เป็นการสปอยล์แนวคิดที่ค้ำบทภาพยนตร์ทั้งเรื่องในทาง
Cinematic ที่สำคัญพอให้มองเห็นได้ง่ายนะครับ แจ้งไว้ส่วนบนสุดนี้ก่อนเลย เพราะผมขอเีขียนแบบไม่ใส่แบรคเกตสปอยล์ในเนื้อหาด้านล่างครับ จุดที่ใช้จะเป็นไปเพื่อย่อความเป็นสำคัญ
---
ภาพยนตร์: INTERSTELLAR (2014)
ฉากเปิดเรื่องที่สั้นไม่กี่วินาทีของชั้นวางหนังสือ + ฝุ่น + ยานอวกาศจำลอง
ถือว่าสปอยล์ฉลากไคลแม็กซ์ของหนังตอนท้ายเรื่องไว้แล้วทีเดียว
รวมทั้งการให้หมายความถึงองค์ความรู้เก่าของมนุษยชาติ ว่าอาจใช้ไม่ได้ในการสำรวจ-
ซึ่งต้องการกระบวนทรรศน์ใหม่ ๆ ..มากกว่าจะไปข้างหน้าด้วยการถอยหลัง
(ยานอวกาศจำลองมีการวางไว้หันหัวไปทิศทางตรงข้ามกับที่กล้องแพน)
และเป็นการใบ้ว่า ไคลแมกซ์ของหนังคือฉากไหนที่จะมาบรรจบที่นี่..
---
Cinematic ทั่วไป + ความใหม่ของไอเดีย อ้างอิงอารยธรรมร่วมอินเดียกับกรีกโบราณ
โดยแบ่งฉากสำคัญออกเป็น 4 องค์ + 1 องค์ที่ถูกขยายใหญ่เป็นพื้นหลังของพล็อต
ตาม Classical Elements คือ Earth, Water, Air, Fire, Ether.
ดูเหมือน Prof.Kip Thorne จะนำเสนอแนวคิดว่า Gravitation หรือ Spacetime คือ Ether.
ซึ่งถ้าใช่ตามที่มองจากความเป็น Cinematic ของบทภาพยนตร์ ก็ถือว่ากล้ามากทีเดียว.
(เขียนกล่าวถึงไว้ในแง่ที่ท่านเป็นหนึ่งใน Executive Producer ของหนังนะครับ)
โดยแบ่ง 4 ธาตุพื้นฐานที่ป็อปอยู่แล้ว (คนทั่วโลก ..กล่าวคือในหลายอารยธรรม-
มี 4 ธาตุแรกนี้เป็นอารยธรรมร่วมอยู่แล้ว จึงเป็นที่รู้จักโดยทั่วไป)
เป็นดาว 3 ดวงแรก คือ..
Earth ดาว Earth หรือโลก ได้ตามชื่อของธาตุตรง ๆ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้(เป็นจุดเริ่มต้นของมนุษยชาติ /Flip/ แต่ไม่จำต้องเป็นจุดจบหรือสุสาน)
Water ดาว Miller ซึ่งปกคลุมด้วยน้ำ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้(แหล่งกำเนิดชีวิต /Flip/ แต่กลายเป็นฉากสุสานและความตาย)
Air ดาว Mann ความหนาวเย็นของบรรยากาศ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้(..และความหวังในหน้าหนังว่าอาจมีพื้นผิวที่ก่อกำเนิดชีวิตได้ ใต้พื้นผิวบนสุดของดาว /Flip/ ความเย็นชาตามสัญชาตญาณการเอาตัวรอดของมนุษย์ Dr.Mann แสดงสันดานดิบแบบมนุษย์ กล่อม-โกหก คือพูดอย่างหนึ่ง แต่หมายความและกระทำอีกอย่างหนึ่งอย่าง ให้เหตุผลที่เย็นชา คล้ายเมฆที่เปลี่ยนสถานะกลายเป็นน้ำแข็ง)
และ 1 ธาตุ Fire เป็นซีเควนซ์ที่คาบเกี่ยวของ elements ของหนัง คือ ระเบิด + ไฟ + แสงในสนามแรงโน้มถ่วงภายในหลุมดำ ที่มีมวลหนักพอจะเป็นเสมือนวัตถุกายภาพจับต้องได้ ไปจนพ้นซีเควนซ์ของหลุมดำ Gargantua ที่ซ้อนด้วยซีเควนซ์ไฟลามทุ่งข้าวโพดบนโลกพร้อมกัน.
..โดยที่ธาตุ Ether อ้างอิงว่าเป็นแรงโน้มถ่วงหรือ Gravity ที่ปรากฎอยู่ทั่วทุก Spacetime ด้วยบริบทที่ต่างกันและมีผลต่ออนุภาคต่าง ๆ ในแต่ละดาวให้มีพฤติการณ์หรือองค์สมบัติแตกต่างกัน (
วิสัยทัศน์ของคิป ธอร์น คือมองแรงโน้มถ่วงเป็นเหมือนพระเจ้าของแทบทุกปรากฏการณ์และสรรพสิ่ง คือแม้แต่แค่อะไร-จะเป็นยังไง-เพราะอะไร ฯลฯ ..ดูมีแนวโน้มเชิงนัยว่าเป็นปรากฏการณ์ที่มีแรงโน้มถ่วงอยู่เป็นปฐมทั้งสิ้น)
////////////
อากาศยานโดรนสัญชาติอินเดียในต้นเรื่องนั้น
สคริปต์เก่าที่หลุดออกมาในเน็ตจะเป็นรัสเซีย
แต่รัสเซียถูกเปลี่ยนไปอ้างอิงในทิศทางอื่นแทน
และะหน้าหนังที่ฉาย..ฉากการบังคับโดรนด้วยคลื่นวิทยุนั้น (คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า)
ถือว่าสปอยล์แนวคิดหนึ่งของเหตุการณ์ในหลุมดำตอนท้ายเรื่องอย่างตรงไปตรงมา.
(แถมมองให้ดีไม่ได้ต่างกับการที่เราคลิกเมาส์บนคอมพิวเตอร์ส่งข้อมูลแสงผ่านเครือข่ายอินเตอร์เน็ตบนโลกด้วย มันข้ามทั้ง Space และ Time ระหว่างทวีปได้จริง)
โดยทั่วไปแล้ว ถ้าคำนึงว่ามนุษย์นั้นอยู่ในระบบ "สุริยะจักรวาล" ..
การอ้างอิงสุริยะเทพของคนโบราณนั้น เป็นอารยธรรมร่วมหรือแนวคิดร่วมไปทั่วโลก
และแนวคิดเรื่อง "Aryan Race" เองก็ถูกอ้างอิงจากหลายอารยธรรมชนชาติ
ภาพยนตร์ INTERSTELLAR จึงดูเหมือนนาฏกรรมเล่าเรื่อง Aryan Race แบบหนึ่ง
ที่ลูกหลานของของสุริยะเทพ (มนุษยชาติ) จะออกเดินทางแสวงหาโลกใหม่
////////////
ประเด็นศาสนาคริสต์ ในตัวละคร Cooper ที่อ้างอิง Murph ส่วนหนึ่ง..
- ฉากบนยานสำรวจ หลังการหลับจำศีลช่วงแรก, คูเปอร์เดินไปในห้องพักที่รอมิลีนั่งอยู่กับเตียง
- คูเปอร์ในเสื้อสีขาวคลุมผ้าห่มลูกสาวสีแดง ..เสื้อขาวผ้าคลุมแดงนี้ทางคริสตศิลป์หมายถึงพระเยซูหลังฟื้นคืนพระชนม์
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้(ประเด็นนี้ผมเคยเขียนในกระทู้ภาพยนตร์ Man of Steel ซึ่งคริสโตเฟอร์ โนแลน เป็น Producer ตอนที่หันมาคุมเรื่องนี้แทน ..ลองผ่านรูหนอนไปอ่านดูได้นะครับ [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้http://ppantip.com/topic/30612721 )
- เป็นการสนทนาสัจจธรรมเกี่ยวกับเรือ ระหว่างนักบินและลูกเรือ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้(ปิดซีนด้วยพระเยซูส่งหูฟังที่มีเสียงบันทึกเสียงธรรมชาติของโลกให้ลูกเรือ)
ส่วนที่ถูกจัดปลีกไว้
-
Project: Lazarus. แต่ตัวดร.แมนน์ไม่ได้แทนลาซารัสตรง ๆ ..ชื่อตัวละครจะใบ้ว่าแทนมนุษย์โดยทั่วไปแต่มีบทบาทเชิงสัญลักษณ์
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้(ใส่ N สองตัวเพื่อต้องการให้ผู้ชมพิจารณาตัวละครนี้ในทุกแง่มุมมากกว่า, คือเรื่องเล่าในไบเบิลเกี่ยวกับตัวลาซารัสผู้คืนชีพนั้น ไม่ได้เด่นเท่า "สถานการณ์ก่อนหน้าการฟื้นคืนชีพ" ..ที่เต็มไปด้วยการถกเกียงในหมู่ชน การแสดงศรัทธาและคำโกหก ซึ่งประเด็นนี้กลับปรากฏในเนื้อหาของโปรเจคท์ลาซารัสและ Prof.Brand ชัดกว่า
แม้แต่ตัวเมิร์ฟ ก็ไม่ได้เชื่อหรือศรัทธาว่าพ่อจะกลับมา เมิร์ฟตัดพ้อ จนถึงสาปส่งพ่อกระทั่งตอนโตอย่างชัดเจนเหมือนกัน (เรียกพ่อว่า Son of a bitch ในวิดีโอเมสเซจหนึ่งอย่างชัดเจน และยังแสดงความเกลียดชังอย่างรุนแรงหลังได้ฟังคำสารภาพก่อนตายของ Prof.Brand.) ..ความสัมพันธ์พ่อ - ลูก ของคูเปอร์และเมิร์ฟนั้น จะเป็นสถานการณ์เชิงนัยถึง "Singularity" มากกว่า ตรงนี้เป็นใจความของเรื่องราว ซึ่งผมขอกล่าวถึงไว้ในส่วนท้ายสุดครับ.)
การเปรียบเปรยถึงพระเจ้านั้น บทภาพยนตร์วางโมเดลดังนี้..
- ฉากสนทนาระหว่างคูเปอร์และรอมิลีข้างต้น
- พระเยซูหลังฟื้นพระชนม์: คูเปอร์.. จากนักบินอวกาศ-เป็นกสิกร-แล้วกลับมาเป็นนักบินอวกาศเหมือนเดิม มีการบอกว่าตัวเองเป็น engineer อยู่ด้วยในไดอะล็อกช่วงหนึ่ง ซึ่ง engineer โดยนัยนั้นทำงานในเอกภพที่
Architect [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้(พระเจ้า, ผู้สร้าง นัยนี้เราจะเคยได้ยินการใช้คำว่า Architect เรียกแทนผู้สร้างสูงสุด ทั้งในหนัง The Matrix และ The Little Buddha) สร้างขึ้นแล้ว
- พระเจ้าคือผู้สร้าง, โลกคือเรือ (หรือเรืออวกาศ, ยานสำรวจ), พระเยซูคือนักบิน, มนุษย์คือลูกเรือ
- หมายความส่วนหนึ่งของบรรทัดบน ถูกใช้ในฉากระเบิดบนวงโคจรนอกดาว Mann
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้(Dr.Mann ไม่สามารถทำกิจที่นักบินเท่านั้นทำได้ เพราะ Dr.Mann โดยนัยของมนุษย์นั้นเป็นเพียงลูกเรือ + ตามด้วยซีเควนซ์โชว์สกิลขั้นเทพของนักบินอย่างคูเปอร์.)
จุดน่าสนใจ - ย้อนไปตอนที่มาถึงดาว Mann ..จะมีซีเควนซ์ไม่ยาวนักกับการเล่าด้วยภาพของการฟื้นของ Dr.Mann จากการหลับจำศีล
..น้ำนั้นเป็นสัญลักษณ์ของการล้างบาปอยู่แล้ว และเป็นสัญลักษณ์ของการเกิดและความตาย, ปลายซีเควนซ์นี้เราจะได้เห็นอากัปกิริยาของตัวละครทั้งสอง คือ Cooper กับ Dr.Mann ..ที่ดูไม่ต่างสถานการณ์เชิงอารมณ์ของ "พิธีบัพติศมา" ที่เราอาจพบเห็นได้ทั่วไปเลย..
- พระเจ้า VS. 'They / Them' ..ถ้าจับเรื่อง "จำนวน" จะเข้าใจไม่ยาก ว่า they ไม่ใช่พระเจ้า แต่เป็นมวลมนุษย์เองในวันนึง
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้และพระเจ้าหรือธรรมชาติสูงสุด ก็ทิ้งไว้ให้เป็นปลายเปิดต่อไป
////////////
Singularity สำหรับเนื้อเรื่องของภาพยนตร์ INTERSTELLAR.
วันที่คำที่ได้พูด ได้รับความเข้าใจจากภายในถึงความหมายและหมายความ
..จนพายุแห่งความไม่เข้าใจนั้นสงบลงจาก ณ ใจกลางของผู้รับสาส์น. เป็นสภาวะรู้ไปสู่การบันดาลใจและปัญญา
/// เมิร์ฟ: สิ่งที่หนูพูด..พ่อไม่เข้าใจ,
คูเปอร์: สิ่งที่พ่อบอกลูก..ลูกจะเข้าใจมัน
ในวันนึง ///
จงศรัทธาแม้จะเย็นชาและโหดร้าย เหมือนพระเจ้าศรัทธาในมนุษย์แม้ความตายเป็นสิ่งชวนให้ด่าทอต่อพระเจ้า ..สิ่งที่จำเป็นต้องทำบางอย่าง แม้น่ารังเกียจและท้าทายต่อศรัทธาทั้งปวง ก็ต้องทำ
กฏของเมอร์ฟี่: What-ever can happen will happen if we make trials enough. // อะไรก็ตามแต่ที่มันสามารถจะเกิดมันก็จะเกิด หากเราได้พยายามมาหลายครั้งเพื่อเลี่ยงมันมาอย่างเพียงพอแล้ว. //
ถ้ามันผิดได้ มันก็ผิดได้ ..การพยายามยั้งไม่ให้มันเกิดผิด..ก็ทำได้ไประยะหนึ่ง..ซึ่งถ้าพอแล้วและหยุดลงเมื่อไร..การผิดได้ของมันนั้นก็จะเกิดขึ้นมา //
/ ยางรถยนต์มันแตกได้ ..เพราะงั้นวันนึงมันจะแตก /.
- ความตายเป็นสิ่งแน่แท้สำหรับทุกการเกิด ..เพราะงั้นวันนึงเราจะตาย
/// สิ่งที่สามารถเข้าใจได้ ..เพราะงั้นวันนึงเราจะเข้าใจ ///.
และจุดนั้นเวลาจะมาบรรจบกันใน 'มิติความหมาย' ..คือ Singularity.
////////////////////////
ของแถม: บทกวีที่ Prof.Brand กล่าวในเรื่อง
"Do not go gentle into that good night" โดย Dylan Thomas (1914 - 1953).
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้Do not go gentle into that good night,
Old age should burn and rave at close of day;
Rage, rage against the dying of the light.
Though wise men at their end know dark is right,
Because their words had forked no lightning they
Do not go gentle into that good night.
Good men, the last wave by, crying how bright
Their frail deeds might have danced in a green bay,
Rage, rage against the dying of the light.
Wild men who caught and sang the sun in flight,
And learn, too late, they grieved it on its way,
Do not go gentle into that good night.
Grave men, near death, who see with blinding sight
Blind eyes could blaze like meteors and be gay,
Rage, rage against the dying of the light.
And you, my father, there on the sad height,
Curse, bless, me now with your fierce tears, I pray.
Do not go gentle into that good night.
Rage, rage against the dying of the light.
คำว่า That good night หมายถึงคืน (นั้น) สุดท้ายของการนอนหลับ คือความตายนั่นเอง
ความหมายในภาพรวม คือ มนุษย์ไม่ควรศิโรราบต่อความตายโดยง่าย..ถ้าทระนงว่าตนมีปัญญา
บทกวีนี้เป็นเหมือน "ความคิด" ของโปรเจคท์ลาซารัส ซึ่งขับเคลื่อนและขับกวีโดย Prof.Brand
.
..อันย้อนแย้งชัดเจนต่อ "กฏของเมอร์ฟี่"
// เราจึงเห็นฉากที่ Prof.Brand ตัดสินใจสารภาพกับ Murphy (Cooper) โดยตรง. //
END.
[CR] ที่นี่ห้องหนัง จึงขอเขียนถึงด้าน Cinematic ของหนัง INTERSTELLAR ไว้อย่างน้อยหนึ่งกระทู้นะครับ.. (สปอยล์)
---
ภาพยนตร์: INTERSTELLAR (2014)
ฉากเปิดเรื่องที่สั้นไม่กี่วินาทีของชั้นวางหนังสือ + ฝุ่น + ยานอวกาศจำลอง
ถือว่าสปอยล์ฉลากไคลแม็กซ์ของหนังตอนท้ายเรื่องไว้แล้วทีเดียว
รวมทั้งการให้หมายความถึงองค์ความรู้เก่าของมนุษยชาติ ว่าอาจใช้ไม่ได้ในการสำรวจ-
ซึ่งต้องการกระบวนทรรศน์ใหม่ ๆ ..มากกว่าจะไปข้างหน้าด้วยการถอยหลัง
(ยานอวกาศจำลองมีการวางไว้หันหัวไปทิศทางตรงข้ามกับที่กล้องแพน)
และเป็นการใบ้ว่า ไคลแมกซ์ของหนังคือฉากไหนที่จะมาบรรจบที่นี่..
---
Cinematic ทั่วไป + ความใหม่ของไอเดีย อ้างอิงอารยธรรมร่วมอินเดียกับกรีกโบราณ
โดยแบ่งฉากสำคัญออกเป็น 4 องค์ + 1 องค์ที่ถูกขยายใหญ่เป็นพื้นหลังของพล็อต
ตาม Classical Elements คือ Earth, Water, Air, Fire, Ether.
ดูเหมือน Prof.Kip Thorne จะนำเสนอแนวคิดว่า Gravitation หรือ Spacetime คือ Ether.
ซึ่งถ้าใช่ตามที่มองจากความเป็น Cinematic ของบทภาพยนตร์ ก็ถือว่ากล้ามากทีเดียว.
(เขียนกล่าวถึงไว้ในแง่ที่ท่านเป็นหนึ่งใน Executive Producer ของหนังนะครับ)
โดยแบ่ง 4 ธาตุพื้นฐานที่ป็อปอยู่แล้ว (คนทั่วโลก ..กล่าวคือในหลายอารยธรรม-
มี 4 ธาตุแรกนี้เป็นอารยธรรมร่วมอยู่แล้ว จึงเป็นที่รู้จักโดยทั่วไป) เป็นดาว 3 ดวงแรก คือ..
Earth ดาว Earth หรือโลก ได้ตามชื่อของธาตุตรง ๆ [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
Water ดาว Miller ซึ่งปกคลุมด้วยน้ำ [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
Air ดาว Mann ความหนาวเย็นของบรรยากาศ [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
และ 1 ธาตุ Fire เป็นซีเควนซ์ที่คาบเกี่ยวของ elements ของหนัง คือ ระเบิด + ไฟ + แสงในสนามแรงโน้มถ่วงภายในหลุมดำ ที่มีมวลหนักพอจะเป็นเสมือนวัตถุกายภาพจับต้องได้ ไปจนพ้นซีเควนซ์ของหลุมดำ Gargantua ที่ซ้อนด้วยซีเควนซ์ไฟลามทุ่งข้าวโพดบนโลกพร้อมกัน.
..โดยที่ธาตุ Ether อ้างอิงว่าเป็นแรงโน้มถ่วงหรือ Gravity ที่ปรากฎอยู่ทั่วทุก Spacetime ด้วยบริบทที่ต่างกันและมีผลต่ออนุภาคต่าง ๆ ในแต่ละดาวให้มีพฤติการณ์หรือองค์สมบัติแตกต่างกัน (วิสัยทัศน์ของคิป ธอร์น คือมองแรงโน้มถ่วงเป็นเหมือนพระเจ้าของแทบทุกปรากฏการณ์และสรรพสิ่ง คือแม้แต่แค่อะไร-จะเป็นยังไง-เพราะอะไร ฯลฯ ..ดูมีแนวโน้มเชิงนัยว่าเป็นปรากฏการณ์ที่มีแรงโน้มถ่วงอยู่เป็นปฐมทั้งสิ้น)
////////////
อากาศยานโดรนสัญชาติอินเดียในต้นเรื่องนั้น
สคริปต์เก่าที่หลุดออกมาในเน็ตจะเป็นรัสเซีย
แต่รัสเซียถูกเปลี่ยนไปอ้างอิงในทิศทางอื่นแทน
และะหน้าหนังที่ฉาย..ฉากการบังคับโดรนด้วยคลื่นวิทยุนั้น (คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า)
ถือว่าสปอยล์แนวคิดหนึ่งของเหตุการณ์ในหลุมดำตอนท้ายเรื่องอย่างตรงไปตรงมา.
(แถมมองให้ดีไม่ได้ต่างกับการที่เราคลิกเมาส์บนคอมพิวเตอร์ส่งข้อมูลแสงผ่านเครือข่ายอินเตอร์เน็ตบนโลกด้วย มันข้ามทั้ง Space และ Time ระหว่างทวีปได้จริง)
โดยทั่วไปแล้ว ถ้าคำนึงว่ามนุษย์นั้นอยู่ในระบบ "สุริยะจักรวาล" ..
การอ้างอิงสุริยะเทพของคนโบราณนั้น เป็นอารยธรรมร่วมหรือแนวคิดร่วมไปทั่วโลก
และแนวคิดเรื่อง "Aryan Race" เองก็ถูกอ้างอิงจากหลายอารยธรรมชนชาติ
ภาพยนตร์ INTERSTELLAR จึงดูเหมือนนาฏกรรมเล่าเรื่อง Aryan Race แบบหนึ่ง
ที่ลูกหลานของของสุริยะเทพ (มนุษยชาติ) จะออกเดินทางแสวงหาโลกใหม่
////////////
ประเด็นศาสนาคริสต์ ในตัวละคร Cooper ที่อ้างอิง Murph ส่วนหนึ่ง..
- ฉากบนยานสำรวจ หลังการหลับจำศีลช่วงแรก, คูเปอร์เดินไปในห้องพักที่รอมิลีนั่งอยู่กับเตียง
- คูเปอร์ในเสื้อสีขาวคลุมผ้าห่มลูกสาวสีแดง ..เสื้อขาวผ้าคลุมแดงนี้ทางคริสตศิลป์หมายถึงพระเยซูหลังฟื้นคืนพระชนม์ [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
- เป็นการสนทนาสัจจธรรมเกี่ยวกับเรือ ระหว่างนักบินและลูกเรือ [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ส่วนที่ถูกจัดปลีกไว้
- Project: Lazarus. แต่ตัวดร.แมนน์ไม่ได้แทนลาซารัสตรง ๆ ..ชื่อตัวละครจะใบ้ว่าแทนมนุษย์โดยทั่วไปแต่มีบทบาทเชิงสัญลักษณ์ [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
การเปรียบเปรยถึงพระเจ้านั้น บทภาพยนตร์วางโมเดลดังนี้..
- ฉากสนทนาระหว่างคูเปอร์และรอมิลีข้างต้น
- พระเยซูหลังฟื้นพระชนม์: คูเปอร์.. จากนักบินอวกาศ-เป็นกสิกร-แล้วกลับมาเป็นนักบินอวกาศเหมือนเดิม มีการบอกว่าตัวเองเป็น engineer อยู่ด้วยในไดอะล็อกช่วงหนึ่ง ซึ่ง engineer โดยนัยนั้นทำงานในเอกภพที่ Architect [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ สร้างขึ้นแล้ว
- พระเจ้าคือผู้สร้าง, โลกคือเรือ (หรือเรืออวกาศ, ยานสำรวจ), พระเยซูคือนักบิน, มนุษย์คือลูกเรือ
- หมายความส่วนหนึ่งของบรรทัดบน ถูกใช้ในฉากระเบิดบนวงโคจรนอกดาว Mann [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
- พระเจ้า VS. 'They / Them' ..ถ้าจับเรื่อง "จำนวน" จะเข้าใจไม่ยาก ว่า they ไม่ใช่พระเจ้า แต่เป็นมวลมนุษย์เองในวันนึง [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
////////////
Singularity สำหรับเนื้อเรื่องของภาพยนตร์ INTERSTELLAR.
วันที่คำที่ได้พูด ได้รับความเข้าใจจากภายในถึงความหมายและหมายความ
..จนพายุแห่งความไม่เข้าใจนั้นสงบลงจาก ณ ใจกลางของผู้รับสาส์น. เป็นสภาวะรู้ไปสู่การบันดาลใจและปัญญา
/// เมิร์ฟ: สิ่งที่หนูพูด..พ่อไม่เข้าใจ,
คูเปอร์: สิ่งที่พ่อบอกลูก..ลูกจะเข้าใจมันในวันนึง ///
จงศรัทธาแม้จะเย็นชาและโหดร้าย เหมือนพระเจ้าศรัทธาในมนุษย์แม้ความตายเป็นสิ่งชวนให้ด่าทอต่อพระเจ้า ..สิ่งที่จำเป็นต้องทำบางอย่าง แม้น่ารังเกียจและท้าทายต่อศรัทธาทั้งปวง ก็ต้องทำ
กฏของเมอร์ฟี่: What-ever can happen will happen if we make trials enough. // อะไรก็ตามแต่ที่มันสามารถจะเกิดมันก็จะเกิด หากเราได้พยายามมาหลายครั้งเพื่อเลี่ยงมันมาอย่างเพียงพอแล้ว. //
ถ้ามันผิดได้ มันก็ผิดได้ ..การพยายามยั้งไม่ให้มันเกิดผิด..ก็ทำได้ไประยะหนึ่ง..ซึ่งถ้าพอแล้วและหยุดลงเมื่อไร..การผิดได้ของมันนั้นก็จะเกิดขึ้นมา //
/ ยางรถยนต์มันแตกได้ ..เพราะงั้นวันนึงมันจะแตก /.
- ความตายเป็นสิ่งแน่แท้สำหรับทุกการเกิด ..เพราะงั้นวันนึงเราจะตาย
/// สิ่งที่สามารถเข้าใจได้ ..เพราะงั้นวันนึงเราจะเข้าใจ ///.
และจุดนั้นเวลาจะมาบรรจบกันใน 'มิติความหมาย' ..คือ Singularity.
////////////////////////
ของแถม: บทกวีที่ Prof.Brand กล่าวในเรื่อง
"Do not go gentle into that good night" โดย Dylan Thomas (1914 - 1953).
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
คำว่า That good night หมายถึงคืน (นั้น) สุดท้ายของการนอนหลับ คือความตายนั่นเอง
ความหมายในภาพรวม คือ มนุษย์ไม่ควรศิโรราบต่อความตายโดยง่าย..ถ้าทระนงว่าตนมีปัญญา
บทกวีนี้เป็นเหมือน "ความคิด" ของโปรเจคท์ลาซารัส ซึ่งขับเคลื่อนและขับกวีโดย Prof.Brand
.
..อันย้อนแย้งชัดเจนต่อ "กฏของเมอร์ฟี่" // เราจึงเห็นฉากที่ Prof.Brand ตัดสินใจสารภาพกับ Murphy (Cooper) โดยตรง. //
END.