แชร์ประสบการณ์สอบสัมภาษณ์วีซ่านักเรียนอเมริกา..สำหรับคนนอยส์ เครียด ว้าเหว่ หดหู่ ฯลฯ

ผมตั้งใจไว้ว่าถ้าผมผ่านสัมภาษณ์วีซ่า ผมอยากมาเขียนเล่าประสบการณ์ การเตรียมตัวต่างๆในการสัมภาษณ์วีซ่า เพราะเชื่อว่า คงมีคนไม่น้อยที่ค่อนข้างเกร็งและกลัวการสอบวีซ่า รวมทั้งตัวผมด้วย

ก่อนอื่นผมเชื่อว่าแต่ละคนจะมีความกังวลหลายสาเหตุ
หลายคนกังวลการสัมภาษณ์ซึ่งเกิดจากภาษาอังกฤษไม่คล่อง
บางคนตื่นเต้นกลัวพูดไม่ถูก
หรือบางคนเคยถูกปฏิเสธวีซ่ามาก่อน

แน่นอนว่าเป็นเรื่องปกติมากๆที่เราจะมีความกังวลเหล่านั้น เพราะค่าสมัครมันไม่ใช่ร้อย สองร้อย แต่ล่อไปเป็นหมื่น ถ้าสัมภาษณ์ไม่ผ่าน เงินหมื่นนั้นก็หายวับไปกับตา(ผมไม่เคยรู้สึกแฟร์กับราคานี้เลย เค้าน่าจะปรับราคาลงมาหน่อย ถ้าสัมภาษณ์ผ่านค่อยจ่ายเพิ่ม).. ผมเองก็กังวล และไม่ใช่กังวลธรรมดา กังวลมากๆ

เข้าเรื่องนะครับ สาเหตุที่ทำให้ผมรู้สึกกังวลกับการสัมภาษณ์คือ ผมเคยถูกปฏิเสธวีซ่านักเรียนมา 2 ครั้ง สมัยตอนเรียนม.5 (ตอนนี้เพิ่งจบปริญญาตรี) และการถูกปฏิเสธครั้งนั้นมันเลยเหมือนเป็นปมในชีวิตผม(ดูยิ่งใหญ่มาก) เวลากลับไปนึกทีไรจะรู้สึกขัดใจกับไอ้ปมนี้เสียเหลือเกิน

สาเหตุที่ 2 ภาษาอังกฤษไม่คล่อง อันนี้พูดยากนะครับ เพราะเกณฑ์ของคำว่าภาษาอังกฤษดีของแต่ละคนมันต่างกัน คำว่าไม่คล่องของผมหมายความว่า ผมสามารถพูดได้บ้าง ไม่ถูกหลักไวยากรณ์ แต่สามารถนึกคำและพยายามประกอบประโยค เวลาคุยกับฝรั่ง ก็ฟังได้บ้าง ไม่ได้บ้าง ยกตัวอย่าง ถ้าผมอยากอธิบายว่า ผมอยากมาเรียนที่ NM เพราะเป็นรัฐที่คนไทยไม่รู้จัก ถึงแม้ว่าผมอยากเรียน NY แต่เพราะคนไทยเยอะ ผมเลยคิดว่า ถ้าผมอยู่ที่นั่น ผมคงไม่ยอมใช้ภาษาอังกฤษแน่ๆ ผมจะพูดว่า I want to study in NM because NM isn't famous in Thailand. Actually I want to study in NY but I think I will always meet Thai people and not use English language.

และอีกเหตุผลหนึ่งที่อาจเพราะผมอาจคิดมากเอง แต่ ผมรู้สึกว่ามันค่อนข้างมีผลทางจิตใจและความคิดของผม คือ ผมเป็นคนผิวเข้ม และหน้าตาเหมือนโจรในอุดมคติของคนทั่วไป มันอาจมีผลให้ท่านทูตคิดว่าผมอยากไปเผาตึกเวิลเทรดอีกรอบก็ได้

การสัมภาษณ์ครั้งนี้ผมเลยค่อยข้างที่จะหาข้อมูลในการตอบคำถามมากๆ ดูว่ามีคำถามอะไรบ้างที่เค้ามักจะถาม ดูรีวิวการสัมภาษณ์ต่างๆ พอได้ข้อมูลแล้ว ซึ่งส่วนใหญ่จะถามว่า
- ไปเรียนอะไร
- เรียนที่ไหน เมืองอะไร
- ไปกี่ปี
- พักอยู่ที่ไหน
- ใครเป็นสปอนเซอร์
- เรียนเสร็จแล้วจะทำอะไรต่อ
ผมก็เขียนคำตอบ แล้วจำมัน คุยหน้ากระจกบ่อยๆ คือช่วงก่อนสอบ 3  วัน ว่างเมื่อไหร่ก็ลองพูด เสมือนว่าภาษาอังกฤษมีประโยคพูดอยู่แค่เท่านั้น(ไม่ดีเลย)
ทีนี้ พอยิ่งกังวลหาคำถามมากขึ้นเรื่อยๆ ก็เริ่มเห็นช่องโหว่ที่ผมอาจโดนถามมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น
- ระยะเวลาในการไปเรียนของผม ..คือใน I-20 ที่โรงเรียนส่งมาให้ บอกว่าผมสามารถไปเรียนได้ช่วงมกรา-เมษา 4 เดือน แต่ทีนี้ผมกลัวว่า 4 เดือนอาจไม่พอ ผมอยากเรียนสัก 1 ปี ผมเลยกรอกใน DS160 ว่าจะไปเรียน 1 ปี แต่อ่านรีวิวมีคนบอกว่า I-20 เขียนเท่าไหร่ ควรกรอกใน DS160เท่านั้น เพราะเราไม่มีหลักฐานในการอยู่ต่อ ถ้าอยากอยู่ต่อ ค่อยไปต่อที่โน่น เพราะวีซ่านักเรียนขึ้นอยู่กับ I-20 ถ้ามี I-20 ใบใหม่ เราก็อยู่ต่อได้แม้วีซ่าหมดอายุ // พอรู้เท่านั้นแหละ ผมนี่เครียดเลย จะบอกว่าอยากเรียนภาษาต่ออีกคอร์สก็กลัวเค้าไม่เชื่อ ผมเลยคิดว่าถ้าเค้าถาม ผมจะตอบว่า ผมกรอกข้อมูลใน DS160 ผิด
- ผมจบตั้งแต่มีนาคม รับปริญญาตอนกรกฎาคมแล้วแต่ยังไม่ได้ทำงาน ..ผมเคยอ่านรีวิวว่า ถ้าเราไม่มีงานทำ ไม่มีใบรับรองว่าจะกลับมาทำงาน อาจจะทำให้ท่านทูตไม่แน่ใจ เกรงว่าเราจะหนีแล้วหางานทำในอเมริกาไปเลย

ตอนนั้นผมยิ่งเครียดไปใหญ่ นอยส์ไปอีก เพราะความคิดผมตอนนั้นคิดว่า ถ้ากูสอบวีซ่าไม่ผ่าน กูจะทำอะไรได้อีกวะ งานการก็ไม่มี แผนสำรองที่จะไปเรียนประเทศอื่นก็ยังไม่มี หลายคืนก่อนสัมภาษณ์ผมคิดฟุ้งซ่านอย่างนี้ตลอด นอนก็ไม่ค่อยหลับ เวลาคิดถึงการสัมภาษณ์ทีไรใจจะเต้นแรงมากๆจนปวดหน้าอก ....จนคืนก่อนสัมภาษณ์ ผมถึงตระหนักได้ว่า เออ!! กูเครียด กูตื่นเต้นแล้วไง ตื่นเต้นแล้วได้วีซ่าเหรอ ก็ไม่ แล้วจะกลัวอะไร คนสัมภาษณ์มันก็คนเหมือนกับเรานั่นแหละ แต่มันพูดภาษาอังกฤษได้ ทำไมเราไม่คิดว่า เราไปคุยกับเพื่อนหรืออาจารย์ ญาติผู้ใหญ่เราล่ะ

วันสัมภาษณ์ ผมตื่นมาพร้อมกับความรู้สึกไม่เหมือนเดิม แต่ยังคงตื่นเต้นเล็กๆ เป็นแนวลุ้นว่ากูจะได้วีซ่าหรือเปล่า เพราะถึงจะปลงกับผลที่ออก แต่ถ้าไม่ได้ก็ยังคงเสียดายตังอยู่ดี ผมพยายามทำตัวสบายๆให้มากที่สุด
พอ9.15 ก่อนเวลานัดสัมภาษณ์ครึ่งชั่วโมง(ผมนัดสัมภาษณ์ตอน 9.45) ผมก็เข้าไปตรวจเอกสาร(สถานทูตห้ามเอากระเป๋าเป้เข้าไปนะครับ แต่กระเป๋าถือเล็กๆของผู้หญิงเข้าได้ เพราะผมเสียร้อยนึงค่าฝากกระเป๋าที่เต็นท์แถวสถานทูต) เจ้าหน้าที่ตรวจเอกสารก็จัดการจัด DS160 ,I-20,Acceptance Letter ,SEVIS FEE receipt ,Transcript เข้าแฟ้มและให้ผมไปตรวจเอกสารอีกทีที่เคาท์เตอร์ ตรงนี้ไม่มีอะไรมากครับ เพราะเป็นคนไทย เค้าก็ถามโน่นถามนี่ตามข้อมูล เหมือนเป็นการย้ำอีกที แต่อยากให้ยิ้มเข้าไว้ครับ ไม่ใช่เพื่อเจ้าหน้าที่แต่เพื่อตัวเองครับ เพราะมันมีผลทางความรู้สึก ถ้าเราตอบอย่างสดใส ร่าเริง บทสนทนากับเจ้าหน้าที่ก็จะแฮปปี้ ทำให้เรามั่นใจมากขึ้น และรู้สึกเป็นกันเอง
ทีนี้ด่านบอสแล้วครับ กับการการสัมภาษณ์กับฝรั่ง ตอนยืนเข้าแถวรอเรียก ผมตื่นเต้นมาก ปวดฉี่มากด้วย แต่พอท่านทูตเรียกผม ผมลืมทุกอย่างเลย ลืมคำตอบที่จะตอบ อาการตื่นเต้นของผมจากมาก กลายเป็นเหลือนิดหน่อย พอยืนต่อหน้าท่าน ผมนึกได้อย่างเดียวเลยคือ ยิ้มเข้าไว้ๆๆๆ พร้อมกับพูดว่า Good morning แต่ท่านตอบกลับมาว่า สวัสดีครับ ผมตั้งตัวไม่เป็นเลย เพราะกะจะมา speak English อย่างเดียว ผมเลยพูดว่า สวัสดีครับกับท่านทูตอีกรอบ และตลอดการสัมภาษณ์ท่านก็ไม่พูดภาษาอังกฤษสักคำ ใช่ครับ ท่านถามเป็นภาษาไทยกับผมทุกคำถาม(เค้าไม่ใช่คนไทยแน่นอน 55) ซึ่งคำถามก็เป็นไปตามที่ผมอ่านมาเลยครับ เรียนที่ไหน เรียนนานเท่าไหร่ ซึ่งคำถามนี้ผมตอบไปว่า This course will take 4 months but when I finished I will continue study in another course.(คอร์สที่ผมลงเรียนใช้เวลา 4 เดือน แต่ผมจะเรียนต่ออีกคอร์สครับ) ซึ่งท่านทูตเค้าก็ถามต่อว่าคอร์สที่จะเรียนต่อใช้เวลาเท่าไหร่ ผมก็ตอบ 4 months แล้วท่านจึงถามว่าแล้วจากนั้นทำอะไร ผมก็ตอบตามสคริปเลยครับว่า I will back to Thailand and looking for a job.(แม้ในใจอยากเรียนโทต่อที่นั่น) จากนั้นท่านก็เงียบและพิมพ์ด้วยความเร็วเหนือแสง ปิดไมค์แล้วหันไปคุยกับคนด้านหลัง ในใจตอนนั้นผมคิดว่าชวดแหงๆ ไอ้คนก่อนหน้าทูตก็ปิดไมค์แล้วหันไปคุยกับจนท.ไทยด้านหลังเพื่อให้จนท.ไทยมาชี้แจงเหตุผลที่ไม่ผ่าน แต่สุดท้าย ท่านก็พูดว่า ยินดีด้วยครับ ขอให้สนุกกับการเรียน ผมนี่ดีใจมาก เหมือนปมในใจมันถูกแก้ไขแล้ว บอกท่านทูตไปว่า Thank you! Have a great day. แล้วเดินออกจากห้องสัมภาษณ์ เยี่ยวเยิ่วลืมหมด

ทุกคำถามที่ท่านถาม ผมตอบด้วยภาษาอังกฤษครับ มั่วบ้าง พูดผิดบ้าง แต่ผมอยากให้ท่านเห็นว่าเราอยากพูดภาษาอังกฤษ แม้จะเป็นภาษาอังกฤษโง่ๆก็ตาม(ไม่รู้ว่าตอนนั้นผมคิดอะไรอยู่) และก็ไม่รู้ว่าทำไมผมถึงตอบไปว่าผมจะเรียนต่อทั้งๆที่เตรียมไปจะตอบว่าผมจะเรียน 4 เดือน แต่ที่ใน DS160 เขียนว่า 1 ปี เพราะผมกรอกข้อมูลผิด

ผมอยากให้คนที่กำลังเครียด กังวลกับการสอบวีซ่าทุกคน ใช้ความรู้สึกนั้นเปลี่ยนมันเป็นตัวผลักดันให้เราเตรียมตัวมากขึ้นๆๆๆ เพราะเราไม่สามารถกำจัดความรู้สึกนี้ออกไปได้ง่ายๆ พยายามมีสติกับสิ่งที่เรากำลังจะทำให้ได้ และที่สำคัญคือ พูดความจริงทุกอย่าง(ความจริงไม่ได้หมายถึงบอกหมดนะครับ 555) เพราะมันจะทำให้เราไม่ต้องหาคำโกหกในหัวเราเลย พูดไปตามที่เราวางแผนไว้ดีแล้ว ซื้อสัตย์กับมัน อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด คุณอาจจะคิดว่า ผมผ่านแล้วจะพูดไงก็ได้แถมท่านทูตถามภาษาไทยอีก ...ใช่ครับ แต่อยากให้ลองนึกดูครับว่า ก่อนหน้านี้ผมก็เครียดเหมือนกัน แม้ว่าอาจจะโชคดีนิดหน่อย และถ้าพลาดไม่ผ่านสัมภาษณ์ มันก็ไม่ได้แปลว่าเราจะไม่สามารถผ่านวีซ่าได้อีกเลย คิดซะว่า กูถอยมาเตรียมตัวใหม่ ตังที่เสียไป ถือว่าเป็นต้นทุน

ขอบคุณที่อ่านกันนะครับ ผมเขียนครั้งแรก ติชมกันได้ ใครอยากถามอะไรผม ถ้าตอบได้ผมตอบแน่นอนครับ โชคดีครับ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่