... หนูอยากฟังนิทานอีกจ้ะ เมื่อคืนแม่เล่าเรื่องเมขลากับรามสูร วันนี้แม่เล่าเรื่องใหม่นะ" กุ้งแก้วรู้สึกติดใจ หลังจากที่แม่เล่านิทานให้ฟังก่อนนอนเมื่อคืนที่ผ่านมา
"หนูก็อยากฟังนิทาน" กุ๊กไก่บอก ในขณะที่นิ้วโป้งมือยังอยู่ในปาก
"เล่าเรื่องอะไรดีล่ะ เดี๋ยวให้แม่คิดก่อนนะ" แม่มะลินึก แล้วสักครู่จึงเอ่ยถาม
"อ้อ... รู้แล้ว... ว่าจะเล่าเรื่องอะไร อยากฟังเรื่องดาวลูกไก่ไหม? แต่ว่ามันเป็นเพลงนะ"
"อยากฟังจ้ะๆ" เด็กน้อยทั้งสองพยักหน้าและแย่งกันตอบ พวกเขาตั้งตารอฟังอย่างตั้งใจ...
"...โอ้ชีวิตคิดไฉน ใครหนอใครลิขิต
ประกาศิตของศิวะ หรือของพระพรหมเจ้า
ว่ากำเนิดเกิดมา พอลืมตามองโลก
บ้างมีโชค บ้างอับโชค มีสุขโศกปนเศร้า
แต่จอมนราพิสุทธ์ ท่านสอนพุทธบริษัท
เป็นธรรมะปรมัต อ้างถึงอำนาจกรรมเก่า
ว่ากุสะลาธรรมา มนุษย์เกิดมามีสุข
อกุสะลา พาให้ทุกข์ ดังไฟที่ลุกรุมเร้า
บ้างกึ่งดี กึ่งชั่ว เพราะตัวของตัวมั่ววุ่น
สร้างทั้งบุญทั้งบาป เหมือนดำที่ฉาบด้วยขาว
ผมมิใช่บัณฑิต อันมีจิตสิเหน่หา
ที่จะเป็นนักเทศนา มาเจรจายั่วเย้า
จิตตั้งศรัทธาสาทก เรื่องยาจกยากจน
มีตากับยายสองคน ปลูกบ้านอยู่บนเชิงเขา
แกเลี้ยงแม่ไก่อู มีลูกอยู่เจ็ดตัว
เช้าก็ออกริมรั้ว จิกกินเม็ดถั่วเม็ดข้าว
เวลามีเหยี่ยวเฉี่ยวโฉบ อีแม่ก็โอบปีกอุ้ม
กางสองปีกออกคลุม พาลูกทั้งกลุ่มเข้าเล้า
แม่ไก่จะปลอบขวัญลูก เสียงกุ๊กๆปลุกขวัญ
ลูกตอบเจี๊ยบๆเสียงลั่น ทั้งๆที่ขวัญเขย่า
แล้วเขี่ยข้าวออกเผื่อ ต่างคุ้ยเหยื่อออกให้
ลูกไก่แม่ไก่ไร้ทุกข์ ซิไม่มีสุขใดเท่า
ถึงคราวจะสิ้นชีวิต เมื่อใกล้อาทิตย์อัสดง
มีภิกษุหนึ่งองค์ เดินออกจากดงชายเขา
ธุดงค์เดียวด้นดั้น เห็นสายัณห์สมัย
หยุดกางกรดพลันทันใด หลังบ้านตายายผู้เฒ่า
อยากรู้เรื่องต่อก็ต้อง เปิดหน้าสองฟังเอา...
พระธุดงค์ลงกลด ตะวันก็หมดแสงส่อง
อาศัยโคมทองจันทรา ลอยขึ้นมายอดเขา
ฝ่ายว่าสองยายตา เกิดศรัทธาสงสาร
พระผู้ภิกขาจารย์ ต้องขาดอาหารมื้อเช้า
ดงกันดารย่านนี้ หรือก็ไม่มีบ้านอื่น
ข้าวจะกล้ำน้ำจะกลืน จะมีใครยื่นให้เล่า
พวกฟักแฟงแตงกวา ของเราก็มาตายหมด
นึกสงสารพระจะอด ทั้งสองกำสรดโศกเศร้า
สักครู่หนึ่งตาจึงเอ่ย นี่แน่ะยายเอ๋ยตอนแจ้ง
ต้องเชือดแม่ไก่แล้วแกง ฝ่ายยายไม่แย้งตาเฒ่า
ฝ่ายแม่ไก่ได้ยิน น้ำตารินหลั่งไหล
ครั้นจะรีบหนีไป ก็คงต้องตายเปล่าๆ
อนิจจาแม่ไก่ ยังมีน้ำใจรู้คุณ
ที่ยายตาการุณ คิดแทนคุณเม็ดข้าว
น้ำตาไหลเรียกลูก ให้มาซุกซอกอก
น้ำตาแม่ไก่ไหลตก ในหัวอกปวดร้าว
อ้าปากออกบอกลูก แม่ต้องถูกตาเชือด
คอยดูเลือดแม่ไหล พรุ่งนี้ต้องตายจากเจ้า
มาเถิดลูกมาซุกอก ให้แม่กกก่อนตาย
แม่ขอกกเป็นครั้งสุดท้าย แม่ต้องตายตอนเช้า
อย่าทะเลาะเบาะแว้ง อย่าขัดแย้งเหยียดหยัน
จงรู้จักรักกัน อย่าผลุนผลันสะเพร่า
เจ้าตัวใหญ่สายสวาท อย่าเกรี้ยวกราดน้องๆ
จงปกครองดูแล ให้เหมือนแม่เลี้ยงเจ้า
น่าสงสารแม่ไก่ น้ำตาไหลสอนลูก
เช้าก็ถูกตาเชือด ต้องหลั่งเลือดนองเล้า
ส่วนลูกไก่ทั้งเจ็ด เหมือนถูกเด็ดดวงใจ
พากันโดดเข้ากองไฟ ตายตามแม่ไก่ดังกล่าว
ด้วยอานิสงฆ์ใจประเสริฐ ลูกไก่ไปเกิดเป็นดาว..."
เด็กน้อยทั้งสองรู้สึกโศกเศร้า เมื่อเสียงครวญแห่งบทเพลงได้จบลง เกิดความหดหู่สงสารแม่ไก่กับลูกไก่ในบทเพลงจับใจ จึงเอ่ยถามแม่ว่า...
"แม่จ๋า... ทำไมลูกไก่น่าสงสารจัง ตากับยายฆ่าแม่ไก่เอาไปทำแกงไก่ใส่มะเขือแบบที่แม่ทำหรือจ๊ะ..." กุ้งแก้วถาม
"ใช่แล้วจ้ะ..." ผู้เป็นแม่ตอบ
"แล้วถ้าแม่ไก่ตายลูกไก่มันจะอยู่ได้ยังไงกันล่ะจ๊ะ ที่ลูกไก่โดดเข้ากองไฟก็คงเป็นเพราะว่าพวกมันคิดถึงแม่ละมั้ง" พลางจินตนาการนึกเห็นภาพลูกไก่ตัวสีเหลืองๆ กางปีกน้อยๆวิ่งกระโดดเข้ากองไฟทีละตัว
"ลูกไก่โดดเข้ากองไฟมันก็ตายกลายเป็นไก่ย่างสิจ๊ะแม่ หนูอยากรู้จังว่าดาวดวงไหนคือดาวลูกไก่..." กุ้งแก้วเอ่ยด้วยความอยากรู้ แล้วจู่ๆก็คิดได้ว่าถ้าตนเองนั้นเป็นลูกไก่ เห็นแม่ไก่ตายจากไปต่อหน้า ก็คงรู้สึกเสียใจไม่ต่างกัน คิดแล้วก็พลางกระชับแขนเล็กๆโอบกอดแม่มะลิผู้เป็นมารดาไว้แนบแน่นพลางบอก...
"สมมุติว่าหนูกับน้องเป็นลูกไก่ หนูก็คงอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีแม่เหมือนกัน หนูรักแม่จ้ะ..." กุ้งแก้วทำซึ้ง
"หนูก็รักแม่เหมือนกัน รักมากกว่าพี่กุ้งแก้วอีก..." กุ๊กไก่เกทับ มีหรือที่งานนี้กุ้งแก้วจะยอม...
"พี่รักแม่มากกว่า รักเท่าฟ้าเลย..." ต่างคนต่างพูดข่มตามประสาเด็ก และแล้วสงครามรักแม่เล็กๆก็เกิดขึ้นบนที่นอน เมื่อไม่มีใครยอมรักแม่น้อยกว่าใคร ภายในห้องนอนเล็กๆที่แสนจะอบอุ่น
เรื่องราวผ่านไปจนกระทั่งเช้าวันหนึ่ง แม่มะลิตื่นขึ้นมาตั้งแต่ยังไม่ทันรุ่งสาง จัดแจงหุงข้าวเช็ดน้ำด้วยเตาฟืน รินน้ำข้าวเก็บเอาไว้ให้กุ๊กไก่ โขลกน้ำพริกแกงเขียวหวาน และปอกมะพร้าวคั้นกะทิเอง เพื่อเตรียมทำแกงเขียวหวานไก่ไปใส่บาตร กุ้งแก้วได้ยินเสียงแม่โขลกน้ำพริกแกงก็ตื่นขึ้นมาดูแม่ทำครัว ส่วนกุ๊กไก่ยังนอนหลับคุดคู้อยู่ในมุ้ง
เวลาที่แม่ทำกับข้าวเด็กหญิงกุ้งแก้วจะคอยสังเกต ว่าแม่นั้นทำอย่างไร เวลาที่ดูแม่ทำกับข้าวทุกครั้งจะรู้สึกมีความสุข อยากช่วย และอยากทำกับข้าวเป็น
เหลือบไปเห็นกะลามะพร้าวที่แม่ขูดเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็รู้สึกคันไม้คันมือหันไปหยิบกะลามานั่งทำท่าขูดบนกระต่ายขูดมะพร้าว พยายามจะเลียนแบบแม่ แต่ลักษณะการจับกะลานั้นผิดจึงพลาดท่าขูดเอามือจนได้เลือดซิบๆ เด็กน้อยแบฝ่ามือขึ้นดูรอยแผล นึกสงสัยในใจ ว่าแม่ขูดมะพร้าวอย่างไรมือถึงไม่เป็นแผลเลย แล้วก็คิดว่าวันหลังต้องคอยดูใหม่ว่าแม่จับกะลาอย่างไร
กุ้งแก้วมองเห็นแม่หยิบเส้นหมี่แห้งสีขาวแช่ลงในกะละมังที่มีน้ำ
"แม่จ๋า... วันนี้แม่ทำอะไรกินจ๊ะ" ถามด้วยความสงสัย
"แกงเขียวหวานไก่จ้ะ" แม่มะลิตอบ
"แล้วแม่แช่เส้นหมี่ทำไมล่ะจ๊ะ"
"ก็เอาไว้ลวก กินกับแกงเขียวหวานน่ะสิ มันอร่อยเข้ากันดี แม่ใช้แทนเส้นขนมจีน" ตอบพลางเริ่มลงมือผัดเครื่องแกงกับหัวกะทิ
"แม่จ๋า... ตอนนี้แม่กำลังทำอะไรจ๊ะ" เดินเข้าไปชะโงกหน้ามอง เห็นแม่กำลังเคี่ยวหัวกะทิสีขาวข้นในกระทะ
"นี่เค้าเรียกว่าหัวกะทิ ตอนนี้แม่กำลังจะผัดพริกแกง เราจะต้องเคี่ยวหัวกะทิให้แตกมันก่อน แล้วเราก็เอาพริกแกงลงไปผัดให้มันมีสีสวยๆ" ผู้เป็นแม่อธิบาย
กลิ่นพริกแกงหอมฟุ้งไปไกล กุ้งแก้วสังเกตเห็นว่าเริ่มมีน้ำมันสีเขียวผุดขึ้นมามากขึ้น แม่ชี้ให้ดู กุ้งแก้วจึงเริ่มเรียนรู้ว่า คำว่าพริกแกงแตกมันนั้นเป็นอย่างไร
เมื่อพริกแกงแตกมันแล้วแม่ก็ใส่ไก่รวนลงไปผัดรวนกับพริกแกงในกระทะอีกครั้ง ที่แม่ต้องใช้ไก่รวนแทนไก่สดเพราะที่บ้านของกุ้งแก้วยังไม่มีไฟฟ้าใช้ และไม่มีตู้เย็น ดังนั้นหากอยากจะทำแกงใส่เนื้อ เนื้อหมู เนื้อไก่ ในตอนเช้า ก็ต้องรวนเนื้อสัตว์ให้สุกไว้เสียก่อนตั้งแต่ตอนเย็น พลันจินตนาการเรื่องดาวลูกไก่ก็ผุดขึ้นมาในมโนของเด็กน้อยอีกครั้ง เกิดรู้สึกสงสารไก่ที่แม่กำลังแกงขึ้นมาในทันใด
"แม่จ๋า... ไก่ตัวนี้มันมีลูกไก่เจ็ดตัวหรือเปล่า" ถามแบบซื่อๆ แม่มะลิยิ้มกว้าง รู้สึกขบขันพลางตอบ
"แม่จะไปรู้ได้ยังไงล่ะกุ้งแก้ว เพราะแม่ไปซื้อมา บ้านเราไม่ได้เลี้ยงไก่สักหน่อย"
(มีต่อช่องคอมเม้นต์นะคะ)