ทานและศีลที่อบรมด้วยปัญญานั่นแหละ จะเป็นองค์มรรค

ท่านผู้รู้ท่านหนึ่ง ได้กรุณาถามผมว่า คิดว่าตนเองเป็นสัมมาทิฐิ หรือมิจฉาทิฐิ ? ผมก็ตอบไปตามตรงว่า ไม่ทราบ เพราะผมไม่ได้คิด เกี่ยวกับเรื่องนี้ ทำให้เกิดความระลึกถึง คำสอนของครูบาอาจารย์ขึ้นมาได้ว่า ท่านเคยสอนเรื่องนี้เอาไว้อย่างไร ?

ท่านบอกว่า "เรื่อง อริยมรรคอริยผลนี้ไม่ต้องไปคิดดอก หมั่นทำบุญทำทานรักษาศีลให้ดีเถิด ทานและศีลที่อบรมด้วยปัญญานั่นแหละ จะเป็นองค์มรรคของโยมเอง" ที่จริงก็อยากจะถามท่านว่า อบรมด้วยปัญญา นั้นหมายถึงว่าทำอย่างไร แต่ก็ไม่กล้าถาม เพราะท่านมักตักเตือนผมอยู่เสมอว่า "คิดให้น้อย คิดให้น้อย" อันนี้โดนคนเดียวล้วนๆ เวลาอบรมกรรมฐาน ท่านก็บอกว่า "เอาแค่สงบก็พอ ทำความสงบให้ได้ก่อน อย่าไปคิดอะไรให้มันยุ่งยากนัก"

ข้อสงสัยที่ผมขอรบกวนถามท่านผู้รู้ในที่นี้ ตามประสาคนชอบคิดฟุ้งซ่านก็คือ ที่พระอาจารย์ท่านบอกว่า ทานศีลที่อบรมด้วยปัญญาคือองค์มรรคนั้นหมายความว่าอย่างไร และอบรมอย่างไร ?

อีกข้อสงสัยหนึ่งก็คือ ผู้รู้ในโต๊ะศาสนาบางท่านกล่าวกับผมว่า ต้องมีความเชื่อเรื่องภพชาติ ชาตินี้ชาติหน้า และผีสางนางไม้ จึงจะสามารถก้าวหน้าในทางปฏิบัติถึงขั้นอริยะได้ แต่ทำไมพระอาจารย์ท่านจึงไม่เคยบอกกับผมแบบนี้ หรือพูดถึงเรื่องพวกนี้เลย ไม่แน่ใจว่า เพราะท่านเกรงว่า ถ้าท่านพูดแบบนี้แล้วจะทำให้ผมลังเล ไม่เชื่อถือ แล้วพาลเลิกปฏิบัติธรรมไปเลยหรือเปล่า ก็ไม่ทราบได้ แต่ที่ผมอยากจะถามความเห็นจากท่านผู้รู้ในที่นี้ก็คือ เท่าที่ผมพอจะสันนิษฐานได้ตามหลักเหตุผล ก็มีความเป็นไปได้ 3 อย่างคือ

1 ความเชื่อเรื่องชาตินี้ชาติหน้า ผีสางนางไม้ ไม่มีความจำเป็นสำหรับการปฏิบัติธรรม
2 ความเชื่อพวกนั้น จำเป็น หรือ เหมาะสมกับบางคน ไม่ใช่ทุกคน
3 การปฏิบัติของผมยังไม่ก้าวหน้าไปถึงไหน ยังโง่อยู่ จึงยังไม่ใช่เวลาที่พระท่านจะบอกสอนในเรื่องนี้

คือผมพยายามคิดถึงความเป็นไปได้ของเรื่องนี้มาได้เท่าที่เห็นนี่แหละครับ ก็หวังว่า ท่านผู้รู้ทั้งหลายจะช่วยคลายความสงสัยของผมได้นะครับ ขอขอบพระคุณล่วงหน้าเอาไว้ณที่นี้เลยก็แล้วกันนะครับ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่