สวัสดีค่ะ เป็นกระทู้แรกที่ตั้ง เพราะอึดอัดมาก
ไม่รู้จะทำยังไงดี เนื่องจากอาการป่วยทางจิตเวช
ทำให้การตัดสินใจและเหตุผลลดลงค่ะ
1- เริ่มแรก เราเป็นแค่คนปกติธรรมดาที่กำลังจะเรียนจบ
อาศัยอยู่คนเดียวที่หอพัก เพราะปัญหาครอบครัว
แล้วก็มีผู้ชายคนนึงเดินเข้ามาหาในระหว่างที่เดินเล่น
ที่ห้างสรรพสินค้าค่ะ
2- เขาแต่งตัวดูมีภูมิฐาน เข้ามาเพื่อทักทาย เราก็ทักทายตามปกติค่ะ แล้วเดินไปบริเวณอื่น แต่เขาก็เดินตามมา แล้วพยายามทำความรู้จัก เรารู้สึกแปลกๆ เลยเดินหนี
3- ผ่านมา 1-2 วัน เรามาเดินเล่นที่ห้างอีก ก็เจอเขาอีกค่ะ และเหมือนเดิมที่เขาพยายามคุยด้วย และขอเบอร์ติดต่อ และบอกว่าชอบเรา เราเลยปฏิเสธไป
4- เราไม่รู้ตัวเลยค่ะว่าโดนสะกดรอยอยู่ เพราะตอนนั้นยังเป็นแค่เด็กมหาลัยอยู่ จะกี่ครั้งที่ไปเดินเล่นห้าง ก็จะเจอเขาประจำ แต่ละครั้งก็จะโผล่มาพร้อมดอกไม้บ้าง ขนมบ้าง พยายามเข้าหาและจีบเราค่ะ
5- เรากลับไปคุยกับเพื่อน ว่าเจอแบบนี้ เพื่อนก็อวยว่ามีผู้ชายมาชอบมาจีบนี่ดีแล้วนะ เขาอาจจะชอบเราจริงๆก็ได้ ลองคบดูมั้ย ไม่เวิร์คก็แยกทาง รักกับคนที่รักเราเป็นเรื่องที่ดีนะ ฯ
6- เราก็มีกังวลอยู่บ้าง แต่ก็ลองเปิดใจให้ ให้เขาเข้ามาจีบ แล้วดูไปเรื่อยๆ เขาดูแลเรา เอาใจดีเกินคาด จนเพื่อนๆเริ่มเชียร์ เราเลยตกลงไปค่ะ
โดยไม่รู้ว่าเรื่องเลวร้ายที่สุดในชีวิตจะเข้ามา
7- หลังจากดูใจมาสักเดือน เราตกลงคบกันค่ะ
เขาก็พาไปรู้จักที่บ้าน บ้านหลังใหญ่โต
เขามีครอบครัวเป็นข้าราชการทหาร มีพี่เป็นผู้พัน
มีพ่อเป็นนายร้อย เขาว่ามีลุงเป็นนายพลที่เกษียณแล้ว
และเขาก็พึ่งเรียนจบเหมือนกัน อายุใกล้เคียงเรา
ตอนนั้นเรายัง 19 เขาว่าอายุ 21
8- เราเลยรู้สึกเหมือนว่า โชคดีจังนะ
ที่จะได้มาอยู่บ้านหลังนี้ ไม่ต้องอยู่ห้องพักแล้ว
แถมเขาก็กำลังจะไปสอบนายสิบ มันดูมีอนาคต
มันดูจะดีใช่ไหมล่ะคะ สำหรับเราในตอนนั้น
9. แต่แล้วทุกอย่างก็เริ่มออกลาย หลังอยู่ไปได้สักพัก
ครอบครัวเขาดูไม่ชอบเรามากๆ ซึ่งเราไม่เข้าใจว่าทำไม
แม่เขาพูดใส่เราสารพัด ลุงกับป้าก็ดูถูกว่าเรา
เป็นตัวเสนียด เป็นผู้หญิงชั้นต่ำมาเกาะบ้านเขากิน
เราไม่เข้าใจอะไรเลยสักอย่าง เราไม่ดีตรงไหน
10. เราแทบจะกลายเป็นแม่บ้านไปแล้ว
เราต้องทำความสะอาดบ้านทั้ง 3 หลัง
ทำงานบ้านทุกอย่าง ตื่นพร้อมพลทหาร
มาทำงานบ้าน เราพยายามคุยเรื่องนี้กับเขา
เขาก็แทบไม่สนใจ ไม่ใส่ใจเลยค่ะ แล้วยังโมโหใส่ด้วย
11. ผ่านไปครึ่งปี เราไม่ไหว เลยเก็บของจะออกมา
แต่ว่าก็ถูกเขาขังไว้ในบ้าน ไม่ให้ออกไปไหน
เขากลายเป็นคนละคน ทุบตี ทำร้ายร่างกายบ่อยครั้ง
ทุกคนในบ้านเห็น แต่ไม่มีใครห้าม โทษว่าเป็นเพราะ
เราไปทำเขาโกรธเอง
12. เราต้องถูกคนในบ้านถม

ถูกเขาทุบตีและเริ่มหนักขึ้นเรื่อยๆ ไปจนถึงการขมขืนอยู่บ่อยๆ
โดยไม่ป้องกัน จนกระทั่งเราท้องขึ้นมา
เวลาป่วยไม่สบาย ไม่ได้ไปหาหมอ
ออกจากบ้านไม่ได้เลย
13. จนเวลาล่วงเลยไปตอนท้องได้ 5 เดือน เขาจึงพาเรา
ไป รพ. ไปฝากท้อง จะได้คลอดฟรีที่ รพ.รัฐ
ให้ได้สมุดสีชมพูมา เราตอนนั้นมีแต่ความหวาดกลัว
ไม่กล้าขอความช่วยเหลือใคร กลับบ้านไปก็ถูกทำร้าย
ทั้งที่ท้องอยู่ การถูกเก้าอี้ฟาดจนหักในตอนนั้น
ทำให้แทบทนไม่ไหวจนอยากจะไปๆซะ
14. เราพยายามติดต่อแม่ แต่ก็ถูกขัดขวางตลอด
จะติดต่อเพื่อน หรือติดต่อใคร ไม่ได้เลยสักคน
เพราะเขาดูอยู่ตลอด ทุกครั้งที่แม่ติดต่อมา
เราจะต้องบอกว่าเราสบายดีเสมอ บอกว่าเขาดูแลดี
15. หลังจากคลอดลูก เรามีภาวะซึมเศร้าหลังคลอด
ทำอะไรได้ช้าลง ไม่มีงานและเงิน เลี้ยงลูกคนเดียว
ในบ้านหลังนั้น มือนึงอุ้มลูก อีกมือทำงานบ้าน
ส่วนเขา ออกไปเที่ยวผู้หญิง ไปเสพยา เราเหนื่อยมาก
บ้าน 3 หลัง กับเด็กทารก 1 คน ที่เราไม่รู้วีธีดูแล
อาศัยแค่สมุดสีชมพูช่วย จนเลี้ยงลูกมาได้ 1 ขวบ
16. เรากับลูก อาศัยด้วยการกินเศษข้าว ของเหลือ
เรากับลูกต้องนั่งพื้น เพื่อรอทุกคนในบ้านกินข้าว
ทุกครั้งที่นั่งรอ เราหวังว่าจะมีอะไรดีๆเหลือบ้าง
แต่พอเงยหน้าดูบนโต๊ะ มันเป็นแค่จานมีเศษๆ
บางครั้งถ้ามีของเหลือมาก จะถูกสั่งให้พลทหาร
เอาไปเททิ้งถังขยะ เรารอกลางดึกเสมอ
เพื่อไปคุ้ยอันที่ยังดีๆ สะอาดๆ มากินกับลูก
17. พลทหารบางคนเห็นใจเรา แล้วแอบเอาข้าวมาให้
แต่ก็ถูกจับได้ แล้วเราก็ไม่เห็นพลทหารคนนั้นอีกเลย
ส่วนเราก็ถูกด่าว่า เราทั้งเครียด ทั้งคิดมาก
อาการซึมเศร้ารุนแรงขึ้นเรื่อยๆ
18. วันนึงเขากลับมาบ้าน พร้อมกับปืน 1 กระบอก
นั่งเช็ดถู ชื่นชม โดยให้เรานั่งดูใกล้ๆ เขาพูดเป็นนัยๆ
ว่าเราจะไม่มีทางหนีเขาไปพ้นเด็ดขาด เขาเริ่มจะพาเรา
ไปที่สนามยิงปืนเพื่อดูเขายิงเป้าบ่อยๆ
19. เราถูกปั่นหัวมากมายให้รักเขา
เราเข้าใจว่าตัวเองยังรักเขาไม่พอ เลยโดนทำร้าย
เราเลยพยายามรักให้มากขึ้น แต่ไม่รู้ทำไม
ถึงรู้สึกทรมานในใจมากขึ้นกว่าเดิม เราหวังว่าเขา
จะกลับตัวในสักวัน
20. คืนหนึ่งที่เขาเมามากเพราะฉลองจนหลับไป
เราเห็นโทรศัพท์เขาเปิดทิ้งไว้ เลยกดเข้าไปดู
พบว่าจริงๆแล้ว เขามีเมียอยู่แล้ว มีลูกด้วยกันแล้ว
แต่งกันแล้ว ผู้หญิงคนนั้นทั้งดูดี มีฐานะ บ้านรวย
เราช็อคจนสติแทบไม่อยู่กับตัว
21. คืนนั้น เราเลยค้นทุกอย่างในห้อง พบว่าจริงๆแล้ว
เขาไม่ได้อายุ 21 ในวันที่เราพบกัน เขาอายุ 30 กว่าแล้ว
เรียนไม่จบ สอบนายสิบไม่ติดเลยต้องยัดเงิน
บ้าความรุนแรง บ้าทหาร มีรูปถ่ายความรุนแรง
มีรูปตอนไปเข้าร่วมการประท้วงที่มีธงชาติเอามาพันตัว
22. เราต้องหนี โดนยิงก็ช่าง นี่คือความคิดที่ผุดขึ้นมา
เราพยายามพาลูกหนี แต่ว่าไม่มีรถเลย มันเป็นกลางดึก
เราอุ้มลูก สะพายกระเป๋า ปีนรั้วบ้าน เดินเท้าหลายกิโล
กว่าจะเจอถนนใหญ่ แล้วเดินไปเรื่อยๆ
23. เราสับสน เครียด สภาพเราไม่กล้าเจอหน้าแม่เลย
สิ่งที่แม่รับรู้จากเราคือเราไปอยู่กับสามีที่บ้านหลังใหญ่
แม่เลยสบายใจคิดว่าเราจะสุขสบาย
ถ้าแม่เห็นเราสภาพนี้ จะทำไงดี
24. เราเหนื่อยมาก เพราะห่างไกลตัวเมือง
เลยพาลูกนอนที่ศาลา แต่ไม่นาน ก็ถูกคนที่บ้านนั้น
ตามจนเจอ เขาบอกว่าเขาเข้าถึงกล้องวงจรปิดทุกจุด
เลยเอาเรากับลูกกลับไป แล้วให้มีคนเฝ้า ขังเราไว้
25. เราแพนิค ดีเพรสหนักจนแทบจะทนไม่ไหว
แต่เราก็ทนเพื่อลูก จนเรื่องราวทุกอย่างมันเกิดซ้ำๆ
ผ่านมา 5-6 ปี เราอายุก็ปาไป 24 ปี เหมือนศพเดินได้
ที่มีเด็กออทิสติกคนนึงเดินข้างๆ
26. วันที่ฟางเส้นสุดท้ายขาด เรามองหน้าลูก
เราเห็นแววตาที่ลูกไม่ได้รับรู้อะไรสักอย่าง ไม่รู้ว่าเรา
โดนอะไร สภาพเป็นยังไง เรายิ้มออกมาเหมือนคนบ้า
เหมือนว่าเป็นเรื่องดีที่ลูกไม่รับรู้อะไร เรากอดลูกแน่น
อย่างน้อย ถึงบ้านหลังนี้จะใจร้ายกับเรา แต่ก็ไม่ใจร้าย
กับเด็กคนนี้
27. กลางดึกเราขโมยกุญแจรถเก๋ง
ออกมาก่อไฟเตาถ่าน ทำทีว่าจะต้มน้ำ
เอาไปชงนม เพื่อที่คนเฝ้าจะได้ไม่สงสัย เราดับไฟ
ให้เตาเป็นควัน แอบเดินไปโรงรถ
เปิดรถแล้วเข้าไปเงียบๆ ตั้งเตาไว้ที่พักเท้า
ที่นั่งด้านหน้า เราขยับไปนอนด้านหลัง กินยาแก้แพ้
ให้ตัวเองง่วง เพื่อจะได้หลับไป พร้อมกับออกซิเจน
ที่ค่อยๆหมดลง
28. แต่คนเฝ้าก็สังเกตเห็นว่ามันนานเกินไป
เลยเรียกคนทั้งบ้าน เพื่อหาเรา แล้วพบว่าเราอยู่ในรถ
พวกเขาเปิดรถ ลากเราออกมาไว้หน้าบ้าน
รุมด่าสาปแช่ง ว่าเราทำรถเขาเสียหาย
เราที่สูดควันไปในปริมาณมาก พอเจออากาศ
ในคอและระบบหายใจมันแสบ มันทรมานไปหมด
เราดิ้น ร้องไห้ ทุรนทุรายเหมือนคนสำลักควัน
พวกเขาก็ยังยืนรุมด่า แล้วเดินเข้าบ้านไปนอน
29. เรานอนหายใจหอบขัดตรงนั้นจนเช้า
หยิบมือถือที่แอบไว้ โชคดีที่พวกเขาไม่รู้
โทรหาแม่ บอกแม่ ว่าช่วยหนูด้วย
แม่เลยลางาน แจ้งตำรวจ มาที่บ้านหลังนี้
และพาเราออกมาส่งโรงบาลประจำจังหวัด
30. เราไม่รู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น แม่ได้แต่ขอโทษเรา
ที่ปล่อยเราไว้คนเดียวมาตลอด เรารู้สึกว่า เราต่างหาก
ที่ควรขอโทษ ที่เกิดมาบนโลกนี้ แม่จะได้ไม่ต้องเกลียด
ที่เห็นหน้าเรา แล้วทำให้นึกถึงพ่อ เราจะได้ไม่ต้อง
มาเจออะไรแบบนี้ด้วย
31. รพ.ใหญ่ พยายามช่วยชีวิต ในห้องฉุกเฉินเราจำได้
แค่ตัวเองมีสายเต็มตัว หน้าจอติดเพดาน
มีชื่อเราแถบสีแดง จนพ้นขีดอันตราย
แล้วรักษาโรคซึมเศร้าต่ออีก 1 เดือน โดยที่อาศัยกับแม่
32. หมอพบว่าเราไม่ดีขึ้นเลย เลยให้หมอคนอื่นๆมาช่วย
จนพบว่าที่เราเป็น มันเกินกำลังของ รพ. ใหญ่
ต้องส่งตัวไปที่ รพ. จิตเวชเฉพาะทาง
33. เมื่อถึงจิตเวช เราถูกเจ้าหน้าที่ หมอที่อยู่เวรวันนั้น
รวบตัวจับมัดมือ มัดเท้า มัดตัวให้ติดเตียง
ขยับไม่ได้เลย เรากลัวมากจนคลุ้มคลั่งทำร้ายเจ้าหน้าที่
แกะผ้าเชือกออกเองได้ แล้วพยายามหนี
34. แต่ก็ถูกจับได้อยู่ดี ถูกมัดแน่นหนาขึ้น
หมอฉีดอะไรสักอย่างสีเหลืองใส่ที่บริเวณก้น 2 ไซลิ้งค์
จนเราอ่อนแรงลง ภาพที่เห็นคือแม่ให้การกับตำรวจ
มีOscc มีเจ้าหน้าที่หลากหลายเต็มไปหมด
35. ระหว่างที่นอนแอดมิดอยู่ แม่ก็เข้ามา
พร้อมเพื่อนๆเรา ทุกคนขอโทษเรา เราจำไม่ได้แล้วว่า
ขอโทษอะไร แล้วก็ถูกพาไปที่อาคารรักษา
อยู่ในห้องกรงขังที่มีพยาบาลเฝ้าตลอด 24 ชม.
มีผู้ป่วยคนอื่นมายืนดู เรากลัวไปหมด
36. อยู่ในกรง 1 อาทิตย์ แล้วย้ายออกมาห้องรวม
หมอจะเข้ามาดูอาการทุก 1 อาทิตย์
นักจิตเข้าทุกอาทิตย์ ทำกิจกรรมในอาคารที่หน้าต่าง
และประตู ติดตั้งตะแกรง 2 ชั้น กล้องวงจรปิดทุกมุม
ยาที่กินมีมากถึง 18 เม็ด แค่เซอทาลีนก็ปาไป 4 เม็ดแล้ว
ยาควิไทอะปีนอีก 3 เม็ด ลอร่าซีแปม และยาอื่นๆอีก
37. เราอยู่แต่ในจิตเวชเป็นเวลา 3 เดือน
หมอประเมินว่าดีขึ้นแล้ว ถึงปล่อยออกมา เรารู้สึกแปลก
กับโลกภายนอก เฟซบุ๊กไปไกลขนาดนี้แล้วหรอ
โทรศัพท์จอใหญ่ขึ้น กลับไปที่บ้าน ก็พบว่าเขาและลูก
แอบบุกเข้าบ้านเพื่อมาหาเรา ไม่รู้ว่ารู้ได้ไงที่เราออก รพ.
38. เราแพนิคหวาดกลัวสุดขีด กลัวทั้งเขา ทั้งเด็กคนนั้น
แม่พยายามไล่เขาออกไป เขาก็เอาแต่บอกจะปรับปรุง
เป็นคนใหม่ แต่เราไม่เชื่ออีกแล้ว
เราพยายามแจ้งสายตรวจให้ช่วย พึ่งออกมาได้ไม่ถึงวัน
เราถูกส่งกลับเข้าจิตเวชคืน และอยู่อีก 3 เดือน
39. เราไม่กล้าออกจิตเวช เราแทบเป็นบ้า
ตอนเจอหมอ เราเห็นหนังสือประวัติเราที่ถูกเปิดจนยับ
มีตัว SE สีแดงที่ชื่อ มีลิสต์อาการเขียนไว้
เราเป็นซึมเศร้ารุนแรง แพนิค ดีเพรส ไบโพล่าร์
จิตไม่ปกติ ความจำขาดหาย ยาวเป็นแถว แทบทุกอย่าง
ที่มีในรายการอาการทางจิต
40. หมอบอกว่าเราพูดคนเดียวบ่อย เห็นภาพหลอน
หูแว่วชัดเจน จำไม่ได้ทุกครั้งที่พยายามทำร้าย
เจ้าหน้าที่และพยาบาล หรือผู้ป่วยคนอื่น พยายามแงะ
หน้าต่าง ประตูเพื่อหนี นั่งยิ้ม นั่งหัวเราะคนเดียว
พยายามใช้ทุกอย่างที่มีเพื่อทำร้ายตัวเอง
แม้แต่เศษเล็บ หรือปลอกหมอนที่เอาไปผูกคอในห้องน้ำ
เราจำไม่ได้ การกลับมามีสตินั้นยากมาก
เราเลยถูกส่งตัวไปรักษาด้วยไฟฟ้า ECT 12 ครั้ง
เป็นเวลา 1 ปี แล้วรักษาทุกอย่างอีก 1 ปี
ไม่ได้ออกจากจิตเวชเลย
41. หลังจากเราเริ่มที่จะมีสติมากขึ้น
หมอก็อนุญาตให้ออกมาได้ และต้องรักษาตลอดไป
นัดเจอทุกเดือนเพื่อตรวจอาการ และรับยา
หมอแจ้งตำรวจไว้ว่าถ้าเราสติหลุด
จะถูกจับเข้าจิตเวชคืน ปัจจุบันรักษามา 7 ปีแล้วค่ะ
42. เราทำงานประจำไม่ได้ เลยต้องอาศัยรับจ้างเล็กๆ
เพื่อหาเงินเลี้ยงตัวเอง เพราะแม่ก็จะเกษียณแล้ว
เราเสียสิทธิ์ความสามารถเลี้ยงดูลูกเพราะเป็นจิตเวช
เรากับแม่ต้องย้ายที่อยู่บ่อยๆ เพื่อหนีจากการคุกคาม
ของบ้านหลังนั้น แม่กอดหมายศาลไว้แน่น
ถ้าหากเราเป็นอะไรไป แต่เรารู้สึกว่า พวกเขานั้น
เงินมาก อำนาจมาก เราจะทำอะไรได้
43. ปัจจุบันเริ่มดีขึ้น แต่ก็ยังถูกเขาพยายามติดต่ออยู่ดี
แถมเมียเขายังติดต่อมาถม

อีก ว่าเขาอยู่ด้วยกัน
ไม่เห็นจะทำร้ายกันตรงไหนเลย เรารู้สึกแย่มากๆ
สงสารแม่ สงสารตัวเอง มันเหนื่อยมากๆในแต่ละวัน
44. ความทรงจำยังตามหลอน แม้ว่าชีวิตจะเริ่มดีขึ้น
เห็นอะไรกระตุ้นนิดหน่อยก็แพนิคจนต้องรีบกลับบ้าน
พยายามมีชีวิตอยู่ต่อไม่อยากกินยาแล้ว
เราจะเดินทางไหนต่อดีกับชีวิต
เป็นคนวิกลจริตที่พยายามมีสติให้อยู่ในสังคมได้
แต่มันเหนื่อยสุดๆ แต่บางครั้ง
การไม่มีสตินี่ก็ดีอย่างนึง ไม่ต้องเจ็บปวดกับความจำ
เดินอย่างมีความสุข เด็ดดอกไม้ข้างทาง แต่ก็อันตราย
ที่เราจะทำร้ายคนอื่นที่เข้าใกล้ แย่ชะมัดเลยค่ะ
รู้สึกเหนื่อยมากเลยล่ะค่ะ เราอาจจะไปพักผ่อนเร็วๆนี้
ถ้ามีคนเข้ามา ขอบคุณที่อ่านเรื่องเราจนจบนะคะ
ชีวิตพังจากคนที่เข้ามา จนกลายเป็นโรคจิตเภทรุนแรง
ไม่รู้จะทำยังไงดี เนื่องจากอาการป่วยทางจิตเวช
ทำให้การตัดสินใจและเหตุผลลดลงค่ะ
1- เริ่มแรก เราเป็นแค่คนปกติธรรมดาที่กำลังจะเรียนจบ
อาศัยอยู่คนเดียวที่หอพัก เพราะปัญหาครอบครัว
แล้วก็มีผู้ชายคนนึงเดินเข้ามาหาในระหว่างที่เดินเล่น
ที่ห้างสรรพสินค้าค่ะ
2- เขาแต่งตัวดูมีภูมิฐาน เข้ามาเพื่อทักทาย เราก็ทักทายตามปกติค่ะ แล้วเดินไปบริเวณอื่น แต่เขาก็เดินตามมา แล้วพยายามทำความรู้จัก เรารู้สึกแปลกๆ เลยเดินหนี
3- ผ่านมา 1-2 วัน เรามาเดินเล่นที่ห้างอีก ก็เจอเขาอีกค่ะ และเหมือนเดิมที่เขาพยายามคุยด้วย และขอเบอร์ติดต่อ และบอกว่าชอบเรา เราเลยปฏิเสธไป
4- เราไม่รู้ตัวเลยค่ะว่าโดนสะกดรอยอยู่ เพราะตอนนั้นยังเป็นแค่เด็กมหาลัยอยู่ จะกี่ครั้งที่ไปเดินเล่นห้าง ก็จะเจอเขาประจำ แต่ละครั้งก็จะโผล่มาพร้อมดอกไม้บ้าง ขนมบ้าง พยายามเข้าหาและจีบเราค่ะ
5- เรากลับไปคุยกับเพื่อน ว่าเจอแบบนี้ เพื่อนก็อวยว่ามีผู้ชายมาชอบมาจีบนี่ดีแล้วนะ เขาอาจจะชอบเราจริงๆก็ได้ ลองคบดูมั้ย ไม่เวิร์คก็แยกทาง รักกับคนที่รักเราเป็นเรื่องที่ดีนะ ฯ
6- เราก็มีกังวลอยู่บ้าง แต่ก็ลองเปิดใจให้ ให้เขาเข้ามาจีบ แล้วดูไปเรื่อยๆ เขาดูแลเรา เอาใจดีเกินคาด จนเพื่อนๆเริ่มเชียร์ เราเลยตกลงไปค่ะ
โดยไม่รู้ว่าเรื่องเลวร้ายที่สุดในชีวิตจะเข้ามา
7- หลังจากดูใจมาสักเดือน เราตกลงคบกันค่ะ
เขาก็พาไปรู้จักที่บ้าน บ้านหลังใหญ่โต
เขามีครอบครัวเป็นข้าราชการทหาร มีพี่เป็นผู้พัน
มีพ่อเป็นนายร้อย เขาว่ามีลุงเป็นนายพลที่เกษียณแล้ว
และเขาก็พึ่งเรียนจบเหมือนกัน อายุใกล้เคียงเรา
ตอนนั้นเรายัง 19 เขาว่าอายุ 21
8- เราเลยรู้สึกเหมือนว่า โชคดีจังนะ
ที่จะได้มาอยู่บ้านหลังนี้ ไม่ต้องอยู่ห้องพักแล้ว
แถมเขาก็กำลังจะไปสอบนายสิบ มันดูมีอนาคต
มันดูจะดีใช่ไหมล่ะคะ สำหรับเราในตอนนั้น
9. แต่แล้วทุกอย่างก็เริ่มออกลาย หลังอยู่ไปได้สักพัก
ครอบครัวเขาดูไม่ชอบเรามากๆ ซึ่งเราไม่เข้าใจว่าทำไม
แม่เขาพูดใส่เราสารพัด ลุงกับป้าก็ดูถูกว่าเรา
เป็นตัวเสนียด เป็นผู้หญิงชั้นต่ำมาเกาะบ้านเขากิน
เราไม่เข้าใจอะไรเลยสักอย่าง เราไม่ดีตรงไหน
10. เราแทบจะกลายเป็นแม่บ้านไปแล้ว
เราต้องทำความสะอาดบ้านทั้ง 3 หลัง
ทำงานบ้านทุกอย่าง ตื่นพร้อมพลทหาร
มาทำงานบ้าน เราพยายามคุยเรื่องนี้กับเขา
เขาก็แทบไม่สนใจ ไม่ใส่ใจเลยค่ะ แล้วยังโมโหใส่ด้วย
11. ผ่านไปครึ่งปี เราไม่ไหว เลยเก็บของจะออกมา
แต่ว่าก็ถูกเขาขังไว้ในบ้าน ไม่ให้ออกไปไหน
เขากลายเป็นคนละคน ทุบตี ทำร้ายร่างกายบ่อยครั้ง
ทุกคนในบ้านเห็น แต่ไม่มีใครห้าม โทษว่าเป็นเพราะ
เราไปทำเขาโกรธเอง
12. เราต้องถูกคนในบ้านถม
โดยไม่ป้องกัน จนกระทั่งเราท้องขึ้นมา
เวลาป่วยไม่สบาย ไม่ได้ไปหาหมอ
ออกจากบ้านไม่ได้เลย
13. จนเวลาล่วงเลยไปตอนท้องได้ 5 เดือน เขาจึงพาเรา
ไป รพ. ไปฝากท้อง จะได้คลอดฟรีที่ รพ.รัฐ
ให้ได้สมุดสีชมพูมา เราตอนนั้นมีแต่ความหวาดกลัว
ไม่กล้าขอความช่วยเหลือใคร กลับบ้านไปก็ถูกทำร้าย
ทั้งที่ท้องอยู่ การถูกเก้าอี้ฟาดจนหักในตอนนั้น
ทำให้แทบทนไม่ไหวจนอยากจะไปๆซะ
14. เราพยายามติดต่อแม่ แต่ก็ถูกขัดขวางตลอด
จะติดต่อเพื่อน หรือติดต่อใคร ไม่ได้เลยสักคน
เพราะเขาดูอยู่ตลอด ทุกครั้งที่แม่ติดต่อมา
เราจะต้องบอกว่าเราสบายดีเสมอ บอกว่าเขาดูแลดี
15. หลังจากคลอดลูก เรามีภาวะซึมเศร้าหลังคลอด
ทำอะไรได้ช้าลง ไม่มีงานและเงิน เลี้ยงลูกคนเดียว
ในบ้านหลังนั้น มือนึงอุ้มลูก อีกมือทำงานบ้าน
ส่วนเขา ออกไปเที่ยวผู้หญิง ไปเสพยา เราเหนื่อยมาก
บ้าน 3 หลัง กับเด็กทารก 1 คน ที่เราไม่รู้วีธีดูแล
อาศัยแค่สมุดสีชมพูช่วย จนเลี้ยงลูกมาได้ 1 ขวบ
16. เรากับลูก อาศัยด้วยการกินเศษข้าว ของเหลือ
เรากับลูกต้องนั่งพื้น เพื่อรอทุกคนในบ้านกินข้าว
ทุกครั้งที่นั่งรอ เราหวังว่าจะมีอะไรดีๆเหลือบ้าง
แต่พอเงยหน้าดูบนโต๊ะ มันเป็นแค่จานมีเศษๆ
บางครั้งถ้ามีของเหลือมาก จะถูกสั่งให้พลทหาร
เอาไปเททิ้งถังขยะ เรารอกลางดึกเสมอ
เพื่อไปคุ้ยอันที่ยังดีๆ สะอาดๆ มากินกับลูก
17. พลทหารบางคนเห็นใจเรา แล้วแอบเอาข้าวมาให้
แต่ก็ถูกจับได้ แล้วเราก็ไม่เห็นพลทหารคนนั้นอีกเลย
ส่วนเราก็ถูกด่าว่า เราทั้งเครียด ทั้งคิดมาก
อาการซึมเศร้ารุนแรงขึ้นเรื่อยๆ
18. วันนึงเขากลับมาบ้าน พร้อมกับปืน 1 กระบอก
นั่งเช็ดถู ชื่นชม โดยให้เรานั่งดูใกล้ๆ เขาพูดเป็นนัยๆ
ว่าเราจะไม่มีทางหนีเขาไปพ้นเด็ดขาด เขาเริ่มจะพาเรา
ไปที่สนามยิงปืนเพื่อดูเขายิงเป้าบ่อยๆ
19. เราถูกปั่นหัวมากมายให้รักเขา
เราเข้าใจว่าตัวเองยังรักเขาไม่พอ เลยโดนทำร้าย
เราเลยพยายามรักให้มากขึ้น แต่ไม่รู้ทำไม
ถึงรู้สึกทรมานในใจมากขึ้นกว่าเดิม เราหวังว่าเขา
จะกลับตัวในสักวัน
20. คืนหนึ่งที่เขาเมามากเพราะฉลองจนหลับไป
เราเห็นโทรศัพท์เขาเปิดทิ้งไว้ เลยกดเข้าไปดู
พบว่าจริงๆแล้ว เขามีเมียอยู่แล้ว มีลูกด้วยกันแล้ว
แต่งกันแล้ว ผู้หญิงคนนั้นทั้งดูดี มีฐานะ บ้านรวย
เราช็อคจนสติแทบไม่อยู่กับตัว
21. คืนนั้น เราเลยค้นทุกอย่างในห้อง พบว่าจริงๆแล้ว
เขาไม่ได้อายุ 21 ในวันที่เราพบกัน เขาอายุ 30 กว่าแล้ว
เรียนไม่จบ สอบนายสิบไม่ติดเลยต้องยัดเงิน
บ้าความรุนแรง บ้าทหาร มีรูปถ่ายความรุนแรง
มีรูปตอนไปเข้าร่วมการประท้วงที่มีธงชาติเอามาพันตัว
22. เราต้องหนี โดนยิงก็ช่าง นี่คือความคิดที่ผุดขึ้นมา
เราพยายามพาลูกหนี แต่ว่าไม่มีรถเลย มันเป็นกลางดึก
เราอุ้มลูก สะพายกระเป๋า ปีนรั้วบ้าน เดินเท้าหลายกิโล
กว่าจะเจอถนนใหญ่ แล้วเดินไปเรื่อยๆ
23. เราสับสน เครียด สภาพเราไม่กล้าเจอหน้าแม่เลย
สิ่งที่แม่รับรู้จากเราคือเราไปอยู่กับสามีที่บ้านหลังใหญ่
แม่เลยสบายใจคิดว่าเราจะสุขสบาย
ถ้าแม่เห็นเราสภาพนี้ จะทำไงดี
24. เราเหนื่อยมาก เพราะห่างไกลตัวเมือง
เลยพาลูกนอนที่ศาลา แต่ไม่นาน ก็ถูกคนที่บ้านนั้น
ตามจนเจอ เขาบอกว่าเขาเข้าถึงกล้องวงจรปิดทุกจุด
เลยเอาเรากับลูกกลับไป แล้วให้มีคนเฝ้า ขังเราไว้
25. เราแพนิค ดีเพรสหนักจนแทบจะทนไม่ไหว
แต่เราก็ทนเพื่อลูก จนเรื่องราวทุกอย่างมันเกิดซ้ำๆ
ผ่านมา 5-6 ปี เราอายุก็ปาไป 24 ปี เหมือนศพเดินได้
ที่มีเด็กออทิสติกคนนึงเดินข้างๆ
26. วันที่ฟางเส้นสุดท้ายขาด เรามองหน้าลูก
เราเห็นแววตาที่ลูกไม่ได้รับรู้อะไรสักอย่าง ไม่รู้ว่าเรา
โดนอะไร สภาพเป็นยังไง เรายิ้มออกมาเหมือนคนบ้า
เหมือนว่าเป็นเรื่องดีที่ลูกไม่รับรู้อะไร เรากอดลูกแน่น
อย่างน้อย ถึงบ้านหลังนี้จะใจร้ายกับเรา แต่ก็ไม่ใจร้าย
กับเด็กคนนี้
27. กลางดึกเราขโมยกุญแจรถเก๋ง
ออกมาก่อไฟเตาถ่าน ทำทีว่าจะต้มน้ำ
เอาไปชงนม เพื่อที่คนเฝ้าจะได้ไม่สงสัย เราดับไฟ
ให้เตาเป็นควัน แอบเดินไปโรงรถ
เปิดรถแล้วเข้าไปเงียบๆ ตั้งเตาไว้ที่พักเท้า
ที่นั่งด้านหน้า เราขยับไปนอนด้านหลัง กินยาแก้แพ้
ให้ตัวเองง่วง เพื่อจะได้หลับไป พร้อมกับออกซิเจน
ที่ค่อยๆหมดลง
28. แต่คนเฝ้าก็สังเกตเห็นว่ามันนานเกินไป
เลยเรียกคนทั้งบ้าน เพื่อหาเรา แล้วพบว่าเราอยู่ในรถ
พวกเขาเปิดรถ ลากเราออกมาไว้หน้าบ้าน
รุมด่าสาปแช่ง ว่าเราทำรถเขาเสียหาย
เราที่สูดควันไปในปริมาณมาก พอเจออากาศ
ในคอและระบบหายใจมันแสบ มันทรมานไปหมด
เราดิ้น ร้องไห้ ทุรนทุรายเหมือนคนสำลักควัน
พวกเขาก็ยังยืนรุมด่า แล้วเดินเข้าบ้านไปนอน
29. เรานอนหายใจหอบขัดตรงนั้นจนเช้า
หยิบมือถือที่แอบไว้ โชคดีที่พวกเขาไม่รู้
โทรหาแม่ บอกแม่ ว่าช่วยหนูด้วย
แม่เลยลางาน แจ้งตำรวจ มาที่บ้านหลังนี้
และพาเราออกมาส่งโรงบาลประจำจังหวัด
30. เราไม่รู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น แม่ได้แต่ขอโทษเรา
ที่ปล่อยเราไว้คนเดียวมาตลอด เรารู้สึกว่า เราต่างหาก
ที่ควรขอโทษ ที่เกิดมาบนโลกนี้ แม่จะได้ไม่ต้องเกลียด
ที่เห็นหน้าเรา แล้วทำให้นึกถึงพ่อ เราจะได้ไม่ต้อง
มาเจออะไรแบบนี้ด้วย
31. รพ.ใหญ่ พยายามช่วยชีวิต ในห้องฉุกเฉินเราจำได้
แค่ตัวเองมีสายเต็มตัว หน้าจอติดเพดาน
มีชื่อเราแถบสีแดง จนพ้นขีดอันตราย
แล้วรักษาโรคซึมเศร้าต่ออีก 1 เดือน โดยที่อาศัยกับแม่
32. หมอพบว่าเราไม่ดีขึ้นเลย เลยให้หมอคนอื่นๆมาช่วย
จนพบว่าที่เราเป็น มันเกินกำลังของ รพ. ใหญ่
ต้องส่งตัวไปที่ รพ. จิตเวชเฉพาะทาง
33. เมื่อถึงจิตเวช เราถูกเจ้าหน้าที่ หมอที่อยู่เวรวันนั้น
รวบตัวจับมัดมือ มัดเท้า มัดตัวให้ติดเตียง
ขยับไม่ได้เลย เรากลัวมากจนคลุ้มคลั่งทำร้ายเจ้าหน้าที่
แกะผ้าเชือกออกเองได้ แล้วพยายามหนี
34. แต่ก็ถูกจับได้อยู่ดี ถูกมัดแน่นหนาขึ้น
หมอฉีดอะไรสักอย่างสีเหลืองใส่ที่บริเวณก้น 2 ไซลิ้งค์
จนเราอ่อนแรงลง ภาพที่เห็นคือแม่ให้การกับตำรวจ
มีOscc มีเจ้าหน้าที่หลากหลายเต็มไปหมด
35. ระหว่างที่นอนแอดมิดอยู่ แม่ก็เข้ามา
พร้อมเพื่อนๆเรา ทุกคนขอโทษเรา เราจำไม่ได้แล้วว่า
ขอโทษอะไร แล้วก็ถูกพาไปที่อาคารรักษา
อยู่ในห้องกรงขังที่มีพยาบาลเฝ้าตลอด 24 ชม.
มีผู้ป่วยคนอื่นมายืนดู เรากลัวไปหมด
36. อยู่ในกรง 1 อาทิตย์ แล้วย้ายออกมาห้องรวม
หมอจะเข้ามาดูอาการทุก 1 อาทิตย์
นักจิตเข้าทุกอาทิตย์ ทำกิจกรรมในอาคารที่หน้าต่าง
และประตู ติดตั้งตะแกรง 2 ชั้น กล้องวงจรปิดทุกมุม
ยาที่กินมีมากถึง 18 เม็ด แค่เซอทาลีนก็ปาไป 4 เม็ดแล้ว
ยาควิไทอะปีนอีก 3 เม็ด ลอร่าซีแปม และยาอื่นๆอีก
37. เราอยู่แต่ในจิตเวชเป็นเวลา 3 เดือน
หมอประเมินว่าดีขึ้นแล้ว ถึงปล่อยออกมา เรารู้สึกแปลก
กับโลกภายนอก เฟซบุ๊กไปไกลขนาดนี้แล้วหรอ
โทรศัพท์จอใหญ่ขึ้น กลับไปที่บ้าน ก็พบว่าเขาและลูก
แอบบุกเข้าบ้านเพื่อมาหาเรา ไม่รู้ว่ารู้ได้ไงที่เราออก รพ.
38. เราแพนิคหวาดกลัวสุดขีด กลัวทั้งเขา ทั้งเด็กคนนั้น
แม่พยายามไล่เขาออกไป เขาก็เอาแต่บอกจะปรับปรุง
เป็นคนใหม่ แต่เราไม่เชื่ออีกแล้ว
เราพยายามแจ้งสายตรวจให้ช่วย พึ่งออกมาได้ไม่ถึงวัน
เราถูกส่งกลับเข้าจิตเวชคืน และอยู่อีก 3 เดือน
39. เราไม่กล้าออกจิตเวช เราแทบเป็นบ้า
ตอนเจอหมอ เราเห็นหนังสือประวัติเราที่ถูกเปิดจนยับ
มีตัว SE สีแดงที่ชื่อ มีลิสต์อาการเขียนไว้
เราเป็นซึมเศร้ารุนแรง แพนิค ดีเพรส ไบโพล่าร์
จิตไม่ปกติ ความจำขาดหาย ยาวเป็นแถว แทบทุกอย่าง
ที่มีในรายการอาการทางจิต
40. หมอบอกว่าเราพูดคนเดียวบ่อย เห็นภาพหลอน
หูแว่วชัดเจน จำไม่ได้ทุกครั้งที่พยายามทำร้าย
เจ้าหน้าที่และพยาบาล หรือผู้ป่วยคนอื่น พยายามแงะ
หน้าต่าง ประตูเพื่อหนี นั่งยิ้ม นั่งหัวเราะคนเดียว
พยายามใช้ทุกอย่างที่มีเพื่อทำร้ายตัวเอง
แม้แต่เศษเล็บ หรือปลอกหมอนที่เอาไปผูกคอในห้องน้ำ
เราจำไม่ได้ การกลับมามีสตินั้นยากมาก
เราเลยถูกส่งตัวไปรักษาด้วยไฟฟ้า ECT 12 ครั้ง
เป็นเวลา 1 ปี แล้วรักษาทุกอย่างอีก 1 ปี
ไม่ได้ออกจากจิตเวชเลย
41. หลังจากเราเริ่มที่จะมีสติมากขึ้น
หมอก็อนุญาตให้ออกมาได้ และต้องรักษาตลอดไป
นัดเจอทุกเดือนเพื่อตรวจอาการ และรับยา
หมอแจ้งตำรวจไว้ว่าถ้าเราสติหลุด
จะถูกจับเข้าจิตเวชคืน ปัจจุบันรักษามา 7 ปีแล้วค่ะ
42. เราทำงานประจำไม่ได้ เลยต้องอาศัยรับจ้างเล็กๆ
เพื่อหาเงินเลี้ยงตัวเอง เพราะแม่ก็จะเกษียณแล้ว
เราเสียสิทธิ์ความสามารถเลี้ยงดูลูกเพราะเป็นจิตเวช
เรากับแม่ต้องย้ายที่อยู่บ่อยๆ เพื่อหนีจากการคุกคาม
ของบ้านหลังนั้น แม่กอดหมายศาลไว้แน่น
ถ้าหากเราเป็นอะไรไป แต่เรารู้สึกว่า พวกเขานั้น
เงินมาก อำนาจมาก เราจะทำอะไรได้
43. ปัจจุบันเริ่มดีขึ้น แต่ก็ยังถูกเขาพยายามติดต่ออยู่ดี
แถมเมียเขายังติดต่อมาถม
ไม่เห็นจะทำร้ายกันตรงไหนเลย เรารู้สึกแย่มากๆ
สงสารแม่ สงสารตัวเอง มันเหนื่อยมากๆในแต่ละวัน
44. ความทรงจำยังตามหลอน แม้ว่าชีวิตจะเริ่มดีขึ้น
เห็นอะไรกระตุ้นนิดหน่อยก็แพนิคจนต้องรีบกลับบ้าน
พยายามมีชีวิตอยู่ต่อไม่อยากกินยาแล้ว
เราจะเดินทางไหนต่อดีกับชีวิต
เป็นคนวิกลจริตที่พยายามมีสติให้อยู่ในสังคมได้
แต่มันเหนื่อยสุดๆ แต่บางครั้ง
การไม่มีสตินี่ก็ดีอย่างนึง ไม่ต้องเจ็บปวดกับความจำ
เดินอย่างมีความสุข เด็ดดอกไม้ข้างทาง แต่ก็อันตราย
ที่เราจะทำร้ายคนอื่นที่เข้าใกล้ แย่ชะมัดเลยค่ะ
รู้สึกเหนื่อยมากเลยล่ะค่ะ เราอาจจะไปพักผ่อนเร็วๆนี้
ถ้ามีคนเข้ามา ขอบคุณที่อ่านเรื่องเราจนจบนะคะ