บ. = บริษัท
นาย B = เป็นพนักงานที่เข้ามาทำงานใหม่ มั่งใจตัวเองสูง
เรื่องราวต่อไปเป็นเรื่องจริง ไม่ได้แต่งเติมขึ้นมาเอง เกิดขึ้นจริงล้วนๆ
บ. ผมเจ้านายเป็นคนใจดี เขาสั่งอาหารจากร้าน S&P มาให้กินเป็นมื้อกลางวันของพนักงานออฟฟิศนี้ ซึ่งน้อยมากที่จะมี บ. ทำแบบนี้ให้ลูกน้อง
ซึ่งผมก็เกรงใจในส่วนนี้เสมอมา เพราะว่าเราทำงานที่นี่เราได้เงินเดือนจากที่นี่ แถมที่นี่มีข้าวกลางวันให้กินฟรีๆ โดยไม่ได้หักอะไรจากเงินเดือนพนักงานเลย แถมเจ้านายผมก็ อนุญาติให้พนักงานสามารถหยิบขนมจากตู้เย็นในบริษัท มากินได้เลย โดยไม่ต้องเกรงใจ เพราะขนมในตู้เย็นนั้น เจ้านายผมเขาซื้อมาไว้ในตู้ เพื่อที่จะกินเองกับ ภรรยาเขา
ซึ่งเขาก็พูดเสมอๆว่า ของในตู้หยิบกินได้นะ แต่ผมและแฟนผมเกรงใจ ไม่เคยหยิบของในตู้เย็นกินเลย ถ้าจะได้กิน เจ้านายผมจะหยิบจากตู้มายื่นให้กับมือผม ซึ่งผมและแฟนก็รับไว้ ก็กินบ้างไม่กินบ้าง แอบเอาไปเก็บคืนบ้าง เพราะเนื่องจาก เราเกรงใจที่เขาเลี้ยงข้าวกลางวันเราแล้ว ในความคิดผมและแฟนมันก็มากพอแล้ว สำหรับชีวิตมนุษย์เงินเดือน เราก็เกรงใจ เราอาศัยแค่ เราซื้อของที่เราจะกิน มาฝากแช่ไว้เฉยๆ ในตู้เย็น แช่น้ำอัดลม ขนมบางอย่าง ซึ่งเราจะมีที่ประจำในการฝากแช่คือ ชั้นล่างสุดของฝาตู้เย็น ซึ่งตั้งแต่ทำงานมาก็แช่ตรงนั้นตลอดๆ
ซึ่งมีน้องที่ทำงานด้วยกันมา 1 คนน้องเขาก็ไม่เคยกล้าหยิบกินของในตู้เย็นนี้โดยพละการ ซึ่งถ้าน้องเขาอยากกินก็จะเอ่ยปากขออนุญาติเจ้านายก่อน
ซึ่งน้องเขาก็ทำเช่นเรา คือซื้ออะไรที่ตัวเองอยากกินมา ก็จะฝากแช่ ไม่หยิบของในนั้นกินมั่ว.....ซึ่งเราและแฟนก็ปฏิบัติในลักษณะนี้เรื่อยมาไม่มีปัญหาอะไร
เจ้านายก็ถามอยู่ว่าทำไมไม่เอาขนมไปกินบ้าง บางอย่างก็หมดอายุคาตู้ไปเลยเช่น ยาคูล ขนมปัง บลาๆ
เรื่องมีอยู่ว่า ที่ บ. ผมทำงานมีพนักงานเข้ามาใหม่ คือนาย B ซึ่งนาย B มีประสบการณ์ในการทำงานมามาก รับงานหลายที่ แต่เป็นฟรีแลนมาก่อน ไม่เคยได้เป็นพนักงานประจำ ในที่ใดเลย(ซึ่งไม่รู้เหมือนกันเพราะอะไร) ซึ่งมาทำงานที่ บ. ผมเป็นที่แรกที่ บ. ผมรับเข้าทำงานเป็นพนักงานประจำ ยิ่งทำให้เขายิ่งคิดว่า ตนเองเป็นผู้เก่งกาจในด้านนี้
วันที่สามในการทำงานของนาย B ผ่านไป เรื่องราวก็เริ่มเกิดขึ้น ตอนนั้นเป็นช่วงพักกลางวันเสร็จหลังจากกินข้าวเราก็มานั่งโต๊ะจะทำงานต่อ
ซึ่งนาย B ก็เดินไปเปิดตู้เย็น แล้วเอ่ยปากถามเจ้านายผมว่า "อันไหนกินได้บ้าง" เจ้านายผมตอบว่ากินได้หมด ........... ซึ่งผมก็ไม่ได้เอ๊ะใจอะไร
ผ่านไปแว๊บเดียว ผมหันมาเห็นนาย B , นาย Bกำลังน้ำอัดลมที่ผมแฟนผมซื้อมาเมื่อเช้า มาฝากแช่เอาไว้อยู่ด้านล่างสุดของตู้ ไปเปิดกิน ดัง "ป๊อก"
ผมนี่ตาลุกวาวเลย คิดในใจเห้ย !!!! ของในตู้มีเยอะแยะแล้ว ทำไมต้องเอาอันนั้นมากินด้วยว่ะ ซึ่งมันวางอยู่ด้านล่างสุด หยิบยาก.....เอาไปกินหน้าตาเฉย ซึ่งตอนนั้นผมเริ่มไม่ค่อยประทับใจนาย B ขึ้นมานิดๆละ
หลายวันต่อมา นาย B หิว นาย B เดินไปเปิดตู้อีก ไปหาของกินอีก ขนม , มาม่า บลาๆ ทำเหมือนกับว่า ของในตู้เย็นนี้ ข้าจะกินอันไหนก็ได้ ถ้าข้าจะกิน โดยที่ไม่ได้เอ่ยปากขอกับเจ้านายอีกเลยทั้งๆที่เจ้านายก็นั่งอยู่ตรงนั้น
ไม่ได้ถามเลยว่าอันไหนกินได้กินไม่ได้ นาย B เล่นหยิบไปกินหมด
ซึ่งผมและแฟนก็ปรึกษากันว่า มันมีแบบนี้ด้วยเหรอว่ะ ที่บริษัทจะมี ขนม มีข้าวกลางวันให้กินอย่างเพียบพร้อม
เราก็คุยกันว่านี่มันไม่ใช่แล้ว มีอย่างที่ไหนเขาเลี้ยงข้าวแล้ว ยังมีหน้าไปเอาขนม เอาของที่เขาซื้อมาไว้กินกับภรรยาเขาไปกินหน้าตาเฉย
ทำไมเขาไม่ทำแบบเราบ้าง คืออยากกินอะไรก็ซื้อจากข้างนอกเข้ามา มาฝากแช่อะไรทำนองนี้ อยากกินขนมตอนบ่ายทำไมไม่ขี่รถจักรยานออกไปซื้อล่ะ ทำไมเขาไม่ซื้อมาไว้กินล่ะ ทำไมต้องอาศัยตู้เย็นบริษัทเป็นตัวช่วยประทังความหิวของตัวเอง ทำไมเขาไม่ทำแบบนั้น ไม่ใช่ว่าจะมาหากินเอาดาบหน้าแทน....
ซึ่งเวลาผ่านไปสองอาทิตย์ จากของในตู้เย็นที่มีอยู่อย่างล้นหลาม ตอนนี้เปิดตู้เย็นทีไรมันก็หายไป 20-30%แล้ว เท่าที่สังเกตมา เพราะตู้เย็นตู้นี้ตั้งแต่ทำงานมาจะไม่มีพื้นที่แช่ของได้อีก แต่พอนาย B มาทำงานไม่นานของในตู้ แหว่งไป 20-30% เลย
ซึ่งผมสังเกตว่าเดี๋ยวนี้เจ้านายซื้อของเข้าบ้าน จะซื้อมากกว่าปกติที่เคยซื้อ ซึ่งนั้นก็คือ เขาต้องจ่ายเงินเพิ่มในค่าของกินของเขาเอง เพื่อซื้อของให้เยอะพอกินของเขากับภรรยา ซึ่งไม่รู้ว่า ของที่ซื้อมาอันไหนจะได้กินบ้าง หายไปบ้าง....
ซึ่งช่วงนี้อากาศร้อน ตอนเช้าผมจะซื้อน้ำแข็งมาไว้ที่ออฟฟิต 1 ถุงไว้กินซึ่งซื้อมาประจำ ตลอดในตู้เย็นจะมีน้ำแข็งตลอด แต่พอมีนาย B มา น้ำแข็งในตู้หายหมด ตอนแรกผมก็ซื้อนะ พอผมเริ่มจับได้ว่านาย B ก็เอาน้ำแข็งผมไปกิน ผมนี่เลิกซื้อเลย เพราะผมเสียความรู้สึกมาก เพราะเราซื้อมาได้กินนิดเดียว นอกนั้นหาย ......
ซึ่งพอไม่มีน้ำแข็ง นาย B ก็มาบ่นลอยๆว่า เอ๊ะ ไม่มีน้ำแข็งแฮะ ว่าจะกินน้ำหวานซะหน่อย!!!!
ผมนี่อึ้งไปเลย....ที่ผมไม่อยากพูดเพราะ เรายังรักษาน้ำใจกัน ผมไม่อยากมีปัญหากับเพื่อนร่วมงานซึ่งก็ไม่มีใครทั้งนั้นละที่อยากมีปัญหากัน
ซึ่งมาถึงปัจจุบันนี้ นาย B ก็ไม่เคยซื้อของกินที่เป็นของตัวเองมายังออฟฟิศเลย จะมาทำงานตัวเปล่าตลอด เพราะเขาคิดว่า ข้าวกลางวันก็มีให้กิน ขนมก็มีให้กิน สบายใจ อิ่มจังตังค์อยู่ครบ.....
ซึ่งตอนนี้ผมและแฟนไม่กล้าซื้ออะไรมาฝากแช่ในออฟฟิศแล้วครับ เพราะผมกลัวผีตู้เย็น....กลัวของผมหาย ถ้าจะใช้วิธีการ เขียนชื่อแป๊ะไว้เดียวเจ้านายก็มาหาว่าผม Eโก้สูง หวงของกิน ใจแคบ ใจไม่กว้าง ไม่เป็นผู้ใหญ่พอ บลาๆๆสาระพัด ผมเลยตัดปัญหาโดยการไม่เอาอะไรไปแช่อีก
ซึ้งทุกวันนี้ผมซื้อเป๊บซี่กระป๋องเย็นๆมา ก็ต้องมาตั้งไว้ที่โต๊ะทำงานตัวเอง ตั้งไว้นาน จากเย็นเป็นไม่เย็น ก็กินมันทั้งอย่างนั้นล่ะ จะให้ใส่น้ำแข็งก็ไม่อยากซื้อน้ำแข็งละ ซื้อมาก็ได้กินไม่เท่าไหร่หายหมด.....
เวลาอยากกินอะไรเย็นๆขึ้นมาผมก็ขี่มอไซออกไป 7-11 ซื้อมากินเป็นแก้วแทน ซึ่งมันทำให้ ผมเสียค่าน้ำมันรถเพิ่ม เสียเวลางานออกไปซื้อน้ำมากิน
ตอนนี้พยายามหักห้ามใจไม่อยากกินอะไร
ซึ่งค่าใช้จ่ายทุกๆวันนี้ผมก็มีภาระอยู่แล้ว
ค่าใช้จ่าย ในแต่ล่ะเดือนก็ 4,000
------------
ค่ำน้ำมันรถ คิดเป็น 4 วันเติม น้ำมันรถ 1 ครั้ง เพราะขับมาทำงานทุกวัน เติมครั้งนึงก็ 150 เดือนนึงมี 30 วันเติมน้ำมันในเดือนนึงเฉลี่ย (30 / 4 = 7.5 ปัดเศษเป็น 8 เอา 150 X 8 = 1200 ) ค่าน้ำมันรถผมตกเดือน 1,200
------------
ค่าครองชีพประจำวันวันละ 100 ก็ 30x100=3,000
------------
ค่าผ่อนรถอีก 2800
------------
ยอดรวมค่าใช้จ่าย 4000+1200+3000+2800 = 11,000 กว่าๆ
------------
คือค่าใช้จ่ายเราก็เยอะเเล้วยังมาเจอคนประเภทนี้อีก ผมละเบื่อ เซ็งสุดๆ
ผมไม่ได้ใจคอคับแคบนะ ไม่ได้ใจไม่กว้างตะหนี่ ไม่เอื้อเฟื้ออะไร แต่ที่เขาทำอ่ะ มันเกินจะเอื้อเฟื้อนะครับ เพราะว่ทำงานก็ได้เงินเดือนเต็มจำนวนเหมือนกันหมด แต่ทำไม เขาไม่มีความรู้สึก ในส่วนตรงนี้บ้าง ?
มันสบายไปไหมครับ ข้าวมีให้กิน ขนมมีให้กิน....
สามํญสำนึกในความเกรงใจ อยู่ตรงไหน?
***คุณๆที่เขามาอ่าน คุณๆคิดว่า ผมควรทำอย่างไรดีครับ ???
ผีตู้เย็น เคยเจ๊อะ เคยเจอหรือเปล่า ??
นาย B = เป็นพนักงานที่เข้ามาทำงานใหม่ มั่งใจตัวเองสูง
เรื่องราวต่อไปเป็นเรื่องจริง ไม่ได้แต่งเติมขึ้นมาเอง เกิดขึ้นจริงล้วนๆ
บ. ผมเจ้านายเป็นคนใจดี เขาสั่งอาหารจากร้าน S&P มาให้กินเป็นมื้อกลางวันของพนักงานออฟฟิศนี้ ซึ่งน้อยมากที่จะมี บ. ทำแบบนี้ให้ลูกน้อง
ซึ่งผมก็เกรงใจในส่วนนี้เสมอมา เพราะว่าเราทำงานที่นี่เราได้เงินเดือนจากที่นี่ แถมที่นี่มีข้าวกลางวันให้กินฟรีๆ โดยไม่ได้หักอะไรจากเงินเดือนพนักงานเลย แถมเจ้านายผมก็ อนุญาติให้พนักงานสามารถหยิบขนมจากตู้เย็นในบริษัท มากินได้เลย โดยไม่ต้องเกรงใจ เพราะขนมในตู้เย็นนั้น เจ้านายผมเขาซื้อมาไว้ในตู้ เพื่อที่จะกินเองกับ ภรรยาเขา
ซึ่งเขาก็พูดเสมอๆว่า ของในตู้หยิบกินได้นะ แต่ผมและแฟนผมเกรงใจ ไม่เคยหยิบของในตู้เย็นกินเลย ถ้าจะได้กิน เจ้านายผมจะหยิบจากตู้มายื่นให้กับมือผม ซึ่งผมและแฟนก็รับไว้ ก็กินบ้างไม่กินบ้าง แอบเอาไปเก็บคืนบ้าง เพราะเนื่องจาก เราเกรงใจที่เขาเลี้ยงข้าวกลางวันเราแล้ว ในความคิดผมและแฟนมันก็มากพอแล้ว สำหรับชีวิตมนุษย์เงินเดือน เราก็เกรงใจ เราอาศัยแค่ เราซื้อของที่เราจะกิน มาฝากแช่ไว้เฉยๆ ในตู้เย็น แช่น้ำอัดลม ขนมบางอย่าง ซึ่งเราจะมีที่ประจำในการฝากแช่คือ ชั้นล่างสุดของฝาตู้เย็น ซึ่งตั้งแต่ทำงานมาก็แช่ตรงนั้นตลอดๆ
ซึ่งมีน้องที่ทำงานด้วยกันมา 1 คนน้องเขาก็ไม่เคยกล้าหยิบกินของในตู้เย็นนี้โดยพละการ ซึ่งถ้าน้องเขาอยากกินก็จะเอ่ยปากขออนุญาติเจ้านายก่อน
ซึ่งน้องเขาก็ทำเช่นเรา คือซื้ออะไรที่ตัวเองอยากกินมา ก็จะฝากแช่ ไม่หยิบของในนั้นกินมั่ว.....ซึ่งเราและแฟนก็ปฏิบัติในลักษณะนี้เรื่อยมาไม่มีปัญหาอะไร
เจ้านายก็ถามอยู่ว่าทำไมไม่เอาขนมไปกินบ้าง บางอย่างก็หมดอายุคาตู้ไปเลยเช่น ยาคูล ขนมปัง บลาๆ
เรื่องมีอยู่ว่า ที่ บ. ผมทำงานมีพนักงานเข้ามาใหม่ คือนาย B ซึ่งนาย B มีประสบการณ์ในการทำงานมามาก รับงานหลายที่ แต่เป็นฟรีแลนมาก่อน ไม่เคยได้เป็นพนักงานประจำ ในที่ใดเลย(ซึ่งไม่รู้เหมือนกันเพราะอะไร) ซึ่งมาทำงานที่ บ. ผมเป็นที่แรกที่ บ. ผมรับเข้าทำงานเป็นพนักงานประจำ ยิ่งทำให้เขายิ่งคิดว่า ตนเองเป็นผู้เก่งกาจในด้านนี้
วันที่สามในการทำงานของนาย B ผ่านไป เรื่องราวก็เริ่มเกิดขึ้น ตอนนั้นเป็นช่วงพักกลางวันเสร็จหลังจากกินข้าวเราก็มานั่งโต๊ะจะทำงานต่อ
ซึ่งนาย B ก็เดินไปเปิดตู้เย็น แล้วเอ่ยปากถามเจ้านายผมว่า "อันไหนกินได้บ้าง" เจ้านายผมตอบว่ากินได้หมด ........... ซึ่งผมก็ไม่ได้เอ๊ะใจอะไร
ผ่านไปแว๊บเดียว ผมหันมาเห็นนาย B , นาย Bกำลังน้ำอัดลมที่ผมแฟนผมซื้อมาเมื่อเช้า มาฝากแช่เอาไว้อยู่ด้านล่างสุดของตู้ ไปเปิดกิน ดัง "ป๊อก"
ผมนี่ตาลุกวาวเลย คิดในใจเห้ย !!!! ของในตู้มีเยอะแยะแล้ว ทำไมต้องเอาอันนั้นมากินด้วยว่ะ ซึ่งมันวางอยู่ด้านล่างสุด หยิบยาก.....เอาไปกินหน้าตาเฉย ซึ่งตอนนั้นผมเริ่มไม่ค่อยประทับใจนาย B ขึ้นมานิดๆละ
หลายวันต่อมา นาย B หิว นาย B เดินไปเปิดตู้อีก ไปหาของกินอีก ขนม , มาม่า บลาๆ ทำเหมือนกับว่า ของในตู้เย็นนี้ ข้าจะกินอันไหนก็ได้ ถ้าข้าจะกิน โดยที่ไม่ได้เอ่ยปากขอกับเจ้านายอีกเลยทั้งๆที่เจ้านายก็นั่งอยู่ตรงนั้น
ไม่ได้ถามเลยว่าอันไหนกินได้กินไม่ได้ นาย B เล่นหยิบไปกินหมด
ซึ่งผมและแฟนก็ปรึกษากันว่า มันมีแบบนี้ด้วยเหรอว่ะ ที่บริษัทจะมี ขนม มีข้าวกลางวันให้กินอย่างเพียบพร้อม
เราก็คุยกันว่านี่มันไม่ใช่แล้ว มีอย่างที่ไหนเขาเลี้ยงข้าวแล้ว ยังมีหน้าไปเอาขนม เอาของที่เขาซื้อมาไว้กินกับภรรยาเขาไปกินหน้าตาเฉย
ทำไมเขาไม่ทำแบบเราบ้าง คืออยากกินอะไรก็ซื้อจากข้างนอกเข้ามา มาฝากแช่อะไรทำนองนี้ อยากกินขนมตอนบ่ายทำไมไม่ขี่รถจักรยานออกไปซื้อล่ะ ทำไมเขาไม่ซื้อมาไว้กินล่ะ ทำไมต้องอาศัยตู้เย็นบริษัทเป็นตัวช่วยประทังความหิวของตัวเอง ทำไมเขาไม่ทำแบบนั้น ไม่ใช่ว่าจะมาหากินเอาดาบหน้าแทน....
ซึ่งเวลาผ่านไปสองอาทิตย์ จากของในตู้เย็นที่มีอยู่อย่างล้นหลาม ตอนนี้เปิดตู้เย็นทีไรมันก็หายไป 20-30%แล้ว เท่าที่สังเกตมา เพราะตู้เย็นตู้นี้ตั้งแต่ทำงานมาจะไม่มีพื้นที่แช่ของได้อีก แต่พอนาย B มาทำงานไม่นานของในตู้ แหว่งไป 20-30% เลย
ซึ่งผมสังเกตว่าเดี๋ยวนี้เจ้านายซื้อของเข้าบ้าน จะซื้อมากกว่าปกติที่เคยซื้อ ซึ่งนั้นก็คือ เขาต้องจ่ายเงินเพิ่มในค่าของกินของเขาเอง เพื่อซื้อของให้เยอะพอกินของเขากับภรรยา ซึ่งไม่รู้ว่า ของที่ซื้อมาอันไหนจะได้กินบ้าง หายไปบ้าง....
ซึ่งช่วงนี้อากาศร้อน ตอนเช้าผมจะซื้อน้ำแข็งมาไว้ที่ออฟฟิต 1 ถุงไว้กินซึ่งซื้อมาประจำ ตลอดในตู้เย็นจะมีน้ำแข็งตลอด แต่พอมีนาย B มา น้ำแข็งในตู้หายหมด ตอนแรกผมก็ซื้อนะ พอผมเริ่มจับได้ว่านาย B ก็เอาน้ำแข็งผมไปกิน ผมนี่เลิกซื้อเลย เพราะผมเสียความรู้สึกมาก เพราะเราซื้อมาได้กินนิดเดียว นอกนั้นหาย ......
ซึ่งพอไม่มีน้ำแข็ง นาย B ก็มาบ่นลอยๆว่า เอ๊ะ ไม่มีน้ำแข็งแฮะ ว่าจะกินน้ำหวานซะหน่อย!!!!
ผมนี่อึ้งไปเลย....ที่ผมไม่อยากพูดเพราะ เรายังรักษาน้ำใจกัน ผมไม่อยากมีปัญหากับเพื่อนร่วมงานซึ่งก็ไม่มีใครทั้งนั้นละที่อยากมีปัญหากัน
ซึ่งมาถึงปัจจุบันนี้ นาย B ก็ไม่เคยซื้อของกินที่เป็นของตัวเองมายังออฟฟิศเลย จะมาทำงานตัวเปล่าตลอด เพราะเขาคิดว่า ข้าวกลางวันก็มีให้กิน ขนมก็มีให้กิน สบายใจ อิ่มจังตังค์อยู่ครบ.....
ซึ่งตอนนี้ผมและแฟนไม่กล้าซื้ออะไรมาฝากแช่ในออฟฟิศแล้วครับ เพราะผมกลัวผีตู้เย็น....กลัวของผมหาย ถ้าจะใช้วิธีการ เขียนชื่อแป๊ะไว้เดียวเจ้านายก็มาหาว่าผม Eโก้สูง หวงของกิน ใจแคบ ใจไม่กว้าง ไม่เป็นผู้ใหญ่พอ บลาๆๆสาระพัด ผมเลยตัดปัญหาโดยการไม่เอาอะไรไปแช่อีก
ซึ้งทุกวันนี้ผมซื้อเป๊บซี่กระป๋องเย็นๆมา ก็ต้องมาตั้งไว้ที่โต๊ะทำงานตัวเอง ตั้งไว้นาน จากเย็นเป็นไม่เย็น ก็กินมันทั้งอย่างนั้นล่ะ จะให้ใส่น้ำแข็งก็ไม่อยากซื้อน้ำแข็งละ ซื้อมาก็ได้กินไม่เท่าไหร่หายหมด.....
เวลาอยากกินอะไรเย็นๆขึ้นมาผมก็ขี่มอไซออกไป 7-11 ซื้อมากินเป็นแก้วแทน ซึ่งมันทำให้ ผมเสียค่าน้ำมันรถเพิ่ม เสียเวลางานออกไปซื้อน้ำมากิน
ตอนนี้พยายามหักห้ามใจไม่อยากกินอะไร
ซึ่งค่าใช้จ่ายทุกๆวันนี้ผมก็มีภาระอยู่แล้ว
ค่าใช้จ่าย ในแต่ล่ะเดือนก็ 4,000
------------
ค่ำน้ำมันรถ คิดเป็น 4 วันเติม น้ำมันรถ 1 ครั้ง เพราะขับมาทำงานทุกวัน เติมครั้งนึงก็ 150 เดือนนึงมี 30 วันเติมน้ำมันในเดือนนึงเฉลี่ย (30 / 4 = 7.5 ปัดเศษเป็น 8 เอา 150 X 8 = 1200 ) ค่าน้ำมันรถผมตกเดือน 1,200
------------
ค่าครองชีพประจำวันวันละ 100 ก็ 30x100=3,000
------------
ค่าผ่อนรถอีก 2800
------------
ยอดรวมค่าใช้จ่าย 4000+1200+3000+2800 = 11,000 กว่าๆ
------------
คือค่าใช้จ่ายเราก็เยอะเเล้วยังมาเจอคนประเภทนี้อีก ผมละเบื่อ เซ็งสุดๆ
ผมไม่ได้ใจคอคับแคบนะ ไม่ได้ใจไม่กว้างตะหนี่ ไม่เอื้อเฟื้ออะไร แต่ที่เขาทำอ่ะ มันเกินจะเอื้อเฟื้อนะครับ เพราะว่ทำงานก็ได้เงินเดือนเต็มจำนวนเหมือนกันหมด แต่ทำไม เขาไม่มีความรู้สึก ในส่วนตรงนี้บ้าง ?
มันสบายไปไหมครับ ข้าวมีให้กิน ขนมมีให้กิน....
สามํญสำนึกในความเกรงใจ อยู่ตรงไหน?
***คุณๆที่เขามาอ่าน คุณๆคิดว่า ผมควรทำอย่างไรดีครับ ???