ดูหนังเรื่อง Die Mannschaft แล้วน้ำตาก็ไหลอีกรอบ

หลังจากพลาดรอบปฐมทัศน์ก็ตั้งใจรอดูหนังเรื่อง Die Mannschaft ที่จะนำมาฉายทางทีวีช่อง 1 ด้วยใจจดจ่อ

จริงๆแล้วหนังเรื่องนี้ไม่ได้ตั้งใจจะถ่ายเป็นหนังที่ฉายตามโรง แต่เป็นเพียงหนังสารคดีของทีมชาติเยอรมันตั้งแต่ก่อนเดินทางไปแข่งบอลโลก 2014 ที่บราซิลจนสิ้นสุดการเดินทาง ระหว่างการถ่ายหนังก็ไม่มีใครคาดว่าทีมรักของเราจะล้างอาถรรพ์ทวีปอเมริกาใต้จนได้แชมป์ ทีมรักของเราได้แต่หวัง ได้แต่ฝัน และในความฝันของพวกเขา ต่างคนก็ต่างสร้างความสามัคคี พวกเขาต่างปฎิญานตนว่าจะรวมตัวกันเป็น “ทีม” (Die Mannschaft) เพื่อให้เส้นทางสานฝันของพวกเขามีความหวังอันเรืองรอง

บทนำ
หนังเริ่มด้วยการฉายภาพการแข่งขันรอบรองชนะเลิศเยอรมัน-บราซิลที่เราชนะไปถล่มทลาย 7-1 สร้างประวัติศาสตร์และทำให้น้ามิโรของเรากลายเป็นตำนานดาวซัลโวตลอดกาลของบอลโลก ต่อด้วยฉาก“คาเคา”อดีตนักเตะทีมชาติสอนให้เลิฟ ลาห์ม ไชวนี่ ให้พูดประโยคภาษาบราซิลแบบง่ายๆแต่เล่นเอาแต่ละคนลิ้นพันกันจนได้หัวเราะกันสนุกสนาน จากนั้นก็เป็นการถ่ายภาพการฝึกซ้อม ยามว่างของนักเตะ การดูแลสุขภาพนักเตะ การดูแลเสื้อผ้ารองเท้านักเตะ รวมถึงการเดินทางไปกลับเพื่อแข่งขันในแต่ละรอบ

วงล้อแห่งการเดินทาง
วันเวลาได้หมุนย้อนกลับไปสู่วันที่ทีมรักเราไปเข้าค่ายฝึกซ้อมที่ Süd Tirol ในประเทศอิตาลี บรรดานักเตะฝึกซ้อมกันจริงจัง ยามว่างก็พากันไปขี่จักรยานเสริมกำลังน่อง และ ณ. ที่แห่งนี้เองที่ฮันซี่ ฟลิค บอกว่า เขาเริ่มมองเห็นการก่อตัวของพลังสามัคคีของทีมเราซึ่งเป็นจุดผกผันจุดหนึ่งที่ทำให้ความสัมพันธ์ของนักเตะแน่นแฟ้นขึ้นอันนำไปสู่พลังที่ระเบิดเปรี้ยงปร้างออกมาในบอลโลกจนทำให้เราได้แชมป์ในที่สุด

ตามหาดาวดวงที่ 4
แล้วทีมรักของเราก็เหินฟ้าบินสู่บราซิลดินแดนแห่งความงดงามของกีฬาฟุตบอล พวกเขาพากันนั่งแพขนานยนต์ข้ามฟากไปสู่คัมโป บาเฮีย ที่พักที่เยอรมันลงทุนไปสร้างที่แคว้นบาเฮียใกล้เส้นศูนย์สูตรเพื่อเตรียมร่างกายให้พร้อมที่จะสู้กับอากาศร้อนอบอ้าวที่เป็นศัตรูตัวฉกาจของนักเตะจากเมืองหนาว และที่ค่ายฝึกแห่งนี้เองที่น้ามิโรเฝ้ามองเพื่อนนักเตะด้วยความฉงนฉงายว่าพวกเขารวมตัวกันเป็นหนึ่งเดียวได้ยังไงกัน ที่แห่งนี้ได้กลายเป็น”บ้าน”ของนักเตะที่พวกเขาใช้ชีวิตร่วมกันเพื่อเป้าหมายเดียวกัน เพื่อตามหาดาวดวงที่ 4 กลับสู่ประเทศเยอรมัน เมื่อการแข่งขันแต่ละเกมจบลง พวกเขามักจะพูดเสมอว่าเราจะกลับ”บ้าน”กันนะ

ลองเชิงโรนัลโด
หนังฉายให้เห็นการแข่งขันรอบแรกระหว่างเรากับโปรตุเกส ภาพการยิงประตูสำคัญๆ ภาพการต่อสู้พร้อมดนตรีที่ทำให้รู้สึกเหมือนกับว่าเรากำลังย้อนเวลาไปสู่วันเริ่มต้นอีกครั้งหนึ่ง เหมือนกับว่าการเดินทางของเราเพิ่งจะเริ่มต้น รู้สึกเหมือนกลับไปอยู่ในเหตุการณ์ที่เราเพิ่งยิงประตูที่ 1 2 3 และ 4 ได้ จบเกมด้วยสกอร์ที่เราชนะ 4-0 ด้วยความหม่นหมองของโรนัลโดและด้วยกำลังใจที่เพิ่มมากขึ้นของทีมเรา

ค่ำคืนหนึ่งบนแพขนานยนต์
หลังจากที่เราชนะโปรตุเกสนักเตะของเราก็นั่งแพกลับบ้าน ท่ามกลางความมืดมิดของท้องฟ้าที่ไร้ดาว คริสตอฟ คราเมอร์ นักเตะน้องใหม่ต้องกล่าวสุนทรพจน์สั้นๆตามประเพณี แต่คริสต่อรองขอเป็นร้องเพลงดีกว่า คริสร้องเพลง You say it best when you say nothing at all เผอิญหนุ่มคริสเป็นนักบอลไม่ใช่นักร้อง เสียงคริสเลยแตกพร่าแถมร้องผิดโนตผิดคีย์ บรรดาเพื่อนๆพากันยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ต่างคนต่างเห็นว่าไหนๆคริสก็ร้องล่มขนาดนั้นแล้ว ช่วยกันร้องดีกว่า เลยพากันประสานเสียงกระหึ่มแพ แพร์มองแล้วสุดปลื้ม เราเป็น”ทีม”จริงๆเลย แพร์ว่ายังงั้น

ตีลังกากระหึ่มโลก
อาถรรพ์เกมที่ 2 ของเยอรมันเกือบเป็นจริงอีกเมื่อเราต้องเจออกับกานา แรกๆก็ดูเหมือนว่าเราจะคุมเกมอยู่ ยิ่งได้ประตูแรกก็ดูเหมือนว่าอาถรรพ์จะถูกทำลาย แต่เผลอแป๊บเดียวกานาตีเสมอได้ ยังไม่ทันได้หายใจ กานานำไปเป็น 2-1 หนังฉายให้เห็นกองเชียร์ของกานาที่แต่งหน้าแต่งตาเหมือนหมอผีสยายผมกระเซิงไปกระเซิงมา แถมด้วยกองเชียร์ที่ตีกลองประโคมทิ่มแทงหัวใจกองเชียร์เยอรมันที่พากันตกอกตกใจกันยกใหญ่ เลิฟเปลี่ยนตัวให้ชไวนี่กับน้ามิโรลง พอลงได้ 2 นาทีแรก เท้าน้ามิโรแตะลูกเป็นครั้งแรก น้าก็ทิ่มบอลเข้าประตูตีเสมอเป็น 2-2 น้ามิโรดีใจทำสถิติเทียบเท่าโด้อ้วนเลยตีลังกาอวดซะหน่อย เผอิญให้น้าแก่แล้ว น้าเลยล้มก้นกระแทกให้พอขำ รูปน้าตีลังกาเผยแพร่ไปทั่วโลก ใครไม่รู้จักน้าก็ต้องรู้จักกันคราวนี้แหละ

ฟ้าฝนเป็นพยาน
ใครๆก็ว่ากันว่าเราจะซูเอี๋ยเกี่ยวก้อยกับอเมริกาเข้ารอบ แต่ไม่ยังงั้น ท่ามกลางฟ้าฝนที่ตกกระหน่ำ นักเตะของเราเอาจริงเอาจัง เราต้องเป็นแชมป์กลุ่มเท่านั้น อเมริกาเองก็ไม่ยอม สู้สุดฤทธิ์สุดเดช เลิฟออกอาการอาละวาดกลางฝน ตะโกนด่าลูกทีมพร้อมโบกไม้โบกมือจนน่ากลัวไล่หลุด ท้ายสุดเราชนะ 1-0 เลิฟจับมือน้าหลามเพื่อนที่แสนดี ดีใจนะที่ได้เข้ารอบด้วยกัน

เราคือเพื่อนกัน
หนังฉายให้เห็นการฝึกซ้อมของทีมเรา การพักผ่อนของนักเตะ มีเล่นปิงปอง ว่ายน้ำ เล่นไพ่ และนั่งดื่มกันที่บาร์ยามค่ำคืน นักเตะต่างสโมสรคุยกันหนุงหนิง หยอกล้อกันสนุกสนาน

แอบโขมยเฮลีคอบเตอร์ไปตีกอล์ฟ
ลาห์ม ชไวนี่ และมุลเลอร์แอบขอเฮลีคอปเตอร์ไปตีกอล์ฟโดยไม่ได้ขออนุญาตเลิฟ มุลเลอร์หัวเราะหึหึบอกว่าก็วางจม.ไว้แล้วไง ในจม.เขียนว่า “อย่าว่ายังงั้นยังงี้เลยนะคร๊าบ เราขอยืมคอปเตอร์แป๊บนึง ขอไปตีกอล์ฟก่อนละคร๊าบ” ลงชื่อ โธมัสมุลเลอร์ เฮ้อ ไม่ใช่มุลเลอร์ทำไม่ได้นะเนี่ย

ยามว่าง
ตื่นเช้ามาเลิฟต้องไปวิ่งจ๊อกกิ้งริมทะเล ไม่มีคน เงียบดี ได้คิดแผนการณ์อะไรมั่ง ผมชอบ เลิฟว่า ชไวนี่ชอบตีกอล์ฟบนหาดทราย บางทีก็หยอกล้อกับลาห์มและมุลเลอร์บนชายหาด คนอื่นๆก็นอนเล่นริมสระน้ำ โพลดี้ถ่ายเซลฟี่เพลินกว่าใคร

เกมวัดใจ
รอบ 16 ทีมสุดท้ายเราเจออัลจีเรีย ฟอร์มเราควรจะเป็นต่อแต่เอาเข้าจริงหืดขึ้นคอ ครึ่งหลังเราพากันเล่นแย่ชนิดที่ว่าต้องอาศัยความอึดและความบึกบึนเข้าสู้ แทคตกแทกติคไม่รู้จัก นอยเออร์กลายเป็นลิเบอโร คอยเก็บคอยกวาดช่วยกองหลังที่รำส่ำระสายสุดขีด หมดเวลาทำอะไรกันไม่ได้ต้องต่อเวลา บุญเหลือเกินที่เชือร์เล่มายิงนำเป็น 1-0 แถมด้วยโอซิลมาตบท้ายเป็น 2-0 ก่อนที่อัลเจเรียจะฮึดตามมาเป็น 1-2 แต่ระฆังหมดยกเราชนะไปแบบย่ำแย่

กลายเป็นตำนาน
จบเกมนักข่าวถามแพร์ทำไมเราถึงเล่นแย่ยังงี้ เกมต่อไปจะมีการเปลี่ยนแปลงอะไรมั๊ย ฯลฯ แพร์ปรี๊ดแตก “นี่คุณต้องการอะไรจากผม คุณคิดว่า 16 ทีมสุดท้ายนี่มีทีมคาร์นาวาลยังงั้นเหรอ เราก็พยายามสุดความสามารถแล้ว คุณก็เห็นว่าเราพยายามเอาชนะกันจนนาทีสุดท้าย หรือคุณอยากเห็นเราตกรอบ เล่นสวยงามแต่ตกรอบ จะเอายังงั้นเรอะ”
ในหนัง แพร์ให้สัมภาษณ์หลังจากนั้นว่าเป็นคำตอบที่ออกมาจากใจจริงที่สุด เป็นครั้งแรกที่พูดความจริงนะเนี่ย แพร์ยิ้มขำ

ลาห์มกลับมาเป็นแบ็คขวา
ลาห์มให้สัมภาษณ์ว่า “ผมก็เล่นตำแหน่งที่ผมควรเล่น ในรอบแรกจนถึงเกมแอลจีเรีย (ก่อนมุสตาฟี่จะบาดเจ็บ) ทีมเห็นว่าจะเป็นประโยชน์ต่อทีมมากกว่าถ้าผมเล่นกองกลาง แต่เมื่อถึงคราวจำเป็นผมก็กลับมาเป็นแบ็คขวาได้ ผมกับบุนเดสเทรนเนอร์ปรึกษากันทุกครั้ง ผมจะลงเล่นตำแหน่งที่เป็นประโยชน์ต่อทีมเท่านั้น”

ในอุ้งมือของนอยเออร์
แล้วเราก็เข้าชิงรอบ 8 ทีมกับฝรั่งเศสที่กำลังดีวันดีคืนจนกลายเป็นเต็งแชมป์ไป น้ามิโรกลับมาเป็นตัวจริงและลาห์มกลับไปเป็นแบ็คขวา เคดีร่าขึ้นกลางคู่กับชไวนี่เป็นครั้งแรก ฮุมเมลฟิตเต็มร้อยและโหม่งลูกให้เรานำไปในนาทีที่ 12 หนังฉายให้เห็นว่าเราช่วยกันเต็มกำลังในขณะที่ฝรั่งเศสก็พยายามที่จะตีเสมอ ในนาทีสุดท้ายฝรั่งเศสได้ลูกและยิงเข้ากรอบประตู แฟนเยอรมันร้องจ๊าก โชคดีเหลือเกินที่นอยเออร์ยกมือเดียวขึ้นปัดไปได้อย่างเหลือเชื่อ ฮันซี่ ฟลิคว่า ถ้าเกิดลูกนั้นเข้าประตูไป ต้องต่อเวลาก็ไม่รู้ผลจะเป็นยังไงเหมือนกัน ชตาของทีมเราอยู่ในมือนอยเออร์และเราชนะไป 1-0

คำสรรเสริญบนเครื่องบิน
เนียร์สบัคสุดปลื้ม เหลืออีกแค่ 2 เกม ดาวดวงที่ 4 เริ่มสว่างรำไร เนียร์สบัคกล่าวขอบคุณทีมรักของเรา ขอเป็นกำลังใจให้เราได้กลับไปริโออีกครั้ง

จารึกบนหน้าประวัติศาสตร์
รอบรองเยอรมัน-บราซิล ไม่มีใครคาดคิดว่าจะได้เห็นเกมประวัติศาสตร์บนแผ่นดินบราซิลมหาอำนาจลูกหนัง แม้เยอรมันจะเป็นต่อ แม้บราซิลจะขาดเนมาร์ แต่ใครจะคิดว่าเราจะชนะถล่มทลายถึง 7-1 จะยิงได้ 5 ประตูภายใน 29 นาที แถมน้ามิโรยังกลายเป็นดาวซัลโวแซงโด้อ้วนอีกด้วย บราซิลร่ำไห้ แต่แม้เยอรมันจะชนะแต่คนบราซิลก็ยังชื่นชมยินดีทีมเรา เพราะเราคือผู้ชนะที่ถ่อมตน ไม่มีใครแสดงกิริยาเริงร่า มีแต่กอดแสดงความเห็นใจกับนักเตะบราซิล  เลิฟบอกว่าเบราซิลคงสับสนที่ไม่มีเนมาร์เลยมีผลต่อการเล่นน่ะ นักเตะให้สัมภาษณ์ว่า ก็แค่เกมนึงที่เราชนะ ไม่มีใครเป็นแชมป์โลกเพราะชนะถล่มทลายในรอบรองหรอกนะ

เนียร์สบัคอีกครั้ง
บนเครื่องบินกลับบ้าน เนียร์สบัคได้กลายเป็นขาประจำที่พูดไมโครโฟนสรรเสริญทีมเรา คราวนี้ขอให้ไชโยให้กับน้ามิโร เจ้าของสถิติใหม่ด้วย บรรดานักเตะพากันตบมือ ใครๆก็รักน้ามิโรสุภาพบุรุษของทีมเรากันทั้งนั้น

จะหลับลงได้ยังไง
หนังฉายให้เห็นน้าเลิฟนั่งทำงานดึกดื่นไม่ยอมนอน หลายครั้งที่ฉายให้เห็นแผนผังและตารางการเล่นว่าจะให้ใครเล่นตำแหน่งไหน มีลูกศรโยงใยให้ใครวิ่งไปทางไหน ประสานงานกันยังไง เลิฟนั่งคุยกับแมวมองที่ส่งไปดูการเล่นของคู่แข่งและนำมาวิเคราะห์ว่าเราควรจะรับมือคู่แข่งยังไง

คืนสู่ริโอ
ก่อนเดินทางไปริโอ ทีมรักของเราอำลาพนักงานคัมโป บาเฮีย และถ่ายรูปหมู่เป็นที่ระลึก เรานั่งแพข้ามฟากเป็นครั้งสุดท้าย นักเตะเหลียวมองที่พักด้วยความอาลัย ลาก่อน คัมโป บาเฮีย บ้านที่แสนสุข จะไม่มีวันลืมเลยว่าครั้งหนึ่งเราทั้ง 23 คนได้มาใช้ชีวิตร่วมกันที่นี่ กับทีมโคชและทีมสตาฟด้วยจุดหมายเดียวกันว่าเราจะนำถ้วยคืนสู่บ้านเกิด และความหวังของเราใกล้จะเป็นจริงแล้ว

ดึงพลังออกมาให้หมด
เลิฟกระตุ้นลูกทีมว่า ถ้าเราแพ้ เกมที่เราชนะบราซิลก็จะไม่มีความหมาย เราค้องดึงพลังออกมาให้หมด เล่นให้ดีที่สุด ดีกว่าที่เคยทำเพื่อที่จะได้รางวัลตอบแทนที่เราไม่เคยได้มาก่อน

ในอ้อมกอดของดวงดาว
รอบชิงเยอรมัน-อาร์เจนตินา ใครๆก็ว่าเราเป็นต่อเยอะ อาร์เจนตินามีแค่เมสซี่ ก่อนการแข่งขันเคดีร่าบาดเจ็บ คราเมอร์ลงแทน แต่ลงได้แค่ครึ่งชม.ก็ต้องออกเพราะโดนกระแทกหัวจนสมองเสื่อมไปชั่วครู่ เชือร์เล่ลงมาแทน ก่อนการแข่งขัน หลายคนคิดว่าอาร์เจนตินาจะเอาแต่อุด แต่กลายเป็นว่า 2 มหาอำนาจลูกหนังผลัดกันรุกผลัดกันรับ ฝีมือสูสีดูไม่ออกว่าใครจะชนะ อาร์เจนมีจังหวะได้ประตูเจ๋งๆถึง 3 ครั้งแต่คราวนี้เทพีแห่งโชคยืนอยู่ข้างเยอรมัน เลยทำให้ยิงนกตกปลาทำได้แค่ให้เราหวาดเสียวจนหัวใจแทบวายไม่รู้กี่ครั้ง ก่อนหมดเวลาเลิฟเปลี่ยนเอาน้ามิโรออกและให้เกิตเซ่ลงมาแทน และบอกเกิตเซ่ว่า “แสดงให้ทั่วโลกเห็นว่าคุณเก่งกว่าเมตซี่ แสดงให้เห็นว่าคุณจะเป็นคนตัดสินเกมได้”

และในนาทีที่ 113 เชือร์เล่ก็ส่งลูกให้เกิตเซ่ เกิตเซ่พักลูกด้วยอกและวอลเล่ย์ลูกเข้าประตูไป เบนนี่ป้ายน้ำตาไปหลายรอบ น้ามิโรน้ำตาซึม ทุกคนต่างเฝ้ารอเวลาที่กรรมการจะเป่าหมดเวลา ชไวนี่สู้และสู้ บัวเต็งเข้าช่วยฮุมเมลส์ที่ใกล้จะหมดแรง แพร์ได้ลงตอนใกล้จะหมดเวลา เวลาเดินเชื่องช้า แต่ในที่สุดเสียงนกหวีดก็ดังขึ้น ชไวนี่ น้ามิโร นอยเออร์และอีกหลายคนร้องไห้ พวกเขาวิ่งเข้ากอดกัน ดาวกระพริบแสง 4 ดวงโอบกอดพวกเขาไว้ ลาห์มชูถ้วยสมใจหวัง นี่คือแชมป์โลกจากเยอรมันผู้ข้ามน้ำข้ามฟ้ามาสร้างประวัติศาสตร์ด้วยการเป็นแชมป์จากยุโรปทีมแรกที่ชนะบนแผ่นดินอเมริกาใต้ แชมป์โลกที่ไม่มีสตาร์ดังแต่มีความเป็นทีมและมีความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวที่สุดในประวัติศาสตร์วงการบอลของเยอรมัน
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่