ขอออกตัวก่อนว่านานน๊าน เราถึงจะตั้งกระทู้ซักทีนึง (เฉลี่ยต่ำกว่าปีละครั้ง) ดังนั้นหากมีอะไรผิดพลาดก็ขออภัยค่ะ อย่าด่าเค้าเลยนะ เค้าขวัญอ่อนน
ตามหัวกระทู้เลยค่ะ เราเคยจมน้ำตอนเด็กๆ ประมาณ 5-6 ขวบ ตอนนั้นครอบครัวและเครือญาติไปเที่ยวหาดดอกเกดกัน เพื่อนๆคะ เราผิดมั้ยที่คิดว่าหาดดอกเกดมันคือทะเล เก๊าะมันมีคำว่า "หาด" นี่นา
ระหว่างที่เล่นกันอย่างเมามันนั้น ห่วงยางเกิดรั่ว (เจ้ายางในรถสิบล้อนั่นแหละค่ะ สมัยก่อนเราเข้าใจว่า ห่วงยางใหญ่มาจากรถยนต์ แล้วห่วงยางเล็กมาจากรถมอเตอร์ไซค์ -*-) เราซึ่งเด็กสุด ณ ตอนนั้นก็ถูกใช้ให้เอาห่วงยางไปเปลี่ยน ความที่เราคิดว่า ที่นี่น่ะคือทะเลนะ เวลาเราเดินขึ้นฝั่ง มันก็จะต้องค่อยๆตื้นขึ้นไปเรื่อยๆ ไม่มีอะไรน่ากลัว เราก็เอาไปเปลี่ยนให้ค่ะ ด้วยความเชื่อง..เอ้ย !ว่านอนสอนง่าย ปรากฏว่าอยู่ๆเจ้าตรงนั้นมันแผ่นดินแยก หรือมันอยากจะเกิดหลุมขึ้นมาพอดีก็ไม่ทราบ เราตัวเตี้ยๆก็ตกตุ๋มลงไป ! โอ้วแม่เจ้า! วินาทีนั้น เราตะเกียกตะกายพยายามชูมือขึ้นเหนือน้ำแล้วจะเรียกให้คนช่วย แต่อนิจจา แค่หัวเราโผล่ขึ้นมาเปล่งเสียง "ช่ว.." ก็ "บุ๋งๆๆๆ" แล้ว แม้แต่คำว่าช่วย ยังออกมาไม่ครบคำเลยอ่ะค่ะ เราก็จมลงไปอีก ทีนี้ ก่อนจะมาเล่นน้ำเนี่ย ญาติเราเคยคุยกันในวง เราก็เผอิญฟังอยู่ด้วย เค้าบอกว่า "คนที่จมน้ำน่ะนะ จะโผล่ขึ้นมาเหนือน้ำได้แค่สามครั้งเท่านั้น" หลังจากนั้น...ไม่รอด! - -" ดังนั้นตอนที่เรากำลัง "ช่ว..บุ๋งๆ" อยู่นั้น เราก็เริ่มนับเลย (เรานับจริงๆนะคะ จำได้แม่นมากอ่ะตรงนี้) "ช่ว..บุ๋งๆ" (หนึ่ง) "ช่ว..บุ๋งๆ" (สอง) "ช่ว..บุ๋งๆ" (สาม) คิดในใจ 'ตายแน่ตรู' แล้วก็หมดสติไปเลยค่ะ (ทษฎีนี้ท่าจะจริง) รู้สึกตัวอีกที ทำไมมันร้อนๆฟะ ที่แท้แม่เราเองค่ะ เห็นตอนเราจม เลยช่วยเราขึ้นมาได้ แล้วก็ให้เรานอนบนห่วงยางลอยอยู่กลางน้ำ แดดเผาเต็มที่อ่ะ (ไม่รู้ทำไมแม่ไม่พาเข้าร่ม สงสัย ไม่กะให้เราร้อนจนฟื้น ก็นัยว่าเพื่อให้แสงอาทิตย์ช่วยทำให้น้ำในปอดเราระเหยไปละมั้ง) ตั้งแต่นั้นมา ทุกคนคงจะเดากันได้..ใช่ค่ะ เรากลัวน้ำไปเลย ใครชวนไปว่ายน้ำ "ไม่ไป! ไปกันเถอะ เดี๋ยวเฝ้าบ้านให้เอง" ทั้งๆที่เราไม่อยากขายของอยู่บ้านในขณะที่พี่ๆน้องๆคนอื่นไปเล่นกันสนุกสนานเลย แต่เพราะมันคือ 'น้ำ' ค่ะ เรายอมเฝ้าบ้านก็ได้ ขอแค่ไม่ต้องไปเฉียดใกล้น้ำก็พอแล้ว เวลาครอบครัวไปเที่ยวทะเลกัน เราก็ต้องไป แล้วก็จะโดนไซโคว่าเนี่ย ถ้าเอาแต่กลัว แล้วเมื่อไหร่จะว่ายเป็น (มันเป็นความจริงที่เราไม่อยากจะได้ยินเล้ย) ตอนลงน้ำก็จะแหยง ๆ ไม่ไปที่ลึกเด็ดขาดและต้องเอาห่วงยางมาไว้กับตัว หัวไม่เปียกน้ำเลย อย่างมากก็หงายนิดๆ แต่อย่าหวังว่าจะเอาหน้าจุ่มน้ำ หรือบางทีกลัวมาก ๆ ใครจะว่ายังไงเราก็ไม่ลงเลย ยามที่ต้องขึ้นเรือนี่กลัวที่สุดอ่ะ ใครจะมองยังไงไม่สนค่ะเราคว้าชูชีพมาใส่ไว้ก่อนเพื่อน และขอนั่งกลางๆเรือ ไม่อยู่ขอบเด็ดขาด มันเป็นจุดด่างพร้อยในชีวิตเรามากค่ะ ลึกๆเราก็อยากว่ายน้ำเป็นนะ เวลาเห็นคลิปลูกฝรั่งเค้าเอาเด็กขวบสองขวบลงว่ายน้ำ แถมกะพริบตาปริบๆในน้ำได้อีกตังหากแน่ะ! แอบเสียดาย ทำไมตอนเราเล็กๆ ตอนที่ยังจำความไม่ได้ พ่อกับแม่ไม่หย่อนเราลงน้ำบ้าง เราจะได้ว่ายน้ำเป็นเลย แบบไม่ต้องหัด
แล้วก็มาถึงจุดเปลี่ยนของชีวิต
เราเป็นคนอ้วนค่ะ โรคเยอะ ความดัน เจ็บข้อ ฯลฯ เราฟาดเรียบ อยากออกกำลังกาย เช่นตีแบดหน้าบ้าน ก็ได้แค่บางวันเท่านั้น ส่วนใหญ่ถึงบ้านก็มืดแล้วล่ะค่ะ มองไม่เห็นลูก พอมีวันอาทิตย์ที่จะได้ตี บางทีฝนตกซะงั้น หรือไม่ก็ลมแรงเกิ๊น ตีไม่ได้เลย เราเลยคิดจะไปเช่าสนามตีแบดค่ะ ก่อนจะไปหาสนามแบด พอดี๊..ได้คุยกับเพื่อนแม่ นี่ล่ะค่ะจุดเปลี่ยนของชีวิตเรา เพื่อนแม่บอกว่า เค้าไปว่ายน้ำนะ ไปเกือบทุกวัน ..แค่นี้เอง แต่มันคงโดนต่อมอะไรซักอย่างอ่ะค่ะ มัน 'จึ้ก!' ในใจเลย อย่างที่บอกค่ะ ลึกๆเราอยากว่ายน้ำเป็นมากๆ แต่ก็กลัวมากๆเหมือนกัน ด้วยความขี้ขลาด เราเคยคิดนะว่า เราอยู่ภาคอิสาน ไม่มีส่วนไหนติดทะเลเลย ว่ายน้ำไม่เป็นก็ไม่ตายหรอก แต่จุดเล็กๆในใจเราที่เราพยายามไม่ใส่ใจมัน พอได้คุยกับเพื่อนแม่ ดูเหมือนอยู่ดีๆเจ้าจุดนั้นก็ขยายใหญ่ขึ้นมาจนทนอยู่เฉยไม่ได้แล้วค่ะ
ดังนั้น เรากับพี่น้อง (ที่ว่ายน้ำกันได้แบบงูๆปลาๆเท่านั้น..ส่วนเราเหรอ ถ้ามีใครจับเราโยนลงน้ำก็บุ๋งเลย) เลยเริ่มเสาะแสวงหาสถานที่ค่ะ โดยพวกเราที่ว่ายไม่แข็งและไม่เป็นเลย ไม่อยากได้สระที่ลาดจาก 1 เมตรไปสู่ 3 เมตรค่ะ เพราะพวกเรากลัวว่ายเพลินไปตรงสามเมตรน่ะตายแน่ๆ เราเลยตกลงปลงใจกับสปอร์ตคลับแห่งหนึ่งที่มีสระว่ายน้ำลึกสุดไม่เกิน 1.5 เมตร และเราก็เลือกสมัครสมาชิกแบบว่ายน้ำอย่างเดียว อย่างอื่นไม่สนเลย ความตั้งใจเราคือ เราจะไปทุกวันๆๆๆ ถ้าเราไปบ่อยๆเราก็คงชินและไม่กลัวแหละ (เราไม่เคยคิดปรึกษาจิตแพทย์เลยนะคะ เพราะรู้สึกว่าเรากลัวมากเกินกว่าที่เราจะฟังใคร แม่เคยพาเรากลับไปเรียกขวัญที่หาดดอกเกด แต่มันคงนานเกิน เกือบยี่สิบปีอ่ะ ขวัญเราคงไปเกิดใหม่แล้วมั้งคะ -*-)
พอสมัครสมาชิกแบบรายปี จากนั้นเราก็ไปทุกวันค่ะ เราไปเจออาอี๊สองคน สงสัยจะเป็นวาสนา อาอี๊คนนึง ว่ายน้ำไม่เป็นเลย เป็นสมาชิกมาสองเดือนแล้ว มาสระทุกวัน และกลับบ้านแบบกระบังตั้งสวยเช้งเหมือนเดิมทุกวันค่ะ จนลูกๆถามว่า "นี่ม๊าไปว่ายน้ำมาจริงรึเปล่าเนี่ย" แกกลัวเหมือนกันค่ะ แต่จะให้ออกกำลังอย่างอื่นก็เข่าไม่ดี (เราก็เจ็บข้อค่ะ เพราะน้ำหนักตัว) แกเลยลงน้ำมาตีแขนตีขาก็พอ เมื่อเราสองคนมาเจอกัน "ชิ้งงงง!" เราสื่อถึงกันได้ค่ะ กลัวเหมือนกัน ไม่ยอมเอาหน้าลงน้ำเหมือนกัน ขนาดแค่ตอนเราเอาขาหย่อนลงน้ำ ใจเราก็เต้นตุบๆๆๆๆๆๆๆๆเหมือนจะทะลุออกมาเลย ขางี้สั่นพั่บๆๆๆ เรากะว่า เราอยากหัดแค่ว่ายท่าหมาตกน้ำได้ หรือลอยตัวเอาตัวรอดในน้ำได้เราก็พอใจละ แต่การจะหัดท่าหมาตกน้ำมันก็ไม่ใช่ง่ายอ่ะค่ะสำหรับคนกลัวน้ำ มันเหมือนกับว่า ยังไงก็ต้องเอาหน้าจุ่มน้ำง่ะ กลัวสุดๆ ใจความสำคัญอยู่ตรงนี้ค่ะ ให้เราเอาหน้าจุ่มน้ำแค่หน้าจริงๆ ส่วนหูปล่อยพ้นน้ำ เพื่อสร้างความเคยชินก่อน จากนั้นค่อยเพิ่มหูลงไปในน้ำ หรือใครจะหักดิบ ย่อตัวลงนั่งมิดหัวเลยก็ได้ค่ะ ไปทุกวัน จุ่มทุกวัน จะจุ่มอยู่เป็นเดือนก็ได้ แล้วแต่ดีกรีความกลัวในใจแต่ละคน
ขอนอกประเด็นนิดนึง ตอนซื้อชุดว่ายน้ำ น้องเรามันซื้อแว่นตาว่ายน้ำด้วยค่ะ เราไม่ซื้อ เพราะไม่เห็นความจำเป็น เนื่องจากเราไม่คิดจะเอาหน้างามๆของเราสัมผัสน้ำอยู่แล้ว แต่เพื่อนๆคะ แว่นตาว่ายน้ำเนี่ยมีส่วนช่วยมากเลยทีเดียว เวลาเอาหน้าลงน้ำเราไม่สามารถลืมตาได้ค่ะ พอตามองไม่เห็น แถมหูยังไม่ได้ยินอะไรอีก มันน่ากลัวสุดๆไปเลยล่ะค่ะ ทีนี้น้องบรรยายสรรพคุณแว่นจนอยากลองบ้าง เราเลยยืมแว่นน้องมาใส่ ตอนแรก ขนาดใส่แว่นอยู่ เรายังไม่กล้าลืมตาเลยนะคะ แต่หลังจากเริ่มชิน พอค่อยๆลืมตาได้..โอ้ววววว..สำหรับเราความกลัวหายไปค่อนข้างเยอะเลยทีเดียว เพราะถึงหูเราไม่ได้ยิน แต่เราสามารถมองเห็นได้ค่ะ ที่เรากลัว เรา(คิดเอาเองว่า)กลัวจินตนาการล้านแปดของเรานั่นเองแหละค่ะ สำหรับคนสายตาสั้น (เราก็สั้นค่ะ 0.6) เค้ามีแว่นตาว่ายน้ำที่มีค่าสายตานะคะ มันเวิร์คมาก อันนึงประมาณ 600 กว่าบาทค่ะ โลกใต้น้ำนี่สดใสมากเลย
เอาล่ะ กลับมาต่อกันค่ะ
ถึงจะจุ่มน้ำอยู่นาน จนพอจะเริ่มชิน แต่เราก็ยังไม่อยากเอาหน้าลงน้ำตอนว่ายอ่ะ เอาหน้าจุ่มเฉย ๆ กับจุ่มด้วยว่ายไปด้วย มันยากนา ท่าหมาตะกุยน้ำเลยเป็นท่าที่เราอยากว่ายได้ที่สุดก่อน แต่การจะว่ายท่านี้ เราต้องเอาขาตีน้ำ เอามือวักน้ำเข้ามาหาตัว ส่วนลำตัวเราจะตั้งฉากกับพื้นไม่ได้ ต้องเอนไปข้างหน้านิดๆ ซึ่งมันน่ากลัวโฮกกกกกก กลัวว่าจะจม พี่สาวเราเลยบอกว่า "ก็กลั้นหายใจเตรียมไว้ก่อนเลยตั้งแต่ตอนหน้าอยู่เหนือน้ำ แล้วก็ตะกุยไป ยังไงถ้าว่ายแล้วจม น้ำก็ไม่เข้าจมูก เพราะเรากลั้นไว้อยู่แล้ว" เออ..จริง
และแล้ว
ท่าแรกที่เราว่ายได้ค่ะ แถ่แด๊น! หมาตะกุยน้ำ เราดีใจมากๆๆ ดีใจที่สุดในชีวิต เพราะต่อไปนี้ เกิดเราซวยพลัดตกน้ำ ก็ไม่จมแล้วล่ะค่ะ เย้ๆ ท่านี้แรกๆเราว่ายได้แป๊บเดียว เพราะเรากลั้นหายใจไงคะ จะขาดใจ แต่แล้วพอหัดไปบ่อย ๆ เราก็เริ่มเห็นว่า มันก็ไม่จมนี่นา เลยเริ่มหายใจปกติค่ะ และเราก็หัดแต่ท่านี้ไปก่อน เอาให้ถนัด ตีแขนขาให้ช้าลง เพราะคนกลัวน้ำ เวลาหัดว่ายน้ำจะทำทุกอย่างรีบไปหมดด้วยความตื่นตระหนกค่ะ ซึ่งมันจะทำให้เหนื่อยมากด้วย
ท่าสำหรับคนกลัวน้ำท่าที่ 2 ที่เราอยากหัดคือ ลอยแพ (อาอี๊เรียกหมาเน่าลอยน้ำ) ท่านี้หลายคนที่ว่ายน้ำไม่เป็นจะไม่รู้เลยค่ะว่ามันมีจริงด้วยเหรออิท่าที่เอาตัวรอดในน้ำที่สบายที่สุดในโลกขนาดนี้ มันคือการนอนหงายแบบนอนแผ่ค่ะ มือเท้าไม่ต้องขยับเลย (ตอนเล่าถึงท่านี้ให้คนข้างบ้านที่กลัวน้ำเหมือนกันฟัง แกทึ่งมาก และไม่เชื่อว่าการอยู่เฉยโดยไม่ทำอะไรเลยก็ลอยน้ำได้) ท่านี้ สาเหตุที่คนกลัวน้ำมักทำไม่ได้เพราะจะพยายามผงกหัวขึ้นมาค่ะ พอหัวเราตั้งขึ้นปุ๊บ ตัวเราก็จะจมทันทีเช่นกันค่ะ ต้องข่มใจ (อีกแล้ว..มันยากตรงเนี้ย) นอนหงายเหมือนนอนเตียงที่บ้านเลย แขนขาจะกางออกหรือหุบก็ได้ไม่มีปัญหา อย่างอตัว อย่าโด่งตรู๊ดไปข้างหลัง หูต้องจมอยู่ในน้ำค่ะ ให้ตัวทั้งหมดตรงที่สุด แล้วก็ลอยตัวชมฟ้าสีครามกันไปแบบชิลด์ ๆ จะนอนหลับพักสายตาก็ยังได้ (แต่ไม่แนะนำให้นอนกรนคร่อกๆนะคะ อันนี้ยังไม่เคยลองเหมือนกัน ไม่รับประกันความปลอดภัย) อ้อ ท่านี้ตอนทำได้แรก ๆ เราประสบปัญหา "ขึ้นไม่ได้" ค่ะ กลัวจม และสำลักน้ำ เพราะถ้าเราจมตอนเงยหน้านี่น้ำเข้าจมูกเต็มๆนะคะ -*- วิธีลงคือ หย่อนขาข้างนึงลงก่อน (ใช่มั้ยนะ ใครจำได้ช่วยคอนเฟิร์มทีค่ะ เพราะทุกวันนี้มันอัตโนมัติจนเราลืมไปแล้วอ่ะค่ะ)
มีต่ออีกนิดนะคะ อย่าเพิ่งหลับ
เราเคยกลัวน้ำ และว่ายน้ำไม่เป็นมาตลอด 30 กว่าปี เสียดายช่วงเวลานั้นมากเลยค่ะ
ตามหัวกระทู้เลยค่ะ เราเคยจมน้ำตอนเด็กๆ ประมาณ 5-6 ขวบ ตอนนั้นครอบครัวและเครือญาติไปเที่ยวหาดดอกเกดกัน เพื่อนๆคะ เราผิดมั้ยที่คิดว่าหาดดอกเกดมันคือทะเล เก๊าะมันมีคำว่า "หาด" นี่นา
ระหว่างที่เล่นกันอย่างเมามันนั้น ห่วงยางเกิดรั่ว (เจ้ายางในรถสิบล้อนั่นแหละค่ะ สมัยก่อนเราเข้าใจว่า ห่วงยางใหญ่มาจากรถยนต์ แล้วห่วงยางเล็กมาจากรถมอเตอร์ไซค์ -*-) เราซึ่งเด็กสุด ณ ตอนนั้นก็ถูกใช้ให้เอาห่วงยางไปเปลี่ยน ความที่เราคิดว่า ที่นี่น่ะคือทะเลนะ เวลาเราเดินขึ้นฝั่ง มันก็จะต้องค่อยๆตื้นขึ้นไปเรื่อยๆ ไม่มีอะไรน่ากลัว เราก็เอาไปเปลี่ยนให้ค่ะ ด้วยความเชื่อง..เอ้ย !ว่านอนสอนง่าย ปรากฏว่าอยู่ๆเจ้าตรงนั้นมันแผ่นดินแยก หรือมันอยากจะเกิดหลุมขึ้นมาพอดีก็ไม่ทราบ เราตัวเตี้ยๆก็ตกตุ๋มลงไป ! โอ้วแม่เจ้า! วินาทีนั้น เราตะเกียกตะกายพยายามชูมือขึ้นเหนือน้ำแล้วจะเรียกให้คนช่วย แต่อนิจจา แค่หัวเราโผล่ขึ้นมาเปล่งเสียง "ช่ว.." ก็ "บุ๋งๆๆๆ" แล้ว แม้แต่คำว่าช่วย ยังออกมาไม่ครบคำเลยอ่ะค่ะ เราก็จมลงไปอีก ทีนี้ ก่อนจะมาเล่นน้ำเนี่ย ญาติเราเคยคุยกันในวง เราก็เผอิญฟังอยู่ด้วย เค้าบอกว่า "คนที่จมน้ำน่ะนะ จะโผล่ขึ้นมาเหนือน้ำได้แค่สามครั้งเท่านั้น" หลังจากนั้น...ไม่รอด! - -" ดังนั้นตอนที่เรากำลัง "ช่ว..บุ๋งๆ" อยู่นั้น เราก็เริ่มนับเลย (เรานับจริงๆนะคะ จำได้แม่นมากอ่ะตรงนี้) "ช่ว..บุ๋งๆ" (หนึ่ง) "ช่ว..บุ๋งๆ" (สอง) "ช่ว..บุ๋งๆ" (สาม) คิดในใจ 'ตายแน่ตรู' แล้วก็หมดสติไปเลยค่ะ (ทษฎีนี้ท่าจะจริง) รู้สึกตัวอีกที ทำไมมันร้อนๆฟะ ที่แท้แม่เราเองค่ะ เห็นตอนเราจม เลยช่วยเราขึ้นมาได้ แล้วก็ให้เรานอนบนห่วงยางลอยอยู่กลางน้ำ แดดเผาเต็มที่อ่ะ (ไม่รู้ทำไมแม่ไม่พาเข้าร่ม สงสัย ไม่กะให้เราร้อนจนฟื้น ก็นัยว่าเพื่อให้แสงอาทิตย์ช่วยทำให้น้ำในปอดเราระเหยไปละมั้ง) ตั้งแต่นั้นมา ทุกคนคงจะเดากันได้..ใช่ค่ะ เรากลัวน้ำไปเลย ใครชวนไปว่ายน้ำ "ไม่ไป! ไปกันเถอะ เดี๋ยวเฝ้าบ้านให้เอง" ทั้งๆที่เราไม่อยากขายของอยู่บ้านในขณะที่พี่ๆน้องๆคนอื่นไปเล่นกันสนุกสนานเลย แต่เพราะมันคือ 'น้ำ' ค่ะ เรายอมเฝ้าบ้านก็ได้ ขอแค่ไม่ต้องไปเฉียดใกล้น้ำก็พอแล้ว เวลาครอบครัวไปเที่ยวทะเลกัน เราก็ต้องไป แล้วก็จะโดนไซโคว่าเนี่ย ถ้าเอาแต่กลัว แล้วเมื่อไหร่จะว่ายเป็น (มันเป็นความจริงที่เราไม่อยากจะได้ยินเล้ย) ตอนลงน้ำก็จะแหยง ๆ ไม่ไปที่ลึกเด็ดขาดและต้องเอาห่วงยางมาไว้กับตัว หัวไม่เปียกน้ำเลย อย่างมากก็หงายนิดๆ แต่อย่าหวังว่าจะเอาหน้าจุ่มน้ำ หรือบางทีกลัวมาก ๆ ใครจะว่ายังไงเราก็ไม่ลงเลย ยามที่ต้องขึ้นเรือนี่กลัวที่สุดอ่ะ ใครจะมองยังไงไม่สนค่ะเราคว้าชูชีพมาใส่ไว้ก่อนเพื่อน และขอนั่งกลางๆเรือ ไม่อยู่ขอบเด็ดขาด มันเป็นจุดด่างพร้อยในชีวิตเรามากค่ะ ลึกๆเราก็อยากว่ายน้ำเป็นนะ เวลาเห็นคลิปลูกฝรั่งเค้าเอาเด็กขวบสองขวบลงว่ายน้ำ แถมกะพริบตาปริบๆในน้ำได้อีกตังหากแน่ะ! แอบเสียดาย ทำไมตอนเราเล็กๆ ตอนที่ยังจำความไม่ได้ พ่อกับแม่ไม่หย่อนเราลงน้ำบ้าง เราจะได้ว่ายน้ำเป็นเลย แบบไม่ต้องหัด
แล้วก็มาถึงจุดเปลี่ยนของชีวิต
เราเป็นคนอ้วนค่ะ โรคเยอะ ความดัน เจ็บข้อ ฯลฯ เราฟาดเรียบ อยากออกกำลังกาย เช่นตีแบดหน้าบ้าน ก็ได้แค่บางวันเท่านั้น ส่วนใหญ่ถึงบ้านก็มืดแล้วล่ะค่ะ มองไม่เห็นลูก พอมีวันอาทิตย์ที่จะได้ตี บางทีฝนตกซะงั้น หรือไม่ก็ลมแรงเกิ๊น ตีไม่ได้เลย เราเลยคิดจะไปเช่าสนามตีแบดค่ะ ก่อนจะไปหาสนามแบด พอดี๊..ได้คุยกับเพื่อนแม่ นี่ล่ะค่ะจุดเปลี่ยนของชีวิตเรา เพื่อนแม่บอกว่า เค้าไปว่ายน้ำนะ ไปเกือบทุกวัน ..แค่นี้เอง แต่มันคงโดนต่อมอะไรซักอย่างอ่ะค่ะ มัน 'จึ้ก!' ในใจเลย อย่างที่บอกค่ะ ลึกๆเราอยากว่ายน้ำเป็นมากๆ แต่ก็กลัวมากๆเหมือนกัน ด้วยความขี้ขลาด เราเคยคิดนะว่า เราอยู่ภาคอิสาน ไม่มีส่วนไหนติดทะเลเลย ว่ายน้ำไม่เป็นก็ไม่ตายหรอก แต่จุดเล็กๆในใจเราที่เราพยายามไม่ใส่ใจมัน พอได้คุยกับเพื่อนแม่ ดูเหมือนอยู่ดีๆเจ้าจุดนั้นก็ขยายใหญ่ขึ้นมาจนทนอยู่เฉยไม่ได้แล้วค่ะ
ดังนั้น เรากับพี่น้อง (ที่ว่ายน้ำกันได้แบบงูๆปลาๆเท่านั้น..ส่วนเราเหรอ ถ้ามีใครจับเราโยนลงน้ำก็บุ๋งเลย) เลยเริ่มเสาะแสวงหาสถานที่ค่ะ โดยพวกเราที่ว่ายไม่แข็งและไม่เป็นเลย ไม่อยากได้สระที่ลาดจาก 1 เมตรไปสู่ 3 เมตรค่ะ เพราะพวกเรากลัวว่ายเพลินไปตรงสามเมตรน่ะตายแน่ๆ เราเลยตกลงปลงใจกับสปอร์ตคลับแห่งหนึ่งที่มีสระว่ายน้ำลึกสุดไม่เกิน 1.5 เมตร และเราก็เลือกสมัครสมาชิกแบบว่ายน้ำอย่างเดียว อย่างอื่นไม่สนเลย ความตั้งใจเราคือ เราจะไปทุกวันๆๆๆ ถ้าเราไปบ่อยๆเราก็คงชินและไม่กลัวแหละ (เราไม่เคยคิดปรึกษาจิตแพทย์เลยนะคะ เพราะรู้สึกว่าเรากลัวมากเกินกว่าที่เราจะฟังใคร แม่เคยพาเรากลับไปเรียกขวัญที่หาดดอกเกด แต่มันคงนานเกิน เกือบยี่สิบปีอ่ะ ขวัญเราคงไปเกิดใหม่แล้วมั้งคะ -*-)
พอสมัครสมาชิกแบบรายปี จากนั้นเราก็ไปทุกวันค่ะ เราไปเจออาอี๊สองคน สงสัยจะเป็นวาสนา อาอี๊คนนึง ว่ายน้ำไม่เป็นเลย เป็นสมาชิกมาสองเดือนแล้ว มาสระทุกวัน และกลับบ้านแบบกระบังตั้งสวยเช้งเหมือนเดิมทุกวันค่ะ จนลูกๆถามว่า "นี่ม๊าไปว่ายน้ำมาจริงรึเปล่าเนี่ย" แกกลัวเหมือนกันค่ะ แต่จะให้ออกกำลังอย่างอื่นก็เข่าไม่ดี (เราก็เจ็บข้อค่ะ เพราะน้ำหนักตัว) แกเลยลงน้ำมาตีแขนตีขาก็พอ เมื่อเราสองคนมาเจอกัน "ชิ้งงงง!" เราสื่อถึงกันได้ค่ะ กลัวเหมือนกัน ไม่ยอมเอาหน้าลงน้ำเหมือนกัน ขนาดแค่ตอนเราเอาขาหย่อนลงน้ำ ใจเราก็เต้นตุบๆๆๆๆๆๆๆๆเหมือนจะทะลุออกมาเลย ขางี้สั่นพั่บๆๆๆ เรากะว่า เราอยากหัดแค่ว่ายท่าหมาตกน้ำได้ หรือลอยตัวเอาตัวรอดในน้ำได้เราก็พอใจละ แต่การจะหัดท่าหมาตกน้ำมันก็ไม่ใช่ง่ายอ่ะค่ะสำหรับคนกลัวน้ำ มันเหมือนกับว่า ยังไงก็ต้องเอาหน้าจุ่มน้ำง่ะ กลัวสุดๆ ใจความสำคัญอยู่ตรงนี้ค่ะ ให้เราเอาหน้าจุ่มน้ำแค่หน้าจริงๆ ส่วนหูปล่อยพ้นน้ำ เพื่อสร้างความเคยชินก่อน จากนั้นค่อยเพิ่มหูลงไปในน้ำ หรือใครจะหักดิบ ย่อตัวลงนั่งมิดหัวเลยก็ได้ค่ะ ไปทุกวัน จุ่มทุกวัน จะจุ่มอยู่เป็นเดือนก็ได้ แล้วแต่ดีกรีความกลัวในใจแต่ละคน
ขอนอกประเด็นนิดนึง ตอนซื้อชุดว่ายน้ำ น้องเรามันซื้อแว่นตาว่ายน้ำด้วยค่ะ เราไม่ซื้อ เพราะไม่เห็นความจำเป็น เนื่องจากเราไม่คิดจะเอาหน้างามๆของเราสัมผัสน้ำอยู่แล้ว แต่เพื่อนๆคะ แว่นตาว่ายน้ำเนี่ยมีส่วนช่วยมากเลยทีเดียว เวลาเอาหน้าลงน้ำเราไม่สามารถลืมตาได้ค่ะ พอตามองไม่เห็น แถมหูยังไม่ได้ยินอะไรอีก มันน่ากลัวสุดๆไปเลยล่ะค่ะ ทีนี้น้องบรรยายสรรพคุณแว่นจนอยากลองบ้าง เราเลยยืมแว่นน้องมาใส่ ตอนแรก ขนาดใส่แว่นอยู่ เรายังไม่กล้าลืมตาเลยนะคะ แต่หลังจากเริ่มชิน พอค่อยๆลืมตาได้..โอ้ววววว..สำหรับเราความกลัวหายไปค่อนข้างเยอะเลยทีเดียว เพราะถึงหูเราไม่ได้ยิน แต่เราสามารถมองเห็นได้ค่ะ ที่เรากลัว เรา(คิดเอาเองว่า)กลัวจินตนาการล้านแปดของเรานั่นเองแหละค่ะ สำหรับคนสายตาสั้น (เราก็สั้นค่ะ 0.6) เค้ามีแว่นตาว่ายน้ำที่มีค่าสายตานะคะ มันเวิร์คมาก อันนึงประมาณ 600 กว่าบาทค่ะ โลกใต้น้ำนี่สดใสมากเลย
เอาล่ะ กลับมาต่อกันค่ะ
ถึงจะจุ่มน้ำอยู่นาน จนพอจะเริ่มชิน แต่เราก็ยังไม่อยากเอาหน้าลงน้ำตอนว่ายอ่ะ เอาหน้าจุ่มเฉย ๆ กับจุ่มด้วยว่ายไปด้วย มันยากนา ท่าหมาตะกุยน้ำเลยเป็นท่าที่เราอยากว่ายได้ที่สุดก่อน แต่การจะว่ายท่านี้ เราต้องเอาขาตีน้ำ เอามือวักน้ำเข้ามาหาตัว ส่วนลำตัวเราจะตั้งฉากกับพื้นไม่ได้ ต้องเอนไปข้างหน้านิดๆ ซึ่งมันน่ากลัวโฮกกกกกก กลัวว่าจะจม พี่สาวเราเลยบอกว่า "ก็กลั้นหายใจเตรียมไว้ก่อนเลยตั้งแต่ตอนหน้าอยู่เหนือน้ำ แล้วก็ตะกุยไป ยังไงถ้าว่ายแล้วจม น้ำก็ไม่เข้าจมูก เพราะเรากลั้นไว้อยู่แล้ว" เออ..จริง
และแล้ว
ท่าแรกที่เราว่ายได้ค่ะ แถ่แด๊น! หมาตะกุยน้ำ เราดีใจมากๆๆ ดีใจที่สุดในชีวิต เพราะต่อไปนี้ เกิดเราซวยพลัดตกน้ำ ก็ไม่จมแล้วล่ะค่ะ เย้ๆ ท่านี้แรกๆเราว่ายได้แป๊บเดียว เพราะเรากลั้นหายใจไงคะ จะขาดใจ แต่แล้วพอหัดไปบ่อย ๆ เราก็เริ่มเห็นว่า มันก็ไม่จมนี่นา เลยเริ่มหายใจปกติค่ะ และเราก็หัดแต่ท่านี้ไปก่อน เอาให้ถนัด ตีแขนขาให้ช้าลง เพราะคนกลัวน้ำ เวลาหัดว่ายน้ำจะทำทุกอย่างรีบไปหมดด้วยความตื่นตระหนกค่ะ ซึ่งมันจะทำให้เหนื่อยมากด้วย
ท่าสำหรับคนกลัวน้ำท่าที่ 2 ที่เราอยากหัดคือ ลอยแพ (อาอี๊เรียกหมาเน่าลอยน้ำ) ท่านี้หลายคนที่ว่ายน้ำไม่เป็นจะไม่รู้เลยค่ะว่ามันมีจริงด้วยเหรออิท่าที่เอาตัวรอดในน้ำที่สบายที่สุดในโลกขนาดนี้ มันคือการนอนหงายแบบนอนแผ่ค่ะ มือเท้าไม่ต้องขยับเลย (ตอนเล่าถึงท่านี้ให้คนข้างบ้านที่กลัวน้ำเหมือนกันฟัง แกทึ่งมาก และไม่เชื่อว่าการอยู่เฉยโดยไม่ทำอะไรเลยก็ลอยน้ำได้) ท่านี้ สาเหตุที่คนกลัวน้ำมักทำไม่ได้เพราะจะพยายามผงกหัวขึ้นมาค่ะ พอหัวเราตั้งขึ้นปุ๊บ ตัวเราก็จะจมทันทีเช่นกันค่ะ ต้องข่มใจ (อีกแล้ว..มันยากตรงเนี้ย) นอนหงายเหมือนนอนเตียงที่บ้านเลย แขนขาจะกางออกหรือหุบก็ได้ไม่มีปัญหา อย่างอตัว อย่าโด่งตรู๊ดไปข้างหลัง หูต้องจมอยู่ในน้ำค่ะ ให้ตัวทั้งหมดตรงที่สุด แล้วก็ลอยตัวชมฟ้าสีครามกันไปแบบชิลด์ ๆ จะนอนหลับพักสายตาก็ยังได้ (แต่ไม่แนะนำให้นอนกรนคร่อกๆนะคะ อันนี้ยังไม่เคยลองเหมือนกัน ไม่รับประกันความปลอดภัย) อ้อ ท่านี้ตอนทำได้แรก ๆ เราประสบปัญหา "ขึ้นไม่ได้" ค่ะ กลัวจม และสำลักน้ำ เพราะถ้าเราจมตอนเงยหน้านี่น้ำเข้าจมูกเต็มๆนะคะ -*- วิธีลงคือ หย่อนขาข้างนึงลงก่อน (ใช่มั้ยนะ ใครจำได้ช่วยคอนเฟิร์มทีค่ะ เพราะทุกวันนี้มันอัตโนมัติจนเราลืมไปแล้วอ่ะค่ะ)
มีต่ออีกนิดนะคะ อย่าเพิ่งหลับ