แชร์ประสบการณ์โรคตื่นตระหนก ( แพนิค ) ( panic disorder ) รักษาเกือบ 3 ปี หายแล้ว

กระทู้สนทนา
โพสเพื่อเป็นกำลังใจให้ทุกท่านที่ประสบอยู่นะครับ.... ว่าหายได้

อาการครั้งแรก
ระหว่างขับรถ อยู่ๆ ก็เกิดอาการ  แขนชา  เหมือนหายใจไม่อิ่ม  การบังคับรถเริ่มไม่มั่นคง  จึงหยุดรถพัก 10 นาที ก็ขับต่อ  อาการก็กลับมาอีก
จนพักครั้งที่ 3 อาการหนักขึ้น คือเหมือนจะหายใจไม่ออก  จึงตัดสินใจทิ้งรถโบกแท็กซี่ไปโรงบาลที่ใกล้ที่สุด
ระหว่างนั่งแท็กซี่ พบว่าอาการดันหายดี    
หมอบอกว่าเป็นโรคเครียด ไม่ได้ให้ยาใดๆ  
โทรให้ที่บ้านมารับ เพราะไม่กล้าขับรถต่อแล้ว  ( เหตุเกิดตอน 4 ทุ่ม เส้นบางนา ตราด กม.40  - บ้านอยู่ปิ่นเกล้า )

อาการครั้งสอง
คิดว่าเกิดจากพักผ่อนไม่เพียงพอ   หลังจากนั้น 3-4 วัน พักผ่อนเกินพอ พร้อมกลับไปขับรถต่อ
ระหว่างขับรถ ก็ให้กำลังใจตัวเองว่า "ไม่เป็นแล้วๆ"
ผ่านไป 1 กม.  อาการกลับมา คือ แขนชา การบังคับรถเริ่มไม่มั่นคง

ตรวจสุขภาพครั้งใหญ่
ไป รพ.เอกชน เสียเงินไป 15,000 บาท  พบว่าสุขภาพแข็งแรง
ซึ่งสวนทางกับความคิดมาก   แล้วที่เกิดขึ้นคืออะไร
ถัดมาอีกวัน ไปเดินห้าง    ระหว่างขึ้นบันไดเลื่อนอยู่ๆ ก็หวิวๆ เหมือนจะเป็นลม  จึงนั่งพัก อาการดีขึ้น  
รีบขึ้นแท๊กซี่กลับไป รพ.เอกชนเดิม  ที่ห้องฉุกเฉิน ไม่มีอะไรเกิดขึ้น

ใจเป็นนาย กายเป็นบ่าว
เริ่มกลัวแล้วสิ  แม้ไม่ขับรถ อาการก็มาได้  
ทีนี้ คิดถึงเมื่อไร  อาการแขนขาชา ใจสั่น กำเริบทันที  ( ปัญหาคือคิดถึงอาการนี้ วันละหลายรอบ อาการเกิดทุกรอบ )
แต่ยังออกไปข้างนอกได้  เกิดอาการก็ตั้งสติประคองตัว
ส่วนการขับรถ  เลิกขับ...
เรียกว่าเป็นโรคแพนิคเต็มขั้น  ( แต่ตอนนั้นไม่รู้จักโรคนี้ )
หมอก็ไม่หาแล้ว เพราะหมอก็หาโรคไม่เจอ ....  T-T

รู้ชื่อโรค
หลังจากนั้น 1 เดือน คุณแฟนรู้จักหมอจิตเวช จึงได้ปรีกษา และหมอก็บอกว่า เป็นโรคแพนิค
สวรรค์โปรดมาก  คือ ถ้ารู้ชื่อโรค ก็น่าจะรักษาหาย

แผนกจิตเวช ครั้งแรก
หมอถามหาสาเหตุที่แท้จริงตอนเกิดอาการครั้งแรก  เช่น  เคยประสบหรือเห็นอุบัติเหตุร้ายแรงไหม  ( ไม่เคย )  สรุปคือหาสาเหตุไม่ได้
ได้ยามา 1 อย่าง ที่ต้องกินทุกวัน  จนช่วยทำให้ไม่คิด ( ผมยังสงสัยว่า จะไปหยุดความคิดได้อย่างไร )
กินไป 2 สัปดาห์ ยาออกฤทธิ์  ไม่คิดจริงๆ ด้วย  โครตอเมซิ่ง
กลับไปขับรถต่อ  (แต่มีเพื่อนไปด้วย)  พบว่าเมื่อขับรถ อาการกลับมากำเริบซะงั้น แต่ไม่รุนแรงเหมือนคราวก่อน แต่ก็ขับไม่ได้อยู่ดี

แผนกจิตเวช ครั้งสอง
หมอบอกอาการหนัก  เอายาไปเพิ่มอีก 2 ชุด  ( ชุดแรกใช้กินก่อนขับ(ช่วยระงับใจสั่น)   แต่ถ้าเอาไม่อยู่จึงกินชุดสองซึ่งอาจทำให้ง่วง )

ทาสยา
ขับรถได้ แต่ต้องกินยา
หลายเดือนผ่านไป ลองเลิกกินยาทั้งหมด ( ไม่ได้ปรีกษาหมอ )   พบว่าเริ่มกลับมาคิดถึงอาการอีก  เริ่มจะกลับไปเป็นเหมือนแต่ก่อน   กลับไปกินยาดังเดิม
ถามหมอถึงวิธีหายขาด  หมอบอกว่าต้องกล้าที่จะไม่ทานยาแล้วไปขับรถ ถ้าจะชนจะเกิดอะไรก็ต้องยอม เพื่อเรียกความมั่นใจว่าทำได้  ( ไม่กล้าเสี่ยงตามคำแนะนำ เพราะอาจชนรถหรือชนคนตายได้ ...ไม่คุ้ม )

พบสาเหตุแท้จริง
2 ปีถัดมา ขับรถไปหาลูกค้าแต่เช้า จึงดื่มกาแฟ ( เข้มและแก้วใหญ่ )   ระหว่างนั่งประชุม  อยู่ๆ ก็ใจสั่น อยากจะเป็นลม
ทำให้นึกย้อนไปถึงวันเกิดอาการครั้งแรก  คือก่อนเกิดอาการ ก็ดื่มกาแฟ ( เข้มและแก้วใหญ่ ) เช่นกัน
ในที่สุด ก็หาสาเหตุที่แท้จริงพบแล้ว
ความรู้สึกคือ  พอเราไม่รู้สาเหตุ จึงทำให้กลัว จึงเป็นจุดเริ่มแพนิค

ปล.1 ปกติก็ดื่มกาแฟบ้าง   แต่ไม่เคยเกิดอาการใจสั่น  จึงไม่ได้บอกหมอว่าดื่มกาแฟ ( ทั้งๆ ที่คราวแรกก็นึกออกว่ามีดื่มกาแฟ แต่เพราะไม่เคยเกิดอาการจึงตัดประเด็นทิ้ง )
ปล.2   เรื่องตลกคือ ระหว่างเป็นแพนิค ไปขับรถก็มีดื่มกาแฟ  ( กาแฟทำให้ใจสั่น  กินยาทำให้หยุดใจสั่น เหมือนงูกินหางพิกล 55 )

หายขาด
หยุดยาเรียบร้อย  หลังจากทานมา 2 ปีกว่า ซึ่งเคยทำใจว่าคงทานตลอดชีวิต

ข้อดีของการป่วย
ผมไม่อาย และไม่ได้ปิดบัง  แต่กลับเห็นเป็นเรื่องสนุกได้เข้าห้องจิตเวชบ้าง ( แม้ภาพต่างกับในหนังที่มีนอนเตียง 55 )
และทำให้รับรู้ว่ามีคนรู้จักบางคน ก็เป็นโรคย้ำคิดย้ำทำ   บางคนก็โรคซึมเศร้า  ก็ได้ให้กำลังใจกันไป ซึ่งก็รักษาหายกันหมด
และทำให้รู้จักโลกทรรศกว้างขึ้น

บางคนแอบไปเม้าส์กันว่าผมเป็นคนบ้า กันเลยทีเดียว ( ภาพลักษณ์ของคนไข้โรคจิต ) 55
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่