บทความนี้มีการสปอยเนื้อหา
“We accept the love we think we deserve.”
-The Perks of Being a Wallflower(2012)
สิ่งมีชีวิตทุกสรรพสิ่งย่อมมีสิ่งหนึ่งที่เท่าเทียมกันราวกับว่าเป็นสิ่งที่พระเจ้าประทานให้มานั่นก็คือทางเลือกในการดำเนินชีวิต และสิ่งๆนั้นเป็นตัวกำหนดแนวโน้มในเส้นทางของชีวิตของสิ่งมีชีวิตนั้นๆในภายภาคหน้า ทางเลือกที่พวกเราทุกคนเลือกนั้นย่อมเริ่มมาจากจุดเล็กๆแต่มันอาจส่งผลกระทบมหาศาลต่อสิ่งรอบตัวได้ตามทฤษฎีผีเสื้อขยับปีก (Butterfly Effect)ซึ่งมีคำอธิบายเชิงเปรียบเปรยที่ว่า “การกระพือปีกของผีเสื้อในประเทศบราซิลก่อให้เกิดพายุทอนาโดในรัฐเท็กซัสได้” เมื่อไหร่ที่คุณเดินมาถึงทางแยกซึ่งมีทางเลือกแค่จะไปทางซ้ายหรือทางขวาบางครั้งการตัดสินใจนั้นๆอาจเปลี่ยนชีวิตคุณไปได้ตลอดกาล ถ้าจะมองในแง่ของตรรกศาสตร์ความเป็นเหตุและผล ทางเลือกที่เราได้เลือกเดินนั้นก็คงเป็นเหตุที่สะท้อนไปถึงผลของการกระทำที่เราต้องยอมรับ ซึ่งผลของการกระทำนั้นเปรียบเหมือนเป็นปริมาณเชิงคุณภาพที่ยุ่งเหยิงและไร้การควบคุม เราไม่สามารถควบคุมผลของการกระทำได้ แต่สิ่งที่ทำควบคุมได้นั้นก็คงเป็นการควบคุมที่ตัวเหตุของการกระทำ เลือกทางเดินอย่างระมัดระวังและเมื่อผลออกมาเป็นอย่างไรก็คงต้องยอมรับในทางเลือกของตนเอง ถ้าคิดดูให้ดีทางเลือกที่เราได้เลือกไปนั้นย่อมเปรียบเสมือนกับอดีตที่เราไม่มีทางย้อนกลับไปแก้ไขได้ การตัดสินใจต่างๆจะส่งผลมาถึงปัจจุบันของเราและลามไปถึงสิ่งที่คาดเดาได้ยากเหลือเกินนั่นก็คือ อนาคตนั่นเอง อดีต-ปัจจุบัน-อนาคต ช่วงเวลาสามช่วงที่มีความสัมพันธ์กันอย่างลึกซึ้งและมีความหมายต่อการใช้ชีวิตยิ่งนัก
-การกระทำในปัจจุบัน ย่อมเป็นอดีตในภายภาคหน้า และอนาคตของเรานั้นย่อมกลายเป็นปัจจุบันและอดีต อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
มีภาพยนตร์ไม่กี่เรื่องที่ถ่ายทอดนิยามความสัมพันธ์ของสามคำนี้ออกมาในรูปแบบการกระทำและความคิดของตัวละคร และหนึ่งในนั้นก็คือเรื่อง The Perks of Being a Wallflower หนังเรื่องนี้ดูผิวเผินแล้วมันช่างดูเหมือนหนังรอมคอมวัยรุ่นที่มีบทแบบว่านางเอกต้องชิงราชินีงานพรอมในตอนท้าย หรือพระเอกหลงรักนางเอกแต่เจียมตัวจนต้องปรับปรุงตนเองและสมหวังในความรักในที่สุด ซึ่งผมยอมรับว่าครั้งแรกที่ดู The Perks of Being a Wallflower นั้นผมไม่ได้คาดหวังอะไรมากนักเพราะนึกว่าพล็อตเรื่องจะคล้ายๆกับหนังวัยรุ่นใสๆทั่วไปแต่พอได้รับชมแล้วผมกลับรู้สึกผิดเป็นอย่างมากเพราะสิ่งที่ผมได้ทำไปมันคือการตัดสินหนังเรื่องหนึ่งๆจากรูปลักษณ์ภายนอกโดยที่ยังไม่ได้เข้าไปทำความรู้จักมันเลยด้วยซ้ำ พอได้รู้จักจริงๆเลยทำให้รู้สึกว่าหนังเรื่องนี้มันสุดยอดจริงๆ
The Perks of Being a Wallflower เล่าเรื่องผ่านทางเด็กหนุ่มผู้มีปมอย่าง Charlie นำแสดงโดย Logan Lerman เขามีปัญหาด้านการเข้าสังคมและขาดความมั่นใจในตนเอง เมื่อถึงเวลาที่เขาต้องเข้าไปเรียนที่โรงเรียนHigh School วันแรกนั้น เขาก็นับถอยหลังรอวันจบเรียบร้อยแล้ว และเนื่องจากการมีปัญหาด้านการเข้าสังคม ชาลีก็เป็นนักเรียนไม่กี่คนในโรงเรียนนั้น ที่หาเพื่อนไม่ได้เลยซักคนในการเรียนวันแรก ถ้าไม่นับครอบครัวของเขาแล้วเพื่อนเพียงคนเดียวของชาลีก็คงเป็นเพื่อนทางจดหมายที่เขาได้เขียนระบายความรู้สึกต่างๆลงไปผ่านหยดหมึก เพื่อนทางจดหมายคนนี้ดูท่าทางจะมีความหมายต่อชาลีมากเพราะมีเพียงไม่กี่คนที่เขาจะเปิดใจได้ถึงเพียงนี้ แต่ที่น่าเศร้ายิ่งไปกว่านั้นก็คงเป็นเพราะว่า เพื่อนทางจดหมายของชาลีคนนั้นก็คือตัวชาลีนั่นเอง ชาลีเป็นเด็กที่มีสภาวะทางจิตอ่อนๆ เขาเห็นภาพหลอนต่างๆเกี่ยวกับป้าของเขาที่เสียชีวิตไปตั้งแต่สมัยชาลียังเด็ก มันทำให้ชาลีเป็นคนมีปมกับอดีต เขาโยนความผิดในการจากไปของป้าไปให้ตนเอง โทษตนเองว่าเขาเป็นสาเหตุที่ทำให้ป้าเสียชีวิต บวกกับเพื่อนที่มีตัวตนเพียงคนเดียวของเขาก็ชิงจากไปก่อนจากการฆ่าตัวตายยิ่งทำให้จิตใจของเขาจมลึกลงไปในอดีตอันมืดหม่น อย่างที่ผมได้กล่าวไปอดีตย่อมส่งผลมาถึงปัจจุบันและปัจจุบันสะท้อนไปถึงอนาคต ในเวลาที่ชาลียอมแพ้ในชีวิตการเรียน การหาเพื่อนเขาก็ได้พบกับชายหญิงสองคนที่มาเปลี่ยนอนาคตของชาลีไปตลอดกาล
คนแรกก็คือหนุ่มหน้าใสใจสาวอย่าง Patrick นำแสดงโดย Ezra Miller หรือนักแสดงนำในบท เควิน จากเรื่อง We Need To Talk About Kevin นั่นเอง Patrick เป็นรุ่นพี่ของชาลี เขาเป็นคนอารมณ์ขัน และใช้ชีวิตอย่างหลุดโลกและไม่สนใคร ซึ่งก็เหมือนกับน้องสาวต่างบิดาของเขาอย่าง Sam ซึ่ง นำแสดงโดย Emma Watsan ซึ่งคราวนี้เธอสลัดชุดคลุมแม่มดที่เราคุ้นเคยทิ้ง และเปลี่ยนคาแรคเตอร์มาเป็นสาวมั่นไฟแรงซึ่งเต็มที่กับชีวิตไม่แพ้พี่ชายของเธอดูผิวเผินแล้ว บุคลิกของชาลีนั้นช่างแตกต่างกับสองพี่น้องคู่นี้อย่างเห็นได้ชัดแต่เมื่อชาลีได้รู้จักกับทั้งสองเขาจึงรู้ว่ามีอย่างหนึ่งที่พวกเขาทั้งสามมีเหมือนกันก็คืออดีตอันเลวร้ายที่เกิดขึ้นมาจากทางเลือกที่เขาเลี่ยงไม่ได้
ชาลีมีปมในอดีตที่ว่า เขานั้นมีความสัมพันธ์กับป้าของเขาในเชิงลึกซึ้งซึ่งเกินกว่าความเป็น ป้า หลาน และการเสียชีวิตของป้าเขาได้สร้างแผลในในชาลีมาถึงปัจจุบัน เขาปิดใจจากคนรอบข้างและให้ความสำคัญกับหนังสือ นิยายรวมไปถึงบทความซึ่งเป็นสิ่งที่เขาได้แสดงออกผ่านทางตัวอักษรแทนการใช้คำพูด แพทริกสังเกตได้ถึงปมในอดีตของชาลีและได้บอกชาลีว่าอย่าทำตัวเหมือนดอกไม้ริมกำแพงเพราะถึงแม้มันจะสวยงามแค่ไหนสุดท้ายก็ไร้คนเหลียวมอง แพทริกและแซมเป็นหนึ่งในตัวละครที่พยายามทำตัวให้เป็นดอกไม้ในกระถางที่ตั้งไว้กลางห้อง พวกเขาปิดกั้นอดีตอันเลวร้ายไว้ในส่วนลึกของจิตใจและแสดงออกท่าทางออกมาในทางตรงข้าม พวกเขาดูสนุกและอารมณ์ดี หารู้ไม่ว่าแซมนั้นเคยโดนล่วงละเมิดทางเพศมาหลายต่อหลายครั้ง และแพทริกก็มีความลับที่เขาไม่สามารถเปิดเผยออกมาได้ ถึงแม้ว่าแซมจะปิดกั้นอดีตอันเลวร้ายของเธอได้แนบเนียนเพียงใดแต่การกระทำบางอย่างก็ยังคงย้ำเตือนและแสดงออกออกมาให้ผู้คนรอบข้างได้รับรู้ตัวอย่างชัดๆก็คงเป็นการเลือกคู่รักซึ่งชาลีสงสัยว่าทำไมแซมถึงเลือกคู่รักของเธอแบบนั้น คนที่ไม่มีอะไรดี และบางขั้นถึงขั้นเลวทราม ซึ่งเขาก็ได้คำตอบว่า ‘We accept the love we think we deserve’( มีคนหลายคนเหลือเกิน ยอมรับในความรักของเขาจากสิ่งที่เขาคิดว่าเขาสมควร) ประเด็นนี้มันสะท้อนลงไปในจิตใจของแซมว่าถึงแม้ว่าเธอจะทำท่าทางเหมือนลืมอดีตที่ผ่านมา เธอร่าเริง แต่ในใจลึกๆแล้วเธอก็ยังโทษตัวเองและจมปลักกับความผิดพลาดในอดีตอยู่
การที่คนมีอดีตมาพบกัน ได้ทำความเข้าใจกัน The Perks of Being a Wallflower ได้สะท้อนถึงการจัดการกับสิ่งที่เรียกว่าอดีต เราไม่สามารถแก้ไขมันได้แต่เราจัดการบริหารให้อดีตที่เลวร้ายนั้นส่งผลมาถึงปัจจุบันของเราให้น้อยที่สุด สุดท้ายทั้งสามก็รู้ว่าการยึดติดกับสิ่งที่แก้ไขได้นั้นมันเป็นสิ่งที่ไร้สาระ เขาทั้งสามให้ความสำคัญกับปัจจุบันมากขึ้น เพราะมันเป็นทางเลือกที่เราเลือกได้ พวกเขาเปลี่ยนแปลงตนเอง เปลี่ยนแปลงความคิด จากอดีตที่เคยเลวร้ายที่ตามมาหลอกหลอน เมื่อเปลี่ยนมุมมองมันกลับกลายเป็นสิ่งที่ไร้สาระขึ้นมาทันที ชาลีเลิกเขียนจดหมายถึงตนเอง เพราะว่าเขาได้เจอเพื่อนที่มีตัวตน เพื่อนที่รักและคอยเอาใจใส่ เขามาตลอดและที่สำคัญที่สุด เมื่อพวกเขารู้ว่าสิ่งที่พวกเขาได้เจอมามันเป็นเรื่องเล็กน้อย เมื่อความเลวร้ายไม่สามารถตีกรอบทางอารมณ์ของพวกเขาได้อีกต่อไป พวกเขาจะรับรู้ถึงความรู้สึก ความสุข และแน่นอน ความสุขนั้นมันประเมินค่าไม่ได้ –We are infinite.
เพียงเพราะ เราไม่สามารถแก้ไขอดีตที่ผิดพลาด จากการกำมือ ในตู้เสื้อผ้า หรือแม้กระทั่ง การพร่ำ อ่าน Diary ที่ตัวเองเขียนไว้ตอนยังเด็ก ไม่ได้หมายความว่าอดีตเป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้ การแก้ไขเหตุการณ์ในอดีต คือการเรียนรู้มัน จากปัจจุบันที่เราเป็นอยู่ และแก้ไขมันด้วยอนาคตของชีวิตที่เหลืออยู่และเปลี่ยนมุมมอง เปลี่ยนความเศร้าให้เป็นแรงกระตุ้น ตราบใดที่เรายังไม่ตาย อดีตเป็นสิ่งที่แก้ไขได้เสมอ อยู่ที่ว่า คุณพร้อมที่จะยอมรับ และ แก้ไขมันหรือเปล่า การจัดการกับปัญหานั้นยากที่จะทำสำเร็จด้วยตัวคนเดียว แต่จะง่ายขึ้นมากหากคุณมองหาตัวช่วยที่อยู่รอบๆคุณ คนที่คุณรัก คนที่คอยให้คำปรึกษารวมไปถึง คนที่ผ่านหรือประสบปัญหานั้นๆมาเหมือนกัน เมื่อใดก็ตามที่คุณผ่านปัญหานั้นมาคุณจะแข็งแกร่งขึ้นเมื่อใดที่คุณหันมองกลับหลังมา คุณจะยิ้มหัวเราะ คุณจะไม่เห็นสิ่งเหล่านั้นเป็นกำแพงสูงใหญ่อีกต่อไป เปรียบได้กับคำพูดที่ว่า “ภูเขาอันสูงใหญ่ตั้งตระหง่านเกินตัวไขว่คว้า แต่หากมองกลับมาจากมุมมองที่แสนไกลมันกลับเล็กเพียงฝ่ามือ”
The Perks of Being a Wallflower (2012)
Credit: บทความผ่านแผ่นฟิล์ม
ติดตามผลงานอื่นๆของผมได้ผ่านช่องทางในลิงค์นี้ครับ
https://www.facebook.com/pages/%E0%B8%9A%E0%B8%97%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%9C%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B9%81%E0%B8%9C%E0%B9%88%E0%B8%99%E0%B8%9F%E0%B8%B4%E0%B8%A5%E0%B9%8C%E0%B8%A1/680159158772066?ref=hl
<The Perks of Being a Wallflower> สามคน สามปม
“We accept the love we think we deserve.”
-The Perks of Being a Wallflower(2012)
สิ่งมีชีวิตทุกสรรพสิ่งย่อมมีสิ่งหนึ่งที่เท่าเทียมกันราวกับว่าเป็นสิ่งที่พระเจ้าประทานให้มานั่นก็คือทางเลือกในการดำเนินชีวิต และสิ่งๆนั้นเป็นตัวกำหนดแนวโน้มในเส้นทางของชีวิตของสิ่งมีชีวิตนั้นๆในภายภาคหน้า ทางเลือกที่พวกเราทุกคนเลือกนั้นย่อมเริ่มมาจากจุดเล็กๆแต่มันอาจส่งผลกระทบมหาศาลต่อสิ่งรอบตัวได้ตามทฤษฎีผีเสื้อขยับปีก (Butterfly Effect)ซึ่งมีคำอธิบายเชิงเปรียบเปรยที่ว่า “การกระพือปีกของผีเสื้อในประเทศบราซิลก่อให้เกิดพายุทอนาโดในรัฐเท็กซัสได้” เมื่อไหร่ที่คุณเดินมาถึงทางแยกซึ่งมีทางเลือกแค่จะไปทางซ้ายหรือทางขวาบางครั้งการตัดสินใจนั้นๆอาจเปลี่ยนชีวิตคุณไปได้ตลอดกาล ถ้าจะมองในแง่ของตรรกศาสตร์ความเป็นเหตุและผล ทางเลือกที่เราได้เลือกเดินนั้นก็คงเป็นเหตุที่สะท้อนไปถึงผลของการกระทำที่เราต้องยอมรับ ซึ่งผลของการกระทำนั้นเปรียบเหมือนเป็นปริมาณเชิงคุณภาพที่ยุ่งเหยิงและไร้การควบคุม เราไม่สามารถควบคุมผลของการกระทำได้ แต่สิ่งที่ทำควบคุมได้นั้นก็คงเป็นการควบคุมที่ตัวเหตุของการกระทำ เลือกทางเดินอย่างระมัดระวังและเมื่อผลออกมาเป็นอย่างไรก็คงต้องยอมรับในทางเลือกของตนเอง ถ้าคิดดูให้ดีทางเลือกที่เราได้เลือกไปนั้นย่อมเปรียบเสมือนกับอดีตที่เราไม่มีทางย้อนกลับไปแก้ไขได้ การตัดสินใจต่างๆจะส่งผลมาถึงปัจจุบันของเราและลามไปถึงสิ่งที่คาดเดาได้ยากเหลือเกินนั่นก็คือ อนาคตนั่นเอง อดีต-ปัจจุบัน-อนาคต ช่วงเวลาสามช่วงที่มีความสัมพันธ์กันอย่างลึกซึ้งและมีความหมายต่อการใช้ชีวิตยิ่งนัก
-การกระทำในปัจจุบัน ย่อมเป็นอดีตในภายภาคหน้า และอนาคตของเรานั้นย่อมกลายเป็นปัจจุบันและอดีต อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
มีภาพยนตร์ไม่กี่เรื่องที่ถ่ายทอดนิยามความสัมพันธ์ของสามคำนี้ออกมาในรูปแบบการกระทำและความคิดของตัวละคร และหนึ่งในนั้นก็คือเรื่อง The Perks of Being a Wallflower หนังเรื่องนี้ดูผิวเผินแล้วมันช่างดูเหมือนหนังรอมคอมวัยรุ่นที่มีบทแบบว่านางเอกต้องชิงราชินีงานพรอมในตอนท้าย หรือพระเอกหลงรักนางเอกแต่เจียมตัวจนต้องปรับปรุงตนเองและสมหวังในความรักในที่สุด ซึ่งผมยอมรับว่าครั้งแรกที่ดู The Perks of Being a Wallflower นั้นผมไม่ได้คาดหวังอะไรมากนักเพราะนึกว่าพล็อตเรื่องจะคล้ายๆกับหนังวัยรุ่นใสๆทั่วไปแต่พอได้รับชมแล้วผมกลับรู้สึกผิดเป็นอย่างมากเพราะสิ่งที่ผมได้ทำไปมันคือการตัดสินหนังเรื่องหนึ่งๆจากรูปลักษณ์ภายนอกโดยที่ยังไม่ได้เข้าไปทำความรู้จักมันเลยด้วยซ้ำ พอได้รู้จักจริงๆเลยทำให้รู้สึกว่าหนังเรื่องนี้มันสุดยอดจริงๆ
The Perks of Being a Wallflower เล่าเรื่องผ่านทางเด็กหนุ่มผู้มีปมอย่าง Charlie นำแสดงโดย Logan Lerman เขามีปัญหาด้านการเข้าสังคมและขาดความมั่นใจในตนเอง เมื่อถึงเวลาที่เขาต้องเข้าไปเรียนที่โรงเรียนHigh School วันแรกนั้น เขาก็นับถอยหลังรอวันจบเรียบร้อยแล้ว และเนื่องจากการมีปัญหาด้านการเข้าสังคม ชาลีก็เป็นนักเรียนไม่กี่คนในโรงเรียนนั้น ที่หาเพื่อนไม่ได้เลยซักคนในการเรียนวันแรก ถ้าไม่นับครอบครัวของเขาแล้วเพื่อนเพียงคนเดียวของชาลีก็คงเป็นเพื่อนทางจดหมายที่เขาได้เขียนระบายความรู้สึกต่างๆลงไปผ่านหยดหมึก เพื่อนทางจดหมายคนนี้ดูท่าทางจะมีความหมายต่อชาลีมากเพราะมีเพียงไม่กี่คนที่เขาจะเปิดใจได้ถึงเพียงนี้ แต่ที่น่าเศร้ายิ่งไปกว่านั้นก็คงเป็นเพราะว่า เพื่อนทางจดหมายของชาลีคนนั้นก็คือตัวชาลีนั่นเอง ชาลีเป็นเด็กที่มีสภาวะทางจิตอ่อนๆ เขาเห็นภาพหลอนต่างๆเกี่ยวกับป้าของเขาที่เสียชีวิตไปตั้งแต่สมัยชาลียังเด็ก มันทำให้ชาลีเป็นคนมีปมกับอดีต เขาโยนความผิดในการจากไปของป้าไปให้ตนเอง โทษตนเองว่าเขาเป็นสาเหตุที่ทำให้ป้าเสียชีวิต บวกกับเพื่อนที่มีตัวตนเพียงคนเดียวของเขาก็ชิงจากไปก่อนจากการฆ่าตัวตายยิ่งทำให้จิตใจของเขาจมลึกลงไปในอดีตอันมืดหม่น อย่างที่ผมได้กล่าวไปอดีตย่อมส่งผลมาถึงปัจจุบันและปัจจุบันสะท้อนไปถึงอนาคต ในเวลาที่ชาลียอมแพ้ในชีวิตการเรียน การหาเพื่อนเขาก็ได้พบกับชายหญิงสองคนที่มาเปลี่ยนอนาคตของชาลีไปตลอดกาล
คนแรกก็คือหนุ่มหน้าใสใจสาวอย่าง Patrick นำแสดงโดย Ezra Miller หรือนักแสดงนำในบท เควิน จากเรื่อง We Need To Talk About Kevin นั่นเอง Patrick เป็นรุ่นพี่ของชาลี เขาเป็นคนอารมณ์ขัน และใช้ชีวิตอย่างหลุดโลกและไม่สนใคร ซึ่งก็เหมือนกับน้องสาวต่างบิดาของเขาอย่าง Sam ซึ่ง นำแสดงโดย Emma Watsan ซึ่งคราวนี้เธอสลัดชุดคลุมแม่มดที่เราคุ้นเคยทิ้ง และเปลี่ยนคาแรคเตอร์มาเป็นสาวมั่นไฟแรงซึ่งเต็มที่กับชีวิตไม่แพ้พี่ชายของเธอดูผิวเผินแล้ว บุคลิกของชาลีนั้นช่างแตกต่างกับสองพี่น้องคู่นี้อย่างเห็นได้ชัดแต่เมื่อชาลีได้รู้จักกับทั้งสองเขาจึงรู้ว่ามีอย่างหนึ่งที่พวกเขาทั้งสามมีเหมือนกันก็คืออดีตอันเลวร้ายที่เกิดขึ้นมาจากทางเลือกที่เขาเลี่ยงไม่ได้
ชาลีมีปมในอดีตที่ว่า เขานั้นมีความสัมพันธ์กับป้าของเขาในเชิงลึกซึ้งซึ่งเกินกว่าความเป็น ป้า หลาน และการเสียชีวิตของป้าเขาได้สร้างแผลในในชาลีมาถึงปัจจุบัน เขาปิดใจจากคนรอบข้างและให้ความสำคัญกับหนังสือ นิยายรวมไปถึงบทความซึ่งเป็นสิ่งที่เขาได้แสดงออกผ่านทางตัวอักษรแทนการใช้คำพูด แพทริกสังเกตได้ถึงปมในอดีตของชาลีและได้บอกชาลีว่าอย่าทำตัวเหมือนดอกไม้ริมกำแพงเพราะถึงแม้มันจะสวยงามแค่ไหนสุดท้ายก็ไร้คนเหลียวมอง แพทริกและแซมเป็นหนึ่งในตัวละครที่พยายามทำตัวให้เป็นดอกไม้ในกระถางที่ตั้งไว้กลางห้อง พวกเขาปิดกั้นอดีตอันเลวร้ายไว้ในส่วนลึกของจิตใจและแสดงออกท่าทางออกมาในทางตรงข้าม พวกเขาดูสนุกและอารมณ์ดี หารู้ไม่ว่าแซมนั้นเคยโดนล่วงละเมิดทางเพศมาหลายต่อหลายครั้ง และแพทริกก็มีความลับที่เขาไม่สามารถเปิดเผยออกมาได้ ถึงแม้ว่าแซมจะปิดกั้นอดีตอันเลวร้ายของเธอได้แนบเนียนเพียงใดแต่การกระทำบางอย่างก็ยังคงย้ำเตือนและแสดงออกออกมาให้ผู้คนรอบข้างได้รับรู้ตัวอย่างชัดๆก็คงเป็นการเลือกคู่รักซึ่งชาลีสงสัยว่าทำไมแซมถึงเลือกคู่รักของเธอแบบนั้น คนที่ไม่มีอะไรดี และบางขั้นถึงขั้นเลวทราม ซึ่งเขาก็ได้คำตอบว่า ‘We accept the love we think we deserve’( มีคนหลายคนเหลือเกิน ยอมรับในความรักของเขาจากสิ่งที่เขาคิดว่าเขาสมควร) ประเด็นนี้มันสะท้อนลงไปในจิตใจของแซมว่าถึงแม้ว่าเธอจะทำท่าทางเหมือนลืมอดีตที่ผ่านมา เธอร่าเริง แต่ในใจลึกๆแล้วเธอก็ยังโทษตัวเองและจมปลักกับความผิดพลาดในอดีตอยู่
การที่คนมีอดีตมาพบกัน ได้ทำความเข้าใจกัน The Perks of Being a Wallflower ได้สะท้อนถึงการจัดการกับสิ่งที่เรียกว่าอดีต เราไม่สามารถแก้ไขมันได้แต่เราจัดการบริหารให้อดีตที่เลวร้ายนั้นส่งผลมาถึงปัจจุบันของเราให้น้อยที่สุด สุดท้ายทั้งสามก็รู้ว่าการยึดติดกับสิ่งที่แก้ไขได้นั้นมันเป็นสิ่งที่ไร้สาระ เขาทั้งสามให้ความสำคัญกับปัจจุบันมากขึ้น เพราะมันเป็นทางเลือกที่เราเลือกได้ พวกเขาเปลี่ยนแปลงตนเอง เปลี่ยนแปลงความคิด จากอดีตที่เคยเลวร้ายที่ตามมาหลอกหลอน เมื่อเปลี่ยนมุมมองมันกลับกลายเป็นสิ่งที่ไร้สาระขึ้นมาทันที ชาลีเลิกเขียนจดหมายถึงตนเอง เพราะว่าเขาได้เจอเพื่อนที่มีตัวตน เพื่อนที่รักและคอยเอาใจใส่ เขามาตลอดและที่สำคัญที่สุด เมื่อพวกเขารู้ว่าสิ่งที่พวกเขาได้เจอมามันเป็นเรื่องเล็กน้อย เมื่อความเลวร้ายไม่สามารถตีกรอบทางอารมณ์ของพวกเขาได้อีกต่อไป พวกเขาจะรับรู้ถึงความรู้สึก ความสุข และแน่นอน ความสุขนั้นมันประเมินค่าไม่ได้ –We are infinite.
เพียงเพราะ เราไม่สามารถแก้ไขอดีตที่ผิดพลาด จากการกำมือ ในตู้เสื้อผ้า หรือแม้กระทั่ง การพร่ำ อ่าน Diary ที่ตัวเองเขียนไว้ตอนยังเด็ก ไม่ได้หมายความว่าอดีตเป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้ การแก้ไขเหตุการณ์ในอดีต คือการเรียนรู้มัน จากปัจจุบันที่เราเป็นอยู่ และแก้ไขมันด้วยอนาคตของชีวิตที่เหลืออยู่และเปลี่ยนมุมมอง เปลี่ยนความเศร้าให้เป็นแรงกระตุ้น ตราบใดที่เรายังไม่ตาย อดีตเป็นสิ่งที่แก้ไขได้เสมอ อยู่ที่ว่า คุณพร้อมที่จะยอมรับ และ แก้ไขมันหรือเปล่า การจัดการกับปัญหานั้นยากที่จะทำสำเร็จด้วยตัวคนเดียว แต่จะง่ายขึ้นมากหากคุณมองหาตัวช่วยที่อยู่รอบๆคุณ คนที่คุณรัก คนที่คอยให้คำปรึกษารวมไปถึง คนที่ผ่านหรือประสบปัญหานั้นๆมาเหมือนกัน เมื่อใดก็ตามที่คุณผ่านปัญหานั้นมาคุณจะแข็งแกร่งขึ้นเมื่อใดที่คุณหันมองกลับหลังมา คุณจะยิ้มหัวเราะ คุณจะไม่เห็นสิ่งเหล่านั้นเป็นกำแพงสูงใหญ่อีกต่อไป เปรียบได้กับคำพูดที่ว่า “ภูเขาอันสูงใหญ่ตั้งตระหง่านเกินตัวไขว่คว้า แต่หากมองกลับมาจากมุมมองที่แสนไกลมันกลับเล็กเพียงฝ่ามือ”
The Perks of Being a Wallflower (2012)
Credit: บทความผ่านแผ่นฟิล์ม
ติดตามผลงานอื่นๆของผมได้ผ่านช่องทางในลิงค์นี้ครับ
https://www.facebook.com/pages/%E0%B8%9A%E0%B8%97%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%9C%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B9%81%E0%B8%9C%E0%B9%88%E0%B8%99%E0%B8%9F%E0%B8%B4%E0%B8%A5%E0%B9%8C%E0%B8%A1/680159158772066?ref=hl