สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 11
แปลกแฮะ ผมกลับรู้สึกว่าInterstellarทำได้สนุกกว่าและทำได้ดีกว่าGravityในทุกๆส่วนนะ ส่วนตัวผมคิดแบบนี้
- Gravity มันเดินเรื่องแบบชั่วโมงต่อชั่วโมง นาทีต่อนาที เน้นบีบคั้นอารมณ์เอาชีวิตรอด แต่ฉากส่วนใหญ่อยู่ที่ยานอวกาศล้วนๆแทบไม่ไปไหนเลย เนื้อเรื่องก็วนเวียนอยู่ที่เดิม แถมเล่าเรื่องไม่ค่อยตรงใจผมเท่าไหร่ ที่สำคัญเรื่องนี้พล็อตเรื่องมันแคบ เล่นกับแรงโน้มถ่วงอย่างเดียวแต่เน้นหนักไปที่การบีบคั้นอารมณ์เอาตัวรอด Soundtrackนี่ยิ่งแล้วเลย ไม่ค่อยถูกใจเท่าไหร่ แทบจะเป็นหนังไซไฟเรื่องเดียวที่ผมเฉยๆอ่ะ-*- ขออภัยแฟนๆGravityด้วยนะครับอันนี้ความเห็นส่วนตัวของผมไม่ได้รวมทุกคนนะ
- Interstellar บอกก่อนว่าผมไม่ใช่ติ่งโนแลนนะ แต่ก็พยายามดูเกือบทุกเรื่องของโนแลน เรื่องนี้บอกตามตรงว่าหนักเรื่องทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์มากๆ ไม่ค่อยรู้เรื่องเท่าไหร่ ไม่กระจ่างเรื่องฟิสิกส์เลย-*- แต่ก็ดูๆไปจนจบ อารมณ์ความรู้สึกเป็นหนังไซไฟนอกโลกที่มีความรู้สึกอยู่กึ่งกลางระหว่าง+กับ- จะเศร้าก็ไม่เชิงจะแฮปปี้ก็ไม่เชิง มันดูความรู้สึกซับซ้อนหลายอารมณ์มากๆ แบบมันอึนๆ ซับซ้อนในจิตใจของตัวเอง เหมือนจะเดินก็ไม่เดิน จะหยุดก็ไม่หยุด เรื่องอื่นแฮปปี้ทาง+หมด แต่เรื่องนี้กลับกลางๆ รู้สึกว่าเอาเรื่องยากๆมาเล่าให้คนเข้าใจได้ แม้จะเข้าใจไม่หมดแต่อารมณ์ความรู้สึกค่อนข้างเต็มนะ
- พล็อตเรื่องแยกย่อยเยอะมากๆแถมแต่ละพล็อตย่อยมีเรื่องให้เล่นกับอารมณ์ได้เรื่อยๆไม่หนืดและไม่เนือย พอออกมาจากโรง มองดวงดาวก่อนเลยแล้วคิดถึงบรรยากาศหนังเรื่องนี้ รู้สึกสัมผัสได้ทันทีกับมนุษย์ที่พยายามเอาตัวรอดเมื่อโลกไม่เหลืออะไรให้เรา แต่ดูแล้วมันยากยิ่งกว่าอะไรทั้งสิ้น ต้องสูญเสียอะไรไปบ้าง ต้องใช้เวลานานเท่าไหร่กว่าจะหาคำตอบที่ต้องการได้ จะนานนับปี นับ10ปี นับ100ปี ความอ้างว้าง ความเดียวดาย ความโดดเดี่ยว ความยากลำบากกับการเดินทางผ่านห้วงเวลาต่างๆ
- อารมณ์ความรู้สึก+เรื่องราวทางวิทยาศาสตร์ เรียกว่าองค์ประกอบครบทุกด้านสำหรับผม ไม่ใช่หนังยิงกัน มันส์เอาฮา ระเบิดตู้มต้าม แต่มันคนละด้านกับหนังไซไฟเรื่องอื่นๆ
สรุป - Interstellarดีกว่าGravityในความคิดผมค่อนข้างมาก Gravityถ้าใครลุ้นกับฉากเอาตัวรอดของนางเอกก็ถือว่าสนุก แต่คนที่ดูแล้วไม่ค่อยรู้สึกลุ้นกับนางเอกอย่างผม เลยมองว่ามันเนือยมากๆ ที่สำคัญจุดแตกต่างที่ชัดเจนมากๆสำหรับผมอีกจุดหนึ่งคือ Soundtrack Hans zimmerทำให้หนังเรื่องนี้มีความรู้สึกที่หนักทางวิทยาศาสตร์มากๆผ่านเสียงดนตรีประกอบภาพยนตร์ ซึ่งมันสัมผัสได้ทางความรู้สึก ไม่ใช่ผ่านทางสมอง มันเหมือนกับคนอื่นๆนั่งเรียนฟิสิกส์โดยมีครูสอน แต่อีกคนนั่งฟังเพลงโดยเนื้อเพลงเป็นฟิสิกส์ ซึ่งอารมณ์ทางหนึ่งมันดูยากๆเข้าใจยากๆ สัมผัสได้ยากต้องตั้งใจมากๆ แต่อีกอันมันดูเข้าใจง่ายไม่ซับซ้อน สัมผัสฟิสิกส์ได้เต็มที่
- Gravity มันเดินเรื่องแบบชั่วโมงต่อชั่วโมง นาทีต่อนาที เน้นบีบคั้นอารมณ์เอาชีวิตรอด แต่ฉากส่วนใหญ่อยู่ที่ยานอวกาศล้วนๆแทบไม่ไปไหนเลย เนื้อเรื่องก็วนเวียนอยู่ที่เดิม แถมเล่าเรื่องไม่ค่อยตรงใจผมเท่าไหร่ ที่สำคัญเรื่องนี้พล็อตเรื่องมันแคบ เล่นกับแรงโน้มถ่วงอย่างเดียวแต่เน้นหนักไปที่การบีบคั้นอารมณ์เอาตัวรอด Soundtrackนี่ยิ่งแล้วเลย ไม่ค่อยถูกใจเท่าไหร่ แทบจะเป็นหนังไซไฟเรื่องเดียวที่ผมเฉยๆอ่ะ-*- ขออภัยแฟนๆGravityด้วยนะครับอันนี้ความเห็นส่วนตัวของผมไม่ได้รวมทุกคนนะ
- Interstellar บอกก่อนว่าผมไม่ใช่ติ่งโนแลนนะ แต่ก็พยายามดูเกือบทุกเรื่องของโนแลน เรื่องนี้บอกตามตรงว่าหนักเรื่องทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์มากๆ ไม่ค่อยรู้เรื่องเท่าไหร่ ไม่กระจ่างเรื่องฟิสิกส์เลย-*- แต่ก็ดูๆไปจนจบ อารมณ์ความรู้สึกเป็นหนังไซไฟนอกโลกที่มีความรู้สึกอยู่กึ่งกลางระหว่าง+กับ- จะเศร้าก็ไม่เชิงจะแฮปปี้ก็ไม่เชิง มันดูความรู้สึกซับซ้อนหลายอารมณ์มากๆ แบบมันอึนๆ ซับซ้อนในจิตใจของตัวเอง เหมือนจะเดินก็ไม่เดิน จะหยุดก็ไม่หยุด เรื่องอื่นแฮปปี้ทาง+หมด แต่เรื่องนี้กลับกลางๆ รู้สึกว่าเอาเรื่องยากๆมาเล่าให้คนเข้าใจได้ แม้จะเข้าใจไม่หมดแต่อารมณ์ความรู้สึกค่อนข้างเต็มนะ
- พล็อตเรื่องแยกย่อยเยอะมากๆแถมแต่ละพล็อตย่อยมีเรื่องให้เล่นกับอารมณ์ได้เรื่อยๆไม่หนืดและไม่เนือย พอออกมาจากโรง มองดวงดาวก่อนเลยแล้วคิดถึงบรรยากาศหนังเรื่องนี้ รู้สึกสัมผัสได้ทันทีกับมนุษย์ที่พยายามเอาตัวรอดเมื่อโลกไม่เหลืออะไรให้เรา แต่ดูแล้วมันยากยิ่งกว่าอะไรทั้งสิ้น ต้องสูญเสียอะไรไปบ้าง ต้องใช้เวลานานเท่าไหร่กว่าจะหาคำตอบที่ต้องการได้ จะนานนับปี นับ10ปี นับ100ปี ความอ้างว้าง ความเดียวดาย ความโดดเดี่ยว ความยากลำบากกับการเดินทางผ่านห้วงเวลาต่างๆ
- อารมณ์ความรู้สึก+เรื่องราวทางวิทยาศาสตร์ เรียกว่าองค์ประกอบครบทุกด้านสำหรับผม ไม่ใช่หนังยิงกัน มันส์เอาฮา ระเบิดตู้มต้าม แต่มันคนละด้านกับหนังไซไฟเรื่องอื่นๆ
สรุป - Interstellarดีกว่าGravityในความคิดผมค่อนข้างมาก Gravityถ้าใครลุ้นกับฉากเอาตัวรอดของนางเอกก็ถือว่าสนุก แต่คนที่ดูแล้วไม่ค่อยรู้สึกลุ้นกับนางเอกอย่างผม เลยมองว่ามันเนือยมากๆ ที่สำคัญจุดแตกต่างที่ชัดเจนมากๆสำหรับผมอีกจุดหนึ่งคือ Soundtrack Hans zimmerทำให้หนังเรื่องนี้มีความรู้สึกที่หนักทางวิทยาศาสตร์มากๆผ่านเสียงดนตรีประกอบภาพยนตร์ ซึ่งมันสัมผัสได้ทางความรู้สึก ไม่ใช่ผ่านทางสมอง มันเหมือนกับคนอื่นๆนั่งเรียนฟิสิกส์โดยมีครูสอน แต่อีกคนนั่งฟังเพลงโดยเนื้อเพลงเป็นฟิสิกส์ ซึ่งอารมณ์ทางหนึ่งมันดูยากๆเข้าใจยากๆ สัมผัสได้ยากต้องตั้งใจมากๆ แต่อีกอันมันดูเข้าใจง่ายไม่ซับซ้อน สัมผัสฟิสิกส์ได้เต็มที่
แสดงความคิดเห็น
หมัดต่อหมัด Gravity vs. Interstella (spoil)
โดยส่วนตัวแล้ว ชอบ Gravity มากกว่า ในแง่ว่ายังสโคปอยู่ในเนื้อหาที่เรารู้จัก ไม่ไกลกว่านั้น และหนังตอกเราติดเก้าอี้ ปวดอึปวดฉี่ก็ไม่กล้าลุกไปไหนและฉากทุกฉากของ Gravity แทบจะเรียกว่า "ไม่มีไม่ได้"
แต่ Interstellar บางฉากผมว่าตัดทิ้งก็ได้นะ [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ตอนออกมาจากโรง ก็คิดในใจ เรื่องหลังนี่มันยอดว่ะ ภาพสวยว่ะ ล้ำลึกเหลือเกิน
แต่พอมานึก ๆ หลาย ๆ องค์ประกอบแล้ว ผมว่า Gravity นี่ตอกผมติดเก้าอี้มากกว่าจริง ๆ คือไม่กล้าลุก มือเปียกเหงื่อ ใจสั่นตามไปกับตัวละครทุกคน แต่เรื่องหลังอาจจะมีประเด็นที่อยากจะพูดเยอะ เยอะจนกลายเป็นบางช่วงรู้สึกง่วงเอา