คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 15
ในโลกนี้วิชาลูกเสือนั้นเป็นวิชาเลือกให้เด็กเลือกเรียนทั้งนั้น แต่มีอยู่ 2 ประเทศที่วิปริตผิดมนุษย์มนาเอาวิชาลูกเสือและยุวกาชาด-เนตรนารีมาบังคับให้เด็กทุกคนต้องเรียน นั่นคือไทยและอินโดนีเซีย แถมตอนสัมภาษณ์คนให้สัมภาษณ์พูดอย่างภาคภูมิใจมากว่าการลูกเสือของไทยและอินโดนีเซียมั่นคงที่สุดในโลก
โธ่เอ๊ยมันจะไม่มั่นคงได้ยังไง ก็เล่นบังคับให้เด็กทุกคนต้องเรียนห้ามหือห้ามคัดค้าน พอมีกระแสไม่พอใจก็เอาคำอ้างว่ารัชกาลที่ 6 เป็นผู้ให้กำเนิดลูกเสือมาปิดปาก ทั้งๆที่ความจริงรัชกาลที่ 6 ล้มเลิกเสือป่าไปตั้งแต่ยังไม่สิ้นรัชกาลแล้ว แถมทั้งลูกเสือและเสือป่ารัชกาลที่ 6 ก็ให้สมัครเข้ามาตามสมัครใจ ไม่เคยไปบังคับให้ต้องมาเรียน
แน่จริงลองให้เป็นวิชาเลือกให้เด็กเลือกเองสิว่าจะเรียนรึไม่เรียน ถ้าเด็กจะเรียนก็เลือกเรียนไป เด็กคนไหนไม่ชอบก็ไปเลือกเรียนอย่างอื่น ดูซิว่าจะเหลือเด็กนักเรียนเลือกเรียนถึง 1% มั้ย
โธ่เอ๊ยมันจะไม่มั่นคงได้ยังไง ก็เล่นบังคับให้เด็กทุกคนต้องเรียนห้ามหือห้ามคัดค้าน พอมีกระแสไม่พอใจก็เอาคำอ้างว่ารัชกาลที่ 6 เป็นผู้ให้กำเนิดลูกเสือมาปิดปาก ทั้งๆที่ความจริงรัชกาลที่ 6 ล้มเลิกเสือป่าไปตั้งแต่ยังไม่สิ้นรัชกาลแล้ว แถมทั้งลูกเสือและเสือป่ารัชกาลที่ 6 ก็ให้สมัครเข้ามาตามสมัครใจ ไม่เคยไปบังคับให้ต้องมาเรียน
แน่จริงลองให้เป็นวิชาเลือกให้เด็กเลือกเองสิว่าจะเรียนรึไม่เรียน ถ้าเด็กจะเรียนก็เลือกเรียนไป เด็กคนไหนไม่ชอบก็ไปเลือกเรียนอย่างอื่น ดูซิว่าจะเหลือเด็กนักเรียนเลือกเรียนถึง 1% มั้ย
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 68
สำหรับคนบางกลุ่มเรียนอะไรไปก็โง่
- คณิตศาสตร์ก็บอกเรียนไปก็ไม่ได้ใช้
- ประวัติศาสตร์ก็บอกเรียนไปเพื่ออะไร
- พุทธศาสนามีให้เรียนก็บอกว่าโลกสวย
- เกษตรกรรมเรียนไปก็บอกว่าจบไปไม่ได้ปลูกผัก
- นาฏศิลป์มีเรียนก็หาว่าเชยหัวโบราณ (แต่พอเห็นวัฒนธรรมญี่ปุ่นดันกรี๊ดกราด?)
นี่ลามมาลูกเสืออีก ... เรียนไปก็ไม่ได้ประโยชน์ ร้องเพลงปัญญาอ่อน ไม่เห็นคนในชาติมีวินัยเลย บลา ๆ ๆ ๆ
เอาเถอะไม่ต้องเรียนหรอกครับ อยู่บ้านนั่งทำงานขายตรงหาดาวน์ไลน์บน Facebook ต่อไปเถอะ งานไม่หนักหลอกคนไปวัน ๆ น่าจะเหมาะกับคนไทยบางกล่มที่สุดแล้ว
- คณิตศาสตร์ก็บอกเรียนไปก็ไม่ได้ใช้
- ประวัติศาสตร์ก็บอกเรียนไปเพื่ออะไร
- พุทธศาสนามีให้เรียนก็บอกว่าโลกสวย
- เกษตรกรรมเรียนไปก็บอกว่าจบไปไม่ได้ปลูกผัก
- นาฏศิลป์มีเรียนก็หาว่าเชยหัวโบราณ (แต่พอเห็นวัฒนธรรมญี่ปุ่นดันกรี๊ดกราด?)
นี่ลามมาลูกเสืออีก ... เรียนไปก็ไม่ได้ประโยชน์ ร้องเพลงปัญญาอ่อน ไม่เห็นคนในชาติมีวินัยเลย บลา ๆ ๆ ๆ
เอาเถอะไม่ต้องเรียนหรอกครับ อยู่บ้านนั่งทำงานขายตรงหาดาวน์ไลน์บน Facebook ต่อไปเถอะ งานไม่หนักหลอกคนไปวัน ๆ น่าจะเหมาะกับคนไทยบางกล่มที่สุดแล้ว
ความคิดเห็นที่ 43
ประโยชน์วิชาลูกเสือ
1.สร้างกิจการสร้างงานต่อเนื่อง เศรษฐกิจหมุนเวียนทุกเปิดเทอม
ค่าเครื่องแบบ เข็มขัด หมวก รองเท้า ถุงเท้า ผ้าพันคอ ไม้พลอง ไม้ง่าม ปีๆนึงคงหลักร้อยล้าน
2.ฝึกให้เด็กรู้จักสภาพสังคมไทย จากการก่อกองไฟปลอม ไม้ง่ามที่ใช้งานไม่ได้ และไม้พลองที่ถือไว้แบบมึนๆ
เพลงที่ร้องแบบไม่รู้ความหมาย ไม่ขัดหัวเข็มขัด ลืมเชือกลืมอะไรก็โดนทำโทษ (สมัยผมโดนไม้เรียว)
ทำให้เด็กเติบโตขึ้นเป็นคนดีสมฉายาประเทศตอแแหลแลนด์
3.ได้นำวิชาต่างไปใช้ประโยชน์ในชีวิตประจำวันเช่น การปฐมพยาบาล (เคยเห็นคนไทยปฐมพยาบาลถูกวิธีบ้างมั้ย)
ความมีระเบียบวินัย เข้าคิวรับตั๋วหนังฟรีเป็นระเบียบที่สุดในสามโลก
4.ได้เข้าค่ายทำกิจกรรมต่างมากมายที่แสนสนุกและตื่นเต้น เช่นขัดฉากกินข้าว คลานมุดยางรถยนต์
อาบน้ำ3นาที เสียตังโดดหอ ทำให้ชีวิตวัยรุ่นมีความหมายไม่เสียเปล่า
ดูจากคลิปจะเห็นว่าลูกเสือประเทศอื่นหน่อมแน้มมากสู้ลูกเสือไทยไม่ได้เลย
1.สร้างกิจการสร้างงานต่อเนื่อง เศรษฐกิจหมุนเวียนทุกเปิดเทอม
ค่าเครื่องแบบ เข็มขัด หมวก รองเท้า ถุงเท้า ผ้าพันคอ ไม้พลอง ไม้ง่าม ปีๆนึงคงหลักร้อยล้าน
2.ฝึกให้เด็กรู้จักสภาพสังคมไทย จากการก่อกองไฟปลอม ไม้ง่ามที่ใช้งานไม่ได้ และไม้พลองที่ถือไว้แบบมึนๆ
เพลงที่ร้องแบบไม่รู้ความหมาย ไม่ขัดหัวเข็มขัด ลืมเชือกลืมอะไรก็โดนทำโทษ (สมัยผมโดนไม้เรียว)
ทำให้เด็กเติบโตขึ้นเป็นคนดีสมฉายาประเทศตอแแหลแลนด์
3.ได้นำวิชาต่างไปใช้ประโยชน์ในชีวิตประจำวันเช่น การปฐมพยาบาล (เคยเห็นคนไทยปฐมพยาบาลถูกวิธีบ้างมั้ย)
ความมีระเบียบวินัย เข้าคิวรับตั๋วหนังฟรีเป็นระเบียบที่สุดในสามโลก
4.ได้เข้าค่ายทำกิจกรรมต่างมากมายที่แสนสนุกและตื่นเต้น เช่นขัดฉากกินข้าว คลานมุดยางรถยนต์
อาบน้ำ3นาที เสียตังโดดหอ ทำให้ชีวิตวัยรุ่นมีความหมายไม่เสียเปล่า
ดูจากคลิปจะเห็นว่าลูกเสือประเทศอื่นหน่อมแน้มมากสู้ลูกเสือไทยไม่ได้เลย
ความคิดเห็นที่ 20
ว่ากันตามประโยชน์ ผมขอมองสองแง่
1.แง่ของประโยชน์สำหรับการใช้ชีวิต
ผมว่าลูกเสือเนี่ย ถ้าไม่นับกิจกรรมใดๆ เช่นการนันทนาการ ร้องเพลง การแสดงละคร การกีฬา หรืออื่นใด
ทักษะในวิชาลูกเสือเป็นทักษะพื้นฐานที่คนทั่วๆไปควรรู้และเข้าใจ เพราะสามารถดึงความรู้ความสามารถนำมาใช้ในชีวิตประจำวัน
และพื้นฐานการมีทักษะการเอาชีวิตรอด หรือช่วยชีวิตผู้อื่นได้ครับ
ผมเรียนลูกเสือมาตั้งแต่เด็ก แน่นอน เริ่มต้นจากลูกเสือสำรอง (หมวกแก๊ปพร้อมดาว) ก้าวข้ามเป็นลูกเสือสามัญ (หมวกปีกและตราลูกเสือ) และตามด้วยลูกเสือสามัญรุ่นใหญ่ (หมวกสีเลือดหมูพร้อมตราลูกเสือ) บางคนอาจะเรียนถึงวิสามัญ (หมวกเขียว) บ้างก็อาจจะอยู่เหล่าอากาศ หรือเหล่าสมุทร(ซึ่งผมอยู่มันสามเหล่าลูกเสือครับ) แต่วิชาลูกเสือเนื้อแท้จริงๆ ตามความรู้สึกของผม
"มันคือการเตรียมความพร้อมสำหรับการทำหน้าที่บริการ บำเพ็ญประโยชน์ต่อส่วนรวม และฝึกฝนตนให้มีระเบียบวินัยที่มากขึ้น"
โอเค นอกเรื่องเยอะละ
สรุปในแง่นี้ ผมเห็นประโยชน์ทั้งในการเอาชีวิตรอดเบื้องต้น การหาอาหาร การช่วยเหลือผู้อื่นที่อยู่ในสถานการณ์เสี่ยงและลำบาก การรู้จักผจญภัยและป้องกันภัยตนเอง อาจจะน้องๆ ทหาร แต่ลูกเสือก็กำเนิดมาจากทหารครับ อ้างอิงตามหลักสูตรแล้ว มีวิชาพิเศษในเหล่าลูกเสือที่น่าสนใจและเอามาอ้างอิงได้ ผมอาจจะเรียกไม่ถูกต้องตามชื่อวิชาจริงๆ แต่เท่าที่ผมทราบและเคยเรียนและได้รับมา
ก็มี นักบุกเบิก หัวหน้าคนครัว ผู้จัดการค่ายพักแรม นักอนุรักษ์ธรรมชาติ นักสะกดรอย นักเดินทางไกล การพยาบาล นักผจญภัย นักสะสม นักดาราศาสตร์ ผู้พิทักษ์ป่า นักแสดง
ส่วนใหญ่ก็แค่บอกว่ามีความสามารถอะไรจากการที่ได้เรียนลูกเสือ และได้รับการอบรมมาเท่านั้นครับ ซึ่งมีหลายอย่างมาก
แต่มันจะไม่มีประโยชน์ถ้าเลิกเรียนออกมาแล้วไม่ได้ใช้ แน่นอนผมสานต่อวิชาลูกเสือในพื้นที่ของ "นักศึกษาวิชาทหาร" ครับ
ดังนั้นความรู้หลายๆอย่างอาจไม่ได้หายไปเท่าที่ยังคงได้ใช้มันครับ
2.แง่ของการทำให้คนรู้จักเอื้อเฟื้อต่อส่วนรวม
ผมคงปฏิเสธไม่ได้ว่าทุกวันนี้บ้านเราขาดเรื่องนี้เยอะ ผมเข้าใจ ใครๆ ก็อยากสบาย ใครๆก็อยากจะให้สิ่งที่สบายๆกับตนเอง
แต่ก็ลืมที่จะมองคนรอบด้าน ว่าเราทำความเดือดร้อนให้ใครบ้างหรือเปล่า
ถ้าถามถึงว่ามันช่วยอะไร
อย่างน้อยก็ปลูกจิตสำนึกของความเป็นผู้บำเพ็ญประโยชน์ครับ ไม่ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน ทำให้ตนเองมีคุณค่า มีจิตสาธารณะ เอื้อเฟื้อแก่ผู้อื่น
แม้เนื้อแท้ลูกเสือจะไม่ได้ถูกก่อตั้งมาเพื่อจุดประสงค์เชิงสันติ แต่หลักการและหลักนิยมของลูกเสือก็ยังคงเห็นประโยชน์ต่อส่วนรวมเป็นสำคัญครับ
นั่นจึงเป็นประโยชน์อีกแง่ที่ผมเห็นจากลูกเสือครับ ที่เหลือก็ขึ้นอยู่กับผู้เรียนครับ
ส่วนประโยชน์ที่ผมนึกออกอีกอย่าง คงเป็นเรื่องความมั่นคงในประเทศครับ ลูกเสือเองก็มีบทบาทคล้ายๆกับกองกำลังติดอาวุธเช่นอาสาป้องกันชาติหรือทหารพรานครับ เพียงแต่คงไม่มีใครส่งเด็กไปจับอาวุธปกป้องประเทศเหมือนกิจการใดๆ ตามที่ผมกล่าวถึงครับ
กรณีนี้ก็คงจะเป็นเรื่องของการส่งเสริมความรักชาติไม่แพ้ทหารตำรวจเลยครับ
ต่อกันด้วยเรื่องของกิจการลูกเสือ
ปัจจุบันสำหรับประเทศไทยก็เป็นสำนักงานลูกเสือแห่งชาติครับ คอยจัดกิจกรรมหลายอย่างรวมถึงดำเนินกิจการที่เกี่ยวเนื่องกับกิจการลูกเสือในประเทศอยู่ครับ ส่วนใหญ่แล้วกิจการลูกเสือเท่าที่ผมทราบก็มักจะเป็นอาจารย์จากโรงเรียนเสียเป็นส่วนใหญ่ครับ มีการอบรม การฝึก และมีการประดับเครื่องหมายเหมือนกิจการทหารตำรวจเลยครับ
อาจจะมองตื้นเขินไปบ้าง แต่ผมว่าคงเป็นประโยชน์สำหรับคำถามของเจ้าของกระทู้นะครับ
1.แง่ของประโยชน์สำหรับการใช้ชีวิต
ผมว่าลูกเสือเนี่ย ถ้าไม่นับกิจกรรมใดๆ เช่นการนันทนาการ ร้องเพลง การแสดงละคร การกีฬา หรืออื่นใด
ทักษะในวิชาลูกเสือเป็นทักษะพื้นฐานที่คนทั่วๆไปควรรู้และเข้าใจ เพราะสามารถดึงความรู้ความสามารถนำมาใช้ในชีวิตประจำวัน
และพื้นฐานการมีทักษะการเอาชีวิตรอด หรือช่วยชีวิตผู้อื่นได้ครับ
ผมเรียนลูกเสือมาตั้งแต่เด็ก แน่นอน เริ่มต้นจากลูกเสือสำรอง (หมวกแก๊ปพร้อมดาว) ก้าวข้ามเป็นลูกเสือสามัญ (หมวกปีกและตราลูกเสือ) และตามด้วยลูกเสือสามัญรุ่นใหญ่ (หมวกสีเลือดหมูพร้อมตราลูกเสือ) บางคนอาจะเรียนถึงวิสามัญ (หมวกเขียว) บ้างก็อาจจะอยู่เหล่าอากาศ หรือเหล่าสมุทร(ซึ่งผมอยู่มันสามเหล่าลูกเสือครับ) แต่วิชาลูกเสือเนื้อแท้จริงๆ ตามความรู้สึกของผม
"มันคือการเตรียมความพร้อมสำหรับการทำหน้าที่บริการ บำเพ็ญประโยชน์ต่อส่วนรวม และฝึกฝนตนให้มีระเบียบวินัยที่มากขึ้น"
โอเค นอกเรื่องเยอะละ
สรุปในแง่นี้ ผมเห็นประโยชน์ทั้งในการเอาชีวิตรอดเบื้องต้น การหาอาหาร การช่วยเหลือผู้อื่นที่อยู่ในสถานการณ์เสี่ยงและลำบาก การรู้จักผจญภัยและป้องกันภัยตนเอง อาจจะน้องๆ ทหาร แต่ลูกเสือก็กำเนิดมาจากทหารครับ อ้างอิงตามหลักสูตรแล้ว มีวิชาพิเศษในเหล่าลูกเสือที่น่าสนใจและเอามาอ้างอิงได้ ผมอาจจะเรียกไม่ถูกต้องตามชื่อวิชาจริงๆ แต่เท่าที่ผมทราบและเคยเรียนและได้รับมา
ก็มี นักบุกเบิก หัวหน้าคนครัว ผู้จัดการค่ายพักแรม นักอนุรักษ์ธรรมชาติ นักสะกดรอย นักเดินทางไกล การพยาบาล นักผจญภัย นักสะสม นักดาราศาสตร์ ผู้พิทักษ์ป่า นักแสดง
ส่วนใหญ่ก็แค่บอกว่ามีความสามารถอะไรจากการที่ได้เรียนลูกเสือ และได้รับการอบรมมาเท่านั้นครับ ซึ่งมีหลายอย่างมาก
แต่มันจะไม่มีประโยชน์ถ้าเลิกเรียนออกมาแล้วไม่ได้ใช้ แน่นอนผมสานต่อวิชาลูกเสือในพื้นที่ของ "นักศึกษาวิชาทหาร" ครับ
ดังนั้นความรู้หลายๆอย่างอาจไม่ได้หายไปเท่าที่ยังคงได้ใช้มันครับ
2.แง่ของการทำให้คนรู้จักเอื้อเฟื้อต่อส่วนรวม
ผมคงปฏิเสธไม่ได้ว่าทุกวันนี้บ้านเราขาดเรื่องนี้เยอะ ผมเข้าใจ ใครๆ ก็อยากสบาย ใครๆก็อยากจะให้สิ่งที่สบายๆกับตนเอง
แต่ก็ลืมที่จะมองคนรอบด้าน ว่าเราทำความเดือดร้อนให้ใครบ้างหรือเปล่า
ถ้าถามถึงว่ามันช่วยอะไร
อย่างน้อยก็ปลูกจิตสำนึกของความเป็นผู้บำเพ็ญประโยชน์ครับ ไม่ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน ทำให้ตนเองมีคุณค่า มีจิตสาธารณะ เอื้อเฟื้อแก่ผู้อื่น
แม้เนื้อแท้ลูกเสือจะไม่ได้ถูกก่อตั้งมาเพื่อจุดประสงค์เชิงสันติ แต่หลักการและหลักนิยมของลูกเสือก็ยังคงเห็นประโยชน์ต่อส่วนรวมเป็นสำคัญครับ
นั่นจึงเป็นประโยชน์อีกแง่ที่ผมเห็นจากลูกเสือครับ ที่เหลือก็ขึ้นอยู่กับผู้เรียนครับ
ส่วนประโยชน์ที่ผมนึกออกอีกอย่าง คงเป็นเรื่องความมั่นคงในประเทศครับ ลูกเสือเองก็มีบทบาทคล้ายๆกับกองกำลังติดอาวุธเช่นอาสาป้องกันชาติหรือทหารพรานครับ เพียงแต่คงไม่มีใครส่งเด็กไปจับอาวุธปกป้องประเทศเหมือนกิจการใดๆ ตามที่ผมกล่าวถึงครับ
กรณีนี้ก็คงจะเป็นเรื่องของการส่งเสริมความรักชาติไม่แพ้ทหารตำรวจเลยครับ
ต่อกันด้วยเรื่องของกิจการลูกเสือ
ปัจจุบันสำหรับประเทศไทยก็เป็นสำนักงานลูกเสือแห่งชาติครับ คอยจัดกิจกรรมหลายอย่างรวมถึงดำเนินกิจการที่เกี่ยวเนื่องกับกิจการลูกเสือในประเทศอยู่ครับ ส่วนใหญ่แล้วกิจการลูกเสือเท่าที่ผมทราบก็มักจะเป็นอาจารย์จากโรงเรียนเสียเป็นส่วนใหญ่ครับ มีการอบรม การฝึก และมีการประดับเครื่องหมายเหมือนกิจการทหารตำรวจเลยครับ
อาจจะมองตื้นเขินไปบ้าง แต่ผมว่าคงเป็นประโยชน์สำหรับคำถามของเจ้าของกระทู้นะครับ
ความคิดเห็นที่ 56
มีไว้ทำอะไรก็พอรู้และเข้าใจกับคอมเมนต์บนๆ
ขออนุญาตเล่าหน่อย เรียนมาตั้งแต่ ป.1 - ม.3 นี่ ไม่เคยชอบเลย เหมือนโดนบังคับ
คือพื้นฐานจิตใจคนมันมีสำนึกผิดชอบช่วยดีรู้จักช่วยเหลืออยู่แล้ว อาจจะมากหรือน้อยแล้วแต่คนไป แต่มาโดนบังคับหลายๆ อย่างในวิชานี้ บวกกับปัญหาแทรกซ้อนต่างๆ ทำให้เกลียดมาก รู้สึกเหมือนเป็นไทตอนที่จบ (สักที)
ไม่ใช่ว่าวิชานี้มันไม่ดี แต่จะเอามาใส่ในหลักสูตรทั้งทีน่าจะมีอะไรมาควบคุมให้ดีหน่อย
แถมสังคมมันเปลี่ยนไป น่ากลัวด้วย
- - -
ตอนประถมโดนบังคับให้ไล่เก็บขยะข้างทางที่เป้นพงหญ้ารกๆ ตั้งแต่หน้าปากซอยถึงโรงเรียน (500 ม.) ถ้าคุณครูเดินตรวจเจอขยะอยู่จะโดนทำโทษให้ลุกนั่งชิ้นละ 10 ครั้ง แล้วตรงนั้นมันมีคอนโดขึ้นเกลื่อน คนพลุกพล่าน เก็บให้ตายยังไงก็ไม่หมด โดนลุกนั่งทุกสัปดาห์
พอเรียนจบสอบเข้าที่ใหม่ได้มีเรียนลูกเสืออีก ต้องใช้ไม้พลองต่อ กลับโดนทางโรงเรียนยึดไป ทั้งๆ ที่เป็นเงินของผู้ปกครองจ่ายต่างหากสำหรับอุปกรณ์ชิ้นนี้ ไปทวงคืนก็ไม่ให้กลับ บอกว่าจะให้รุ่นน้องใช้ต่อ โดนสอนอีกว่า ควรจะรู้จักเอื้อเฟื้อให้รุ่นน้องบ้างนะ
เอ๊าาา...
มัธยมไปเข้าค่ายแถวอีสาน มีโรงเรียนชายล้วนโรงเรียนอื่นมาที่ค่ายพร้อมๆ กันด้วย แล้วเห็นโรงเรียนนั้นชอบมานั่งสูบบุหรี่กันตรงหน้าห้องอาบน้ำผู้หญิง เรากับเพื่อนๆ ก็เลยตัดสินใจแบกชุดแต่งตัวเข้าไปแต่งในนั้นเลย จะได้ไม่ต้องนุ่งผ้าถุงเข้าออกไปยังอาคารที่พัก มันน่าเกลียดและรู้สึกไม่ปลอดภัย
ระหว่างเดินเข้าเจออาจารย์ผู้ชายถามว่าทำไมแค่เข้าห้องน้ำต้องบ้าหอบฟางด้วย เพื่อนเราเลยบอกเหตุผลไป กลับโดนว่ากลับมาว่าเป็นแค่ข้ออ้าง แอบพกเครื่องสำอางเข้าไปเสริมสวยมากกว่า (โรงเรียนห้ามไม่ให้พก) สุดท้ายคือพวกเราต้องนุ่งผ้าถุงเดินไป-กลับ ตอนเดินผ่านกลุ่มเด็กผู้ชายก็โดนแซว ไม่ก็มีบางคนลุกขึ้นเหมือนจะเดินตามมา พอวิ่งหนีก็ยืนประสานเสียงหัวเราะกัน แต่เราโคตรกลัวเลย
นี่มาค่ายลูกเสือนะ ทำไมยังเจออะไรแบบนี้ ไม่มีการควบคุมตรวจตราอะไรทั้งนั้น เด็กไม่มีความสุขความสบายใจในการเรียนรู้
เวลาทำกิจกรรมอะไรโลดโผนหรือส่อถึงความไม่เท่าเทียมทางเพศนี่ก็ปล่อยให้เด็กรู้สึกไม่ดีไปอย่างนั้นแหละ ไม่มีมาตรการอะไรควบคุมเลย มีแบบนี้อย่ามีดีกว่า
ขออนุญาตเล่าหน่อย เรียนมาตั้งแต่ ป.1 - ม.3 นี่ ไม่เคยชอบเลย เหมือนโดนบังคับ
คือพื้นฐานจิตใจคนมันมีสำนึกผิดชอบช่วยดีรู้จักช่วยเหลืออยู่แล้ว อาจจะมากหรือน้อยแล้วแต่คนไป แต่มาโดนบังคับหลายๆ อย่างในวิชานี้ บวกกับปัญหาแทรกซ้อนต่างๆ ทำให้เกลียดมาก รู้สึกเหมือนเป็นไทตอนที่จบ (สักที)
ไม่ใช่ว่าวิชานี้มันไม่ดี แต่จะเอามาใส่ในหลักสูตรทั้งทีน่าจะมีอะไรมาควบคุมให้ดีหน่อย
แถมสังคมมันเปลี่ยนไป น่ากลัวด้วย
- - -
ตอนประถมโดนบังคับให้ไล่เก็บขยะข้างทางที่เป้นพงหญ้ารกๆ ตั้งแต่หน้าปากซอยถึงโรงเรียน (500 ม.) ถ้าคุณครูเดินตรวจเจอขยะอยู่จะโดนทำโทษให้ลุกนั่งชิ้นละ 10 ครั้ง แล้วตรงนั้นมันมีคอนโดขึ้นเกลื่อน คนพลุกพล่าน เก็บให้ตายยังไงก็ไม่หมด โดนลุกนั่งทุกสัปดาห์
พอเรียนจบสอบเข้าที่ใหม่ได้มีเรียนลูกเสืออีก ต้องใช้ไม้พลองต่อ กลับโดนทางโรงเรียนยึดไป ทั้งๆ ที่เป็นเงินของผู้ปกครองจ่ายต่างหากสำหรับอุปกรณ์ชิ้นนี้ ไปทวงคืนก็ไม่ให้กลับ บอกว่าจะให้รุ่นน้องใช้ต่อ โดนสอนอีกว่า ควรจะรู้จักเอื้อเฟื้อให้รุ่นน้องบ้างนะ
เอ๊าาา...
มัธยมไปเข้าค่ายแถวอีสาน มีโรงเรียนชายล้วนโรงเรียนอื่นมาที่ค่ายพร้อมๆ กันด้วย แล้วเห็นโรงเรียนนั้นชอบมานั่งสูบบุหรี่กันตรงหน้าห้องอาบน้ำผู้หญิง เรากับเพื่อนๆ ก็เลยตัดสินใจแบกชุดแต่งตัวเข้าไปแต่งในนั้นเลย จะได้ไม่ต้องนุ่งผ้าถุงเข้าออกไปยังอาคารที่พัก มันน่าเกลียดและรู้สึกไม่ปลอดภัย
ระหว่างเดินเข้าเจออาจารย์ผู้ชายถามว่าทำไมแค่เข้าห้องน้ำต้องบ้าหอบฟางด้วย เพื่อนเราเลยบอกเหตุผลไป กลับโดนว่ากลับมาว่าเป็นแค่ข้ออ้าง แอบพกเครื่องสำอางเข้าไปเสริมสวยมากกว่า (โรงเรียนห้ามไม่ให้พก) สุดท้ายคือพวกเราต้องนุ่งผ้าถุงเดินไป-กลับ ตอนเดินผ่านกลุ่มเด็กผู้ชายก็โดนแซว ไม่ก็มีบางคนลุกขึ้นเหมือนจะเดินตามมา พอวิ่งหนีก็ยืนประสานเสียงหัวเราะกัน แต่เราโคตรกลัวเลย
นี่มาค่ายลูกเสือนะ ทำไมยังเจออะไรแบบนี้ ไม่มีการควบคุมตรวจตราอะไรทั้งนั้น เด็กไม่มีความสุขความสบายใจในการเรียนรู้
เวลาทำกิจกรรมอะไรโลดโผนหรือส่อถึงความไม่เท่าเทียมทางเพศนี่ก็ปล่อยให้เด็กรู้สึกไม่ดีไปอย่างนั้นแหละ ไม่มีมาตรการอะไรควบคุมเลย มีแบบนี้อย่ามีดีกว่า
ความคิดเห็นที่ 14
แรกเริ่มเดิมทีก็ตามความเห็นที่ 5 เลยครับ
หลังจากนั้นปรากฏว่ากิจการลูกเสือได้รับความนิยมมาก
เพราะอะไรน่ะเหรอ?
เพราะมันเป็นกิจกรรมที่เต็มไปด้วยการผจญภัยครับ
เด็กสมัยนั้นไม่มีเกม ห้าง รึความสนุกอื่นๆให้เสพเหมือนสมัยนี้ครับ
แต่หลังจากนั้น...ตามคำถาม "ตั้งขึ้นเพื่อประโยชน์อะไร"
เมืองนอกผมไม่ทราบ ในเมืองไทยในสมัยก่อตั้งใหม่ๆก็ตามแต่เค้าจะว่ากันไป
แต่ในเมืองไทยสมัยนี้นั้นต้องเรียกว่า "เหตุไปหาผล" ครับ
เรามีหน่วยงานนี้ก่อน แล้วค่อยคิดค่อยโยงว่า "จะเอาไปทำอะไรดี"
ในความเห็นส่วนตัวของผม ผมมองว่ากิจการลูกเสือเป็นประโยชน์ต่อเยาวชนมากครับ
ช่วยส่งเสริมการมีระเบียบวินัยแบบ "คล้อยตามกันไป"
ส่วนที่เค้าว่าสร้างความมีวินัย ฝึกความอดทน สร้างเสริมสามัคคีน่ะ มันเป็นแค่สโลแกนหรูๆ ภาพลวงๆ แบบ "เหตุไปหาผล" ครับ
แต่อย่างน้อยที่สุด เด็กได้ทำกิจกรรมกลางแจ้ง แค่นี้ผมก็ถือว่าดีสำหรับร่างกายเด็กยุคนี้แล้วครับ
ส่วนในแง่อื่น กิจการนี้เป็นแค่ส่วนประกอบให้ผู้หลักผู้ใหญ่ในวงการศึกษาใช้เป็นเครื่องมือทำผลงานเข้าตัวเท่านั้นแหละครับ
ส่วนหน่วยงานที่ดูแลตอนนี้คือ สำนักงานลูกเสือแห่งชาติ
ในส่วนของจังหวัดก็เป็นหน้าที่ของสำนักงานลูกเสือจังหวัด ซึ่งส่วนใหญ่จะมอบหมายให้งานทั้งหมดเป็นหน้าที่ของ
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาจังหวัด
หลังจากนั้นปรากฏว่ากิจการลูกเสือได้รับความนิยมมาก
เพราะอะไรน่ะเหรอ?
เพราะมันเป็นกิจกรรมที่เต็มไปด้วยการผจญภัยครับ
เด็กสมัยนั้นไม่มีเกม ห้าง รึความสนุกอื่นๆให้เสพเหมือนสมัยนี้ครับ
แต่หลังจากนั้น...ตามคำถาม "ตั้งขึ้นเพื่อประโยชน์อะไร"
เมืองนอกผมไม่ทราบ ในเมืองไทยในสมัยก่อตั้งใหม่ๆก็ตามแต่เค้าจะว่ากันไป
แต่ในเมืองไทยสมัยนี้นั้นต้องเรียกว่า "เหตุไปหาผล" ครับ
เรามีหน่วยงานนี้ก่อน แล้วค่อยคิดค่อยโยงว่า "จะเอาไปทำอะไรดี"
ในความเห็นส่วนตัวของผม ผมมองว่ากิจการลูกเสือเป็นประโยชน์ต่อเยาวชนมากครับ
ช่วยส่งเสริมการมีระเบียบวินัยแบบ "คล้อยตามกันไป"
ส่วนที่เค้าว่าสร้างความมีวินัย ฝึกความอดทน สร้างเสริมสามัคคีน่ะ มันเป็นแค่สโลแกนหรูๆ ภาพลวงๆ แบบ "เหตุไปหาผล" ครับ
แต่อย่างน้อยที่สุด เด็กได้ทำกิจกรรมกลางแจ้ง แค่นี้ผมก็ถือว่าดีสำหรับร่างกายเด็กยุคนี้แล้วครับ
ส่วนในแง่อื่น กิจการนี้เป็นแค่ส่วนประกอบให้ผู้หลักผู้ใหญ่ในวงการศึกษาใช้เป็นเครื่องมือทำผลงานเข้าตัวเท่านั้นแหละครับ
ส่วนหน่วยงานที่ดูแลตอนนี้คือ สำนักงานลูกเสือแห่งชาติ
ในส่วนของจังหวัดก็เป็นหน้าที่ของสำนักงานลูกเสือจังหวัด ซึ่งส่วนใหญ่จะมอบหมายให้งานทั้งหมดเป็นหน้าที่ของ
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาจังหวัด
แสดงความคิดเห็น
"ลูกเสือ" มีไว้ทำ เอาไว้ใช้เพื่อประโยชน์อะไร
การจัดตั้งขึ้นเพื่อประโยชน์ส่วนไหนครับ และใครเป็นคนดูแล แล้วคือมีประเทศไหนบ้างตอนนี้ที่มีลูกเสือเหมือนกับไทยเรา
ปล.ไม่เอามุขลูกเสือที่มีสี่ขานะครับ