เมื่อวานหลังจากที่ทีมรักของเราชื่นมื่นรับเหรียญเกียรติยศสูงสุดของวงการกีฬาจากประธานาธิบดีเยอรมันแล้ว ตกเย็นก็พากันไปชมหนังรอบปฐมทัศน์เรื่อง Die Manschaft ย้อนรำลึกความหลังที่ใช้ชีวิตร่วมกันนานเกือบ 8 อาทิตย์ทั้งที่ออสเตรียและที่คัมโป บาเฮีย ก่อนจะผนึกกำลังหล่อหลอมเป็นหนึ่งเดียวจนคว้าดาวดวงที่ 4 มาประดับเยอรมันท่ามกลางความเบิกบานผาสุกของคนเยอรมันทั่วประเทศ
ตอนรับเหรียญเกียรติยศ นักเตะของเราบางคนได้รับมาหลายครั้งแล้ว อย่างน้ามิโรรับมารวมครั้งนี้เป็นครั้งที่ 5 จนน้าบอกว่าแทบจะเอามาทำพวงหรีดคล้องคอได้แล้ว บรรดานักเตะยุคทองอย่างกัปตันลาห์ม ไชวนี่ แพร์และโพลดี้ก็รับเหรียญกันมาหลายครั้ง แต่ทุกคนต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่ามันแสนจะปลื้ม ครั้งนี้ยิ่งปลื้มหนักเพราะมารับเหรียญพร้อมตำแหน่งแชมป์โลก (ผิดกับครั้งก่อนๆที่มาแบบน้ำตาตกใน) ส่วนคนอื่นๆทั้งที่เพิ่งเคยได้รับเหรียญหรือเคยได้รับมาบ้างแล้วต่างก็ชื่นมืนไม่แพ้กัน บรรยากาศอบอวลไปด้วยความสุขที่ได้รับกียรติยศสูงสุดและได้กลับมาเจอกันอีกครั้งหนึ่ง หลายคนรีบลงรูปในเฟซบุคและเล่าว่าเป็นเกียรตสูงสุดและแสนจะภูมิใจ ฯลฯ แชมป์โลกที่ไม่ได้มาร่วมงานมีแค่ 2 คนคือ แดรกซ์เลอร์ ที่อยู่ในระหว่างการพักรักษาตัวและ เชือร์เล่ ที่บาดเจ็บเหมือนกัน
ประธานาธิยดีเยอรมันกล่าวขอบคุณนักเตะและทีมสตาฟที่นำความสุขมาให้เพื่อนร่วมชาติ และบอกว่า ทีมรักของเราเป็นแชมป์โลกอย่างสง่างามและสมศักดิ์ศรี เป็นแชมป์โลกที่ทุกชาติต่างยอมรับโดยไม่มีข้อกังขาใดๆ ทั้งยอมรับในฝีมือและการวางตนอย่างสุภาพและไร้ที่ติของทีมเรา
หลังจากรับเหรียญเสร็จ นักเตะและทีมโคชก็เริงร่าพากันไปเดินพรมแดงงานเปิดตัวหนังเรื่อง Die Manschaft ที่ตัวเองแสดงเป็นพระเอก มีบรรดาคนดังในหลายวงการและแฟนบอลแห่แหนกันมาดู ทั้งอยากจะดูหนังและอยากใกล้ชิดนักเตะที่ตัวเองปลื้ม บรรยากาศเหมือนเปิดตัวหนังฮอลลีวู๊ดยังไงยังงั้น บรรดาพระเอกทั้งหลายต่างควงเมียควงแฟนมาเดินโปรยยิ้มพร้อมให้สัมภาษณ์ยังกับดารางั้นแหละ ทุกคนปลื้ม สนุกสนานและดีใจที่ได้กลับมารวมตัวกันอีกครั้ง ได้คุยกันถึงวันเวลาแห่งความผาสุกที่คัมโปบาเฮียและช่วงเวลาที่ได้เป็นแชมป์โลก เป็นช่วงเวลาที่ไม่มีวันลืม คิดถึงเมื่อไร ความสุขก็จะบังเกิดขึ้นเมื่อนั้น
เรื่องนี้ต่างกับหนังเรื่อง “เทพนิยายหน้าร้อน” ปี 2006 เพราะเป็นหนังที่เกิดจากความบังเอิญโดยแท้ เรื่องแรกคือการตั้งใจถ่ายเพื่อให้เป็นหนังโรง แต่เรื่องนี้น้าเบียร์โฮฟสั่งให้ช่างภาพของทีมงานเดเอฟเบเก็บภาพเคลื่อนไหวของนักเตะ ทีมโคชและทีมสตาฟเพื่อเก็บไว้เป็นที่ระลึกและไว้เป็นข้อมูลศึกษา แต่น้าเบียร์บอกช่างภาพว่าให้ถ่ายหนังในลักษณะที่เหมือนกับว่านี่คือทีมชาติที่กำลังจะได้เป็นแชมป์โลก น้าบอกว่า “เราก็ฝัน เราก็หวังอยากเป็นแชมป์โลก แต่ในความเป็นจริงมันก็ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ไม่มีใครการันตีได้ว่าเราจะได้เป็นแชมป์ เพราะงั้นพอเราได้แชมป์จริงๆ มันก็กลายป็นหนังสารคดีทั้งเบื้องหน้าเบื้องหลังไปแบบบังเอิญ แต่มันก็เลิศนะ” น้าว่า ช่างภาพได้ติดตามความเคลื่อนไหวของนักเตะและทีมโคชแบบชอตต่อชอต ซึ่งพอถ่ายเสร็จ ก่อนจะตัดต่อก็แน่นอนว่าต้องให้นักเตะดู คือไม่ได้ให้ดูทั้งเรื่อง แต่ให้ดูในส่วนของตัวเองว่าจะยอมให้ฉายใหม พอได้รับอนุญาต ทีมงานช่างภาพก็ไปตัดต่อเพื่อนำออกฉายรอบปฐมทัศน์เมื่อวานนี้ และจะออกฉายทั่วเยอรมันวันพฤหัสที่ 13 เดือนนี้ (เสียดายสุดๆที่จะอดดู เพราะเดินทางไปบ้านวันนั้นพอดี กว่าจะกลับหนังคงออกโรงไปแล้ว แต่ตอนคริสต์มาสก็จะฉายทางทีวีให้แฟนบอลได้ปลื้มกันทั้งประเทศ)
สื่อถามมึนว่า มีฉากตังเองฉากไหนมั่ง มึนว่าที่รู้ก็มีอย่างในตัวอย่างหนังนั่นแหละ นอกนั้นบอกไม่ได้ แต่มีอะไรขำๆเยอะ ดูเอาเองแล้วกัน อ้อ ที่แต่งชุดพื้นเมืองน่ะเพราะแพ้พนันกอล์ฟก็เลยต้องใส่เสิร์ฟอาหารให้เพื่อนๆน่ะ โพลดี้ว่าฉากของตัวเองเท่าที่เห็นก็มีฉากโยนนักข่าวลงสระน้ำ นอกนั้นไม่รู้เหมือนกัน แพร์บอกยิ้มๆว่า ฉากผมให้สัมภาษณ์แบบอารมณ์เสียสุดๆหลังเกมแอลเจเรียน่ะมีแน่ๆ ฉากนี้ใครๆก็ชอบเพราะเป็นการให้สัมภาษณ์แบบที่ออกมาจากใจจริงไม่มีการสร้างภาพแต่อย่างใด
รอน โรเบิร์ต ซีเลอร์ ว่า ความเป็นหนึ่งเดียวของพวกเรามันเหลือเชื่อมาก ผมจำได้ไม่ลืม วันที่เราแข่งกับโปรตุเกส พอมัทส์โหม่งลูกที่ 2 ได้ เขาวิ่งมาหานักเตะสำรอง และพวกเราที่นั่งเชียร์อยู่ก็วิ่งกรูกันไปแสดงความยินดี (โดยมัน้ามิโรวิ่งนำหน้าไปก่อนใคร) ในนาทีนั้น ผมรู้สึกได้ทันทีว่า “ความเป็น “เรา” ความเป็นทีม (Die Manschaft) เกิดขึ้นแล้วจริงๆ
หนังเปิดตัวด้วยคำพูดของ สตีเฟน เจอร์ราด หลังการแข่งขันรอบรองชนะเลิศเยอรมัน-บราซิลที่เราชนะไปด้วยสกอร์ประวัติศาสตร์ 7-1 ว่า “บราซิลมีเนย์มาร์ อาร์เจนตินามีเมสซี โปรตุเกสมีโรนัลโด เยอรมันมีความเป็นทีม” และจบลงด้วยความผาสุกที่เราได้เป็นแชมป์โลกครั้งที่ 4 สร้างประวัติศาสตร์มากมายหลังจากที่รอมานานแสนนานถึง 24 ปี
รอบปฐมทัศน์ภาพยนตร์เรื่อง Die Manschaft (เรื่องบังเอิญแท้ๆ)
ตอนรับเหรียญเกียรติยศ นักเตะของเราบางคนได้รับมาหลายครั้งแล้ว อย่างน้ามิโรรับมารวมครั้งนี้เป็นครั้งที่ 5 จนน้าบอกว่าแทบจะเอามาทำพวงหรีดคล้องคอได้แล้ว บรรดานักเตะยุคทองอย่างกัปตันลาห์ม ไชวนี่ แพร์และโพลดี้ก็รับเหรียญกันมาหลายครั้ง แต่ทุกคนต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่ามันแสนจะปลื้ม ครั้งนี้ยิ่งปลื้มหนักเพราะมารับเหรียญพร้อมตำแหน่งแชมป์โลก (ผิดกับครั้งก่อนๆที่มาแบบน้ำตาตกใน) ส่วนคนอื่นๆทั้งที่เพิ่งเคยได้รับเหรียญหรือเคยได้รับมาบ้างแล้วต่างก็ชื่นมืนไม่แพ้กัน บรรยากาศอบอวลไปด้วยความสุขที่ได้รับกียรติยศสูงสุดและได้กลับมาเจอกันอีกครั้งหนึ่ง หลายคนรีบลงรูปในเฟซบุคและเล่าว่าเป็นเกียรตสูงสุดและแสนจะภูมิใจ ฯลฯ แชมป์โลกที่ไม่ได้มาร่วมงานมีแค่ 2 คนคือ แดรกซ์เลอร์ ที่อยู่ในระหว่างการพักรักษาตัวและ เชือร์เล่ ที่บาดเจ็บเหมือนกัน
ประธานาธิยดีเยอรมันกล่าวขอบคุณนักเตะและทีมสตาฟที่นำความสุขมาให้เพื่อนร่วมชาติ และบอกว่า ทีมรักของเราเป็นแชมป์โลกอย่างสง่างามและสมศักดิ์ศรี เป็นแชมป์โลกที่ทุกชาติต่างยอมรับโดยไม่มีข้อกังขาใดๆ ทั้งยอมรับในฝีมือและการวางตนอย่างสุภาพและไร้ที่ติของทีมเรา
หลังจากรับเหรียญเสร็จ นักเตะและทีมโคชก็เริงร่าพากันไปเดินพรมแดงงานเปิดตัวหนังเรื่อง Die Manschaft ที่ตัวเองแสดงเป็นพระเอก มีบรรดาคนดังในหลายวงการและแฟนบอลแห่แหนกันมาดู ทั้งอยากจะดูหนังและอยากใกล้ชิดนักเตะที่ตัวเองปลื้ม บรรยากาศเหมือนเปิดตัวหนังฮอลลีวู๊ดยังไงยังงั้น บรรดาพระเอกทั้งหลายต่างควงเมียควงแฟนมาเดินโปรยยิ้มพร้อมให้สัมภาษณ์ยังกับดารางั้นแหละ ทุกคนปลื้ม สนุกสนานและดีใจที่ได้กลับมารวมตัวกันอีกครั้ง ได้คุยกันถึงวันเวลาแห่งความผาสุกที่คัมโปบาเฮียและช่วงเวลาที่ได้เป็นแชมป์โลก เป็นช่วงเวลาที่ไม่มีวันลืม คิดถึงเมื่อไร ความสุขก็จะบังเกิดขึ้นเมื่อนั้น
เรื่องนี้ต่างกับหนังเรื่อง “เทพนิยายหน้าร้อน” ปี 2006 เพราะเป็นหนังที่เกิดจากความบังเอิญโดยแท้ เรื่องแรกคือการตั้งใจถ่ายเพื่อให้เป็นหนังโรง แต่เรื่องนี้น้าเบียร์โฮฟสั่งให้ช่างภาพของทีมงานเดเอฟเบเก็บภาพเคลื่อนไหวของนักเตะ ทีมโคชและทีมสตาฟเพื่อเก็บไว้เป็นที่ระลึกและไว้เป็นข้อมูลศึกษา แต่น้าเบียร์บอกช่างภาพว่าให้ถ่ายหนังในลักษณะที่เหมือนกับว่านี่คือทีมชาติที่กำลังจะได้เป็นแชมป์โลก น้าบอกว่า “เราก็ฝัน เราก็หวังอยากเป็นแชมป์โลก แต่ในความเป็นจริงมันก็ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ไม่มีใครการันตีได้ว่าเราจะได้เป็นแชมป์ เพราะงั้นพอเราได้แชมป์จริงๆ มันก็กลายป็นหนังสารคดีทั้งเบื้องหน้าเบื้องหลังไปแบบบังเอิญ แต่มันก็เลิศนะ” น้าว่า ช่างภาพได้ติดตามความเคลื่อนไหวของนักเตะและทีมโคชแบบชอตต่อชอต ซึ่งพอถ่ายเสร็จ ก่อนจะตัดต่อก็แน่นอนว่าต้องให้นักเตะดู คือไม่ได้ให้ดูทั้งเรื่อง แต่ให้ดูในส่วนของตัวเองว่าจะยอมให้ฉายใหม พอได้รับอนุญาต ทีมงานช่างภาพก็ไปตัดต่อเพื่อนำออกฉายรอบปฐมทัศน์เมื่อวานนี้ และจะออกฉายทั่วเยอรมันวันพฤหัสที่ 13 เดือนนี้ (เสียดายสุดๆที่จะอดดู เพราะเดินทางไปบ้านวันนั้นพอดี กว่าจะกลับหนังคงออกโรงไปแล้ว แต่ตอนคริสต์มาสก็จะฉายทางทีวีให้แฟนบอลได้ปลื้มกันทั้งประเทศ)
สื่อถามมึนว่า มีฉากตังเองฉากไหนมั่ง มึนว่าที่รู้ก็มีอย่างในตัวอย่างหนังนั่นแหละ นอกนั้นบอกไม่ได้ แต่มีอะไรขำๆเยอะ ดูเอาเองแล้วกัน อ้อ ที่แต่งชุดพื้นเมืองน่ะเพราะแพ้พนันกอล์ฟก็เลยต้องใส่เสิร์ฟอาหารให้เพื่อนๆน่ะ โพลดี้ว่าฉากของตัวเองเท่าที่เห็นก็มีฉากโยนนักข่าวลงสระน้ำ นอกนั้นไม่รู้เหมือนกัน แพร์บอกยิ้มๆว่า ฉากผมให้สัมภาษณ์แบบอารมณ์เสียสุดๆหลังเกมแอลเจเรียน่ะมีแน่ๆ ฉากนี้ใครๆก็ชอบเพราะเป็นการให้สัมภาษณ์แบบที่ออกมาจากใจจริงไม่มีการสร้างภาพแต่อย่างใด
รอน โรเบิร์ต ซีเลอร์ ว่า ความเป็นหนึ่งเดียวของพวกเรามันเหลือเชื่อมาก ผมจำได้ไม่ลืม วันที่เราแข่งกับโปรตุเกส พอมัทส์โหม่งลูกที่ 2 ได้ เขาวิ่งมาหานักเตะสำรอง และพวกเราที่นั่งเชียร์อยู่ก็วิ่งกรูกันไปแสดงความยินดี (โดยมัน้ามิโรวิ่งนำหน้าไปก่อนใคร) ในนาทีนั้น ผมรู้สึกได้ทันทีว่า “ความเป็น “เรา” ความเป็นทีม (Die Manschaft) เกิดขึ้นแล้วจริงๆ
หนังเปิดตัวด้วยคำพูดของ สตีเฟน เจอร์ราด หลังการแข่งขันรอบรองชนะเลิศเยอรมัน-บราซิลที่เราชนะไปด้วยสกอร์ประวัติศาสตร์ 7-1 ว่า “บราซิลมีเนย์มาร์ อาร์เจนตินามีเมสซี โปรตุเกสมีโรนัลโด เยอรมันมีความเป็นทีม” และจบลงด้วยความผาสุกที่เราได้เป็นแชมป์โลกครั้งที่ 4 สร้างประวัติศาสตร์มากมายหลังจากที่รอมานานแสนนานถึง 24 ปี