สวัสดีค่ะ จากกระทู้นี้
http://ppantip.com/topic/32799036 ที่รถเราหายค่ะ เราเลยจะมาเขียนเรื่องสั้นให้ทุกๆท่านฟังคั่นเวลานะคะ
เกือบสองสัปดาห์แล้ว ที่ไม่มีความคืบหน้าอะไรเลย........
ย้อนกลับไปเมื่อประมาณปี 2551 คุณแม่บังคับคุณพ่อซื้อรถ เพื่อที่จะให้แกหัดขับซะ สุดท้ายแกก็ได้มาออกรถ ISUZU DMAX คันนี้ แต่ถามว่าขับมั้ย "ไม่" รถคันนี้เป็นส่วนหนึ่งที่บ่งบอกว่า ชีวิตครอบครัวเรา ดีขึ้นนะ ถึงแม้จะไม่ได้ร่ำรวย มีเบนซ์ มีบีเอ็มขับ แต่เราก็ไม่ได้อดอยากอะไร
ช่วงปีแรกๆ เป็นช่วงที่เรากำลังฝึกงานเพื่อจบปวชพอดี รถคันนี้ยังไม่ใช่ของเราเต็มที่ เราเป็นเหมือนคนขับรถ ที่มีหน้าที่ส่งคุณพ่อไปทำงาน เราก็ไปเรียน และไปฝึกงานด้วย หลายๆคนอาจจะมองว่า เห้ย เด็กมอปลายมีรถขับ เว่อว่ะ ตามสังคมต่างจังหวัด อะนะ ที่จะเน้นแว้นซ์มอไซค์มากกว่า
หลังจากนั้นได้ 1 ปี เราก็ย้ายมาเรียนในกรุงเทพ ซึ่งถามว่าได้เอารถมาใช้มั้ย บอกเลยว่าไม่ คุณพ่อยื่นคำขาด โอเคไม่ก็ไม่ ไม่ได้ซีเรียสอะไร เพราะเราก็ขับรถในกรุงเทพไม่เป็นอยู่แล้ว แต่สองเดือนให้หลังก็ได้มอเตอร์ไซค์ขึ้นรถไฟมากรุงเทพ
อยู่แถวพัฒนาการมาได้หนึ่งปี มีโอกาสใช้รถคือตอนที่กลับบ้าน ไปเที่ยวกับเพื่อน ไปทานข้าว ตามประสาเด็กมหาลัย แต่ก็ต้องนั่งรถทัวร์กลับกรุงเทพอยู่ดี
เข้าปีที่สองย้ายมหาลัย มาอยู่แถวรังสิต กลับบ้านไปคือรถกำลังจะพัง แบตเสื่อม น้ำมันรถเน่า ควันขโมงเลย คราวนี้กลายเป็นเรายื่นคำขาด ถ้าไม่หัดขับ ก็ขายมันซะ อย่ามาจอดให้มันพังอยู่นี่ ได้โอกาสพาคุณพ่อไปพาขับรถ
พาคุณพ่อขับรถครั้งแรก แกน่าจะดื่มเบียร์ไปสองกระป๋อง เลยกล้า พาขึ้นถนนมิตรภาพเลยค้า แกขับเลนซ้ายที่ความเร็ว80 Km/h และนิ่งใช้ได้ เลยคิดว่าเออ คงไม่มีอะไรแล้วล่ะ แต่พอจะเลี้ยวเข้าถนนบ้านเท่านั้นแหละ แกจะหักใส่ไม้กั้นรถไฟ เบรคทัน เราบอก ตามเสต็ป แต่แกบอกไม่แล้ว พ่อใจไม่ดีแล้ว เอ๊า! ซื้อมาทำไมแค่นี้ไม่ใจ สุดท้ายรถนั้นก็เป็นของเรา หึหึ แต่แกก็ติดรถมานะ มากรุงเทพด้วยกันเพื่อจะเช็คว่า เราขับรถในกรุงเทพได้จริงหรือเปล่า เราก็วางแผนการเดินทาง เรียบร้อยไม่มีปัญหา รถเป็นของเรา
ตลอดสี่ปีที่อยู่แถวรังสิต รถคันนี้ได้พาเราไปเจ็ดย่านน้ำ ไปเกือบทั่วประเทศแล้วมั้ง ทั้งระยอง บางแสน นครปฐม เชียงใหม่ เชียงราย แม่สอด และอีกหลายๆจังหวัด แม้กระทั่งก่อนน้ำท่วมใหญ่ที่กรุงเทพ รถคันนี้ยังเคยขนกระสอบทรายไปกั้นน้ำ ขนคนที่จะไปช่วยกรอกกระสอบทรายเพื่อป้องกันน้ำท่วม ไปเที่ยวเชียงใหม่ ระหว่างทางขึ้นเขาน้ำหนาว เจอผู้หญิงสองคนอุ้มลูกคนนึงจูงมอเตอร์ไซค์น้ำมันหมด เรากับเพื่อนช่วยกัน ยกมอไซค์ขึ้นท้ายกระบะ แล้วไปส่งปั้มเลย รถคันนี้เป็นเหมือนเท้า เป็นเหมือนขาที่ไว้ก้าวเดิน เป็นเหมือนครู ที่ทำให้เรา กล้า ไปขับแทกซี่ในกรุงเทพ คือแทบทุกๆวัน รถคันนี้จะพาเราไปทานข้าว ไปทำงาน ไปเรียน คือออกเดินทางทุกวัน
30 กันยายน 2557 วันฝึกงานวันสุดท้าย
หลังจากที่ฝึกงานเสร็จและเตรียมตัวเข้าสู่ชีวิตจริง เราก็ได้ย้ายออกจากหอพัก เนื่องจากว่า เราไม่รู้ว่าเราจะอยู่โซนใหนดีระหว่างดอนเมืองหรือสุวรรณภูมิ ระหว่างนั้นก็เช่าห้องพักราคาถูกไว้เก็บของ และไปนอนกับเพื่อนเพื่อรอพรีเซนต์ฝึกงานและหางาน ไปด้วย
2 พย 57 อยู่กับเพื่อนมาเกือบเดือนแล้ว เตรียมตัวจะย้ายออก ลางบอกเหตุคือ แถวหอเพื่อน (หอพักที่ซอยวิเชียร พหล85 ) ที่มีทางลัดทะลุมาซอยเมืองเอกได้ มันเงียบ เงียบผิดปรกติ ที่จอดรถเรา ซึ่งปรกติมี Dmax ใหม่ Vigo จอดแถวๆนั้นดันไม่มี ประมาณสามทุ่มเราไปทานข้าวกลับมา แล้วก็จอด คิดว่าจะเอาผ้าออกไปซักที่คอนโดเก่า แต่แล้วเราก็ดันหลับไป
คืนนั้นที่เราหลับ เราไม่รู้เลยว่า จะเป็นคืนสุดท้าย ที่รถเรา จะได้อยู่กับเรา
ตื่นขึ้นมาประมาณตี 4 เนื่องจากหลับเร็วเกินไป เลยทำให้เพื่อนที่นอนข้างๆ ตื่นขึ้นมาด้วย ประมาณ 6 โมงเช้าเราเลยชวนกันออกไปหาอะไรกิน พอเดินลัดมาทางซอยเมืองเอกเท่านั้นแหละ ลุงร้านน้ำเต้าหู้ที่เราซื้อประจำถาม เอารถไปจอดใหน
แทบล้มทั้งยืน ที่จอดรถว่างเปล่า แต่กุญแจรถอยู่ในมือ........
ข้าวเขิ้วไม่ทานแล้ว ตั้งสติ หัวใจเต้นแรง ขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อผ้า และนั่งแทกซี่ไปสถานีตำรวจทันที ระหว่างทาง โทรหา จส 100 เพื่อแจ้งไว้ก่อน ตอนนั้นเหมือนมันมีกระแสไฟฟ้าวิ่งในหัวไปหมด คือมันอึ้ง ช้อค ว่าเห้ย รถเราหายจริงๆหรอ ไปสถานีตำรวจ ตำรวจคนที่เขียนบันทึกประจำวันก็กวนบาทามาก อารมณ์นั้นไม่มีอารมณ์จะไปต่อล้อต่อเถียงกับตำรวจคนนั้นแล้ว ทำอะไรตามสเต็ปไป ออกมาจากสภ ก็ราวๆ 9 โมงเช้า ยังช้อคอยู่.... และกลับมาห้อง มาค้นรูป ที่เราเคยมีเคยถ่ายไว้ รับโทรศัพท์จนแบตหมด ไลน์บอกทุกคน
นับตั้งแต่วันที่รถหาย มีหลายคนถามว่า ร้องให้มั้ย เป็นไงบ้าง เป็นห่วงนะ อย่าทำอะไรบ้าๆล่ะ และฉายหนังเรื่องเดิมๆ ซ้ำๆ ให้หลายๆคนที่เป็นห่วงเรา
เพื่อนหลายๆคนโทรมา ถามว่าเรื่องจริงหรอ เพราะเราชอบอัพสเตตัสอำไปเรื่อย เรื่องไร้สาระไปเรื่อยจนหาความจริงจากสเตตัสเราแทบไม่ได้ เราก็ได้แค่คอยเล่าเรื่องซ้ำๆ ไปมา และคอยถามตัวเองหน้ากระจกทุกครั้งว่า รถเราหายจริงๆหรอ เมื่อวานยังขับไปกินข้าวอยู่เลย
หลับตาลงเมื่อใหร่ ก็นึกถึงแต่ตอนที่ลงจากรถ แล้วกดล้อคมัน กุญแจก็ยังอยู่กับตัว แต่รถล่ะ ไปจอดไว้ใหน บางครั้งก็คิดไปว่า สงสัยเอารถไปจอดในมอแล้วลืมมั้ง ไม่ก็จอดไว้ร้านเหล้าแถวรัชดา โผล่มานอนอยู่ห้องผู้ชาย คิดไปน้ำตาก็ตกใน ปวดหัวตุ้บๆ ใช้ชีวิตไปวันๆ ได้ไฟล์กล้องวงจรปิดมา ก็ดูแค่ครั้งเดียว ดูแค่ตอนที่มันเดินข้ามถนนมา 5 นาที มันก็ขับรถเราออกไปทางหมู่บ้านเมืองเอก 5 นาทีเท่านั้นเอง .......
ผ่านมาสองอาทิตย์แล้ว ยังไม่มีความคืบหน้าอะไร ตำรวจ ไม่เคยเลย แม้จะมาดูที่เกิดเหตุ กล้องละแวกนั้น ไม่เคยเลย แม้แต่จะมาขอดู วันแรกที่รถหาย เราเดินไล่ดูกล้องจากร้านแถวๆ นั้น มีส่องถึงบ้างไม่ถึงบ้าง ได้ความร่วมมือบ้างไม่ได้บ้าง สุดแท้แต่กรรมจะกำหนด ทุกอย่างเหมือนมืดแปดด้าน มองไปทางใหนไม่มีแม้แต่โอกาส หรือความหวัง เพื่อนๆญาติพื่น้อง พี่ๆ ส่วนใหญ่ก็ให้กำลังใจ และช่วยแชร์ไปตามเท่าที่ได้ พี่เพื่อนคนใหนมีญาติเป็นตำรวจ ทหารใหญ่ก็ช่วยตามในพื้นที่ๆเขาดูแล ซาบซึ้งใจยิ่งนัก
พ่อ
เราไม่ค่อยคุยกับพ่อแล้วหลังจากวันแรกๆ เรากลัว กลัวที่จะร้องให้ออกมาเวลาคุยกับแก ส่วนใหญ่ก็คุยไลน์กับพ่อเอา บอกตรงๆไม่กล้าคุยจริงๆ แม่ก็ย้ายที่ทำงานก็พักที่บ้านพัก เสาร์อาทิตย์ถึงจะกลับบ้าน แม่บอกว่าพ่อไม่ทานข้าวเลย เป็นห่วงพ่อมาก กลัวพ่อเป็นอะไรไป แต่เราทำอะไรไม่ได้จริงๆ ณ ตรงนี้
เรา
ตอนนี้สภาพจิตใจเราก็ค่อนข้างจะดีขึ้นมาก แต่ก็ยังฝืนยิ้มอยู่ ตั้งแต่เมื่อวาน เราก็อดจะอิจฉาน้องที่โดนขโมยข้าวเหนียวไก่ไม่ได้ แค่ข้าวเหนียวไก่หาย ผู้ว่าถึงขั้นมาเยี่ยมบ้าน นักข่าวถึงขั้นมาทำข่าว แต่เราล่ะ ได้แต่ส่งรูปส่งเรื่องไปขอประกาศกับ จส 100 สวพ 91 แหกกระเฌอเรอร้องไป แม้แต่ตำรวจหรือสายสืบ ก็ไม่มาเหยียบที่เกิดเหตุเลย มีแค่เอาใบขอดูกล้องมาให้ร้านแถวๆนั้น แค่ร้านเดียว แล้วไม่ตามอะไรต่อเลย คงเป็นคดีที่เกิดขึ้นบ่อยมาก จนเหมือนเป็นเรื่องธรรมดาแล้วสินะ สำหรับเรื่องรถหายนี่....
สุดท้ายแล้ว ก็คงจะไม่โทษอะไร คงได้แต่โทษตัวเอง โทษเวร โทษกรรมที่เคยทำมาในอดีตหรือชาติปางก่อนที่มันตามมาเอาคืน หลังจากนี้ คงได้แต่หวังว่า เราจะดีขึ้น มีชีวิตที่ดีขึ้นมากกว่านี้ แต่ก็ยังหวังในระบบยุติธรรม ที่จะได้รถคืนกลับมาอีกครั้ง
ขอบคุณที่รับฟังค่ะ
ชีวิตหลังรถหาย
เกือบสองสัปดาห์แล้ว ที่ไม่มีความคืบหน้าอะไรเลย........
ย้อนกลับไปเมื่อประมาณปี 2551 คุณแม่บังคับคุณพ่อซื้อรถ เพื่อที่จะให้แกหัดขับซะ สุดท้ายแกก็ได้มาออกรถ ISUZU DMAX คันนี้ แต่ถามว่าขับมั้ย "ไม่" รถคันนี้เป็นส่วนหนึ่งที่บ่งบอกว่า ชีวิตครอบครัวเรา ดีขึ้นนะ ถึงแม้จะไม่ได้ร่ำรวย มีเบนซ์ มีบีเอ็มขับ แต่เราก็ไม่ได้อดอยากอะไร
ช่วงปีแรกๆ เป็นช่วงที่เรากำลังฝึกงานเพื่อจบปวชพอดี รถคันนี้ยังไม่ใช่ของเราเต็มที่ เราเป็นเหมือนคนขับรถ ที่มีหน้าที่ส่งคุณพ่อไปทำงาน เราก็ไปเรียน และไปฝึกงานด้วย หลายๆคนอาจจะมองว่า เห้ย เด็กมอปลายมีรถขับ เว่อว่ะ ตามสังคมต่างจังหวัด อะนะ ที่จะเน้นแว้นซ์มอไซค์มากกว่า
หลังจากนั้นได้ 1 ปี เราก็ย้ายมาเรียนในกรุงเทพ ซึ่งถามว่าได้เอารถมาใช้มั้ย บอกเลยว่าไม่ คุณพ่อยื่นคำขาด โอเคไม่ก็ไม่ ไม่ได้ซีเรียสอะไร เพราะเราก็ขับรถในกรุงเทพไม่เป็นอยู่แล้ว แต่สองเดือนให้หลังก็ได้มอเตอร์ไซค์ขึ้นรถไฟมากรุงเทพ
อยู่แถวพัฒนาการมาได้หนึ่งปี มีโอกาสใช้รถคือตอนที่กลับบ้าน ไปเที่ยวกับเพื่อน ไปทานข้าว ตามประสาเด็กมหาลัย แต่ก็ต้องนั่งรถทัวร์กลับกรุงเทพอยู่ดี
เข้าปีที่สองย้ายมหาลัย มาอยู่แถวรังสิต กลับบ้านไปคือรถกำลังจะพัง แบตเสื่อม น้ำมันรถเน่า ควันขโมงเลย คราวนี้กลายเป็นเรายื่นคำขาด ถ้าไม่หัดขับ ก็ขายมันซะ อย่ามาจอดให้มันพังอยู่นี่ ได้โอกาสพาคุณพ่อไปพาขับรถ
พาคุณพ่อขับรถครั้งแรก แกน่าจะดื่มเบียร์ไปสองกระป๋อง เลยกล้า พาขึ้นถนนมิตรภาพเลยค้า แกขับเลนซ้ายที่ความเร็ว80 Km/h และนิ่งใช้ได้ เลยคิดว่าเออ คงไม่มีอะไรแล้วล่ะ แต่พอจะเลี้ยวเข้าถนนบ้านเท่านั้นแหละ แกจะหักใส่ไม้กั้นรถไฟ เบรคทัน เราบอก ตามเสต็ป แต่แกบอกไม่แล้ว พ่อใจไม่ดีแล้ว เอ๊า! ซื้อมาทำไมแค่นี้ไม่ใจ สุดท้ายรถนั้นก็เป็นของเรา หึหึ แต่แกก็ติดรถมานะ มากรุงเทพด้วยกันเพื่อจะเช็คว่า เราขับรถในกรุงเทพได้จริงหรือเปล่า เราก็วางแผนการเดินทาง เรียบร้อยไม่มีปัญหา รถเป็นของเรา
ตลอดสี่ปีที่อยู่แถวรังสิต รถคันนี้ได้พาเราไปเจ็ดย่านน้ำ ไปเกือบทั่วประเทศแล้วมั้ง ทั้งระยอง บางแสน นครปฐม เชียงใหม่ เชียงราย แม่สอด และอีกหลายๆจังหวัด แม้กระทั่งก่อนน้ำท่วมใหญ่ที่กรุงเทพ รถคันนี้ยังเคยขนกระสอบทรายไปกั้นน้ำ ขนคนที่จะไปช่วยกรอกกระสอบทรายเพื่อป้องกันน้ำท่วม ไปเที่ยวเชียงใหม่ ระหว่างทางขึ้นเขาน้ำหนาว เจอผู้หญิงสองคนอุ้มลูกคนนึงจูงมอเตอร์ไซค์น้ำมันหมด เรากับเพื่อนช่วยกัน ยกมอไซค์ขึ้นท้ายกระบะ แล้วไปส่งปั้มเลย รถคันนี้เป็นเหมือนเท้า เป็นเหมือนขาที่ไว้ก้าวเดิน เป็นเหมือนครู ที่ทำให้เรา กล้า ไปขับแทกซี่ในกรุงเทพ คือแทบทุกๆวัน รถคันนี้จะพาเราไปทานข้าว ไปทำงาน ไปเรียน คือออกเดินทางทุกวัน
30 กันยายน 2557 วันฝึกงานวันสุดท้าย
หลังจากที่ฝึกงานเสร็จและเตรียมตัวเข้าสู่ชีวิตจริง เราก็ได้ย้ายออกจากหอพัก เนื่องจากว่า เราไม่รู้ว่าเราจะอยู่โซนใหนดีระหว่างดอนเมืองหรือสุวรรณภูมิ ระหว่างนั้นก็เช่าห้องพักราคาถูกไว้เก็บของ และไปนอนกับเพื่อนเพื่อรอพรีเซนต์ฝึกงานและหางาน ไปด้วย
2 พย 57 อยู่กับเพื่อนมาเกือบเดือนแล้ว เตรียมตัวจะย้ายออก ลางบอกเหตุคือ แถวหอเพื่อน (หอพักที่ซอยวิเชียร พหล85 ) ที่มีทางลัดทะลุมาซอยเมืองเอกได้ มันเงียบ เงียบผิดปรกติ ที่จอดรถเรา ซึ่งปรกติมี Dmax ใหม่ Vigo จอดแถวๆนั้นดันไม่มี ประมาณสามทุ่มเราไปทานข้าวกลับมา แล้วก็จอด คิดว่าจะเอาผ้าออกไปซักที่คอนโดเก่า แต่แล้วเราก็ดันหลับไป
คืนนั้นที่เราหลับ เราไม่รู้เลยว่า จะเป็นคืนสุดท้าย ที่รถเรา จะได้อยู่กับเรา
ตื่นขึ้นมาประมาณตี 4 เนื่องจากหลับเร็วเกินไป เลยทำให้เพื่อนที่นอนข้างๆ ตื่นขึ้นมาด้วย ประมาณ 6 โมงเช้าเราเลยชวนกันออกไปหาอะไรกิน พอเดินลัดมาทางซอยเมืองเอกเท่านั้นแหละ ลุงร้านน้ำเต้าหู้ที่เราซื้อประจำถาม เอารถไปจอดใหน
แทบล้มทั้งยืน ที่จอดรถว่างเปล่า แต่กุญแจรถอยู่ในมือ........
ข้าวเขิ้วไม่ทานแล้ว ตั้งสติ หัวใจเต้นแรง ขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อผ้า และนั่งแทกซี่ไปสถานีตำรวจทันที ระหว่างทาง โทรหา จส 100 เพื่อแจ้งไว้ก่อน ตอนนั้นเหมือนมันมีกระแสไฟฟ้าวิ่งในหัวไปหมด คือมันอึ้ง ช้อค ว่าเห้ย รถเราหายจริงๆหรอ ไปสถานีตำรวจ ตำรวจคนที่เขียนบันทึกประจำวันก็กวนบาทามาก อารมณ์นั้นไม่มีอารมณ์จะไปต่อล้อต่อเถียงกับตำรวจคนนั้นแล้ว ทำอะไรตามสเต็ปไป ออกมาจากสภ ก็ราวๆ 9 โมงเช้า ยังช้อคอยู่.... และกลับมาห้อง มาค้นรูป ที่เราเคยมีเคยถ่ายไว้ รับโทรศัพท์จนแบตหมด ไลน์บอกทุกคน
นับตั้งแต่วันที่รถหาย มีหลายคนถามว่า ร้องให้มั้ย เป็นไงบ้าง เป็นห่วงนะ อย่าทำอะไรบ้าๆล่ะ และฉายหนังเรื่องเดิมๆ ซ้ำๆ ให้หลายๆคนที่เป็นห่วงเรา
เพื่อนหลายๆคนโทรมา ถามว่าเรื่องจริงหรอ เพราะเราชอบอัพสเตตัสอำไปเรื่อย เรื่องไร้สาระไปเรื่อยจนหาความจริงจากสเตตัสเราแทบไม่ได้ เราก็ได้แค่คอยเล่าเรื่องซ้ำๆ ไปมา และคอยถามตัวเองหน้ากระจกทุกครั้งว่า รถเราหายจริงๆหรอ เมื่อวานยังขับไปกินข้าวอยู่เลย
หลับตาลงเมื่อใหร่ ก็นึกถึงแต่ตอนที่ลงจากรถ แล้วกดล้อคมัน กุญแจก็ยังอยู่กับตัว แต่รถล่ะ ไปจอดไว้ใหน บางครั้งก็คิดไปว่า สงสัยเอารถไปจอดในมอแล้วลืมมั้ง ไม่ก็จอดไว้ร้านเหล้าแถวรัชดา โผล่มานอนอยู่ห้องผู้ชาย คิดไปน้ำตาก็ตกใน ปวดหัวตุ้บๆ ใช้ชีวิตไปวันๆ ได้ไฟล์กล้องวงจรปิดมา ก็ดูแค่ครั้งเดียว ดูแค่ตอนที่มันเดินข้ามถนนมา 5 นาที มันก็ขับรถเราออกไปทางหมู่บ้านเมืองเอก 5 นาทีเท่านั้นเอง .......
ผ่านมาสองอาทิตย์แล้ว ยังไม่มีความคืบหน้าอะไร ตำรวจ ไม่เคยเลย แม้จะมาดูที่เกิดเหตุ กล้องละแวกนั้น ไม่เคยเลย แม้แต่จะมาขอดู วันแรกที่รถหาย เราเดินไล่ดูกล้องจากร้านแถวๆ นั้น มีส่องถึงบ้างไม่ถึงบ้าง ได้ความร่วมมือบ้างไม่ได้บ้าง สุดแท้แต่กรรมจะกำหนด ทุกอย่างเหมือนมืดแปดด้าน มองไปทางใหนไม่มีแม้แต่โอกาส หรือความหวัง เพื่อนๆญาติพื่น้อง พี่ๆ ส่วนใหญ่ก็ให้กำลังใจ และช่วยแชร์ไปตามเท่าที่ได้ พี่เพื่อนคนใหนมีญาติเป็นตำรวจ ทหารใหญ่ก็ช่วยตามในพื้นที่ๆเขาดูแล ซาบซึ้งใจยิ่งนัก
พ่อ
เราไม่ค่อยคุยกับพ่อแล้วหลังจากวันแรกๆ เรากลัว กลัวที่จะร้องให้ออกมาเวลาคุยกับแก ส่วนใหญ่ก็คุยไลน์กับพ่อเอา บอกตรงๆไม่กล้าคุยจริงๆ แม่ก็ย้ายที่ทำงานก็พักที่บ้านพัก เสาร์อาทิตย์ถึงจะกลับบ้าน แม่บอกว่าพ่อไม่ทานข้าวเลย เป็นห่วงพ่อมาก กลัวพ่อเป็นอะไรไป แต่เราทำอะไรไม่ได้จริงๆ ณ ตรงนี้
เรา
ตอนนี้สภาพจิตใจเราก็ค่อนข้างจะดีขึ้นมาก แต่ก็ยังฝืนยิ้มอยู่ ตั้งแต่เมื่อวาน เราก็อดจะอิจฉาน้องที่โดนขโมยข้าวเหนียวไก่ไม่ได้ แค่ข้าวเหนียวไก่หาย ผู้ว่าถึงขั้นมาเยี่ยมบ้าน นักข่าวถึงขั้นมาทำข่าว แต่เราล่ะ ได้แต่ส่งรูปส่งเรื่องไปขอประกาศกับ จส 100 สวพ 91 แหกกระเฌอเรอร้องไป แม้แต่ตำรวจหรือสายสืบ ก็ไม่มาเหยียบที่เกิดเหตุเลย มีแค่เอาใบขอดูกล้องมาให้ร้านแถวๆนั้น แค่ร้านเดียว แล้วไม่ตามอะไรต่อเลย คงเป็นคดีที่เกิดขึ้นบ่อยมาก จนเหมือนเป็นเรื่องธรรมดาแล้วสินะ สำหรับเรื่องรถหายนี่....
สุดท้ายแล้ว ก็คงจะไม่โทษอะไร คงได้แต่โทษตัวเอง โทษเวร โทษกรรมที่เคยทำมาในอดีตหรือชาติปางก่อนที่มันตามมาเอาคืน หลังจากนี้ คงได้แต่หวังว่า เราจะดีขึ้น มีชีวิตที่ดีขึ้นมากกว่านี้ แต่ก็ยังหวังในระบบยุติธรรม ที่จะได้รถคืนกลับมาอีกครั้ง
ขอบคุณที่รับฟังค่ะ