TAYLOR SWIFT – “1989”
“1989” คือสตูดิโออัลบั้มลำดับที่ 5 ของสาวสวย Taylor Swift ที่เพิ่งถูกวางจำหน่ายไปเมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา(Oct 27, 2014) หลังจากที่เธอได้ปล่อยซิงเกิ้ลแรก “Shake It Off” ออกมาชิมลางเมื่อประมาณ 2 เดือนก่อนหน้านี้ ซึ่งก็มีกระแสตอบรับอย่างล้นหลามต่อเพลงดังกล่าวโดยขึ้นที่ 1 Billboard Hot 100 พร้อมยอดขาย 544,000 copies ทันทีในสัปดาห์แรกที่ปล่อยจำหน่าย พร้อมกับได้รับการวิพากษ์วิจารณ์ในทิศทางที่หลากหลายในฐานะหนึ่งในศิลปินที่โลกจับตามองมากที่สุด โดยตัวเพลงนั้นเป็นป๊อปแบบเพียวๆ แตกต่างจากแนวเพลงใน 4 อัลบั้มที่ผ่านมาที่จะเป็นคันทรี่ หรือคันทรี่ป๊อป พร้อมกับการที่เธอออกมาประกาศว่า อัลบั้มนี้จะเป็นอัลบั้มเพลงป๊อปอย่างเป็นทางการอัลบั้มแรกของเธอ จึงเป็นประเด็นให้พูดคุยกันไปต่าง ๆ นานาในโลกโซเชียลเน็ตเวิร์ค เช่น เพลงในอัลบั้มนี้จะออกมาดีไหม จะมีเพลงคันทรี่ปะปนมาด้วยหรือไม่ แล้วฐานแฟนคลับเดิมจะยังอุดหนุนเธอต่อไปหรือไม่ อัลบั้มนี้จะประสบความสำเร็จเช่นเดียวกับ 4 อัลบั้มที่ผ่านมาหรือไม่ จนกระทั่งอัลบั้มวางจำหน่ายแล้วก็ยังมีคำถามถึงยอดขายเปิดตัวในสัปดาห์แรกว่าจะสูงมากเพียงใด จะทะลุ 1 ล้านก็อปปี้เป็นอัลบั้มที่ 3 ติดต่อกันหรือไม่
ภายในอัลบั้มนั้นบรรจุอัดแน่นไปด้วยเพลงป๊อปตลาดเข้าถึงง่าย รวมถึงมีเสียงอิเล็กทรอนิคส์เจือปน โทนของตัวเพลงในแต่ละแทร็คนั้นค่อนข้างไปในทิศทางเดียวกัน และมีจังหวะที่เร็วขึ้นกว่าเพลงของเทย์เลอร์ที่พวกเราคุ้นเคย โดยมีเพลงช้าปนมาแค่ 2 จาก 13 เพลง ซึ่งเป็นสัดส่วนที่น้อยผิดไปจากอัลบั้มที่ผ่านๆมา เพลงส่วนใหญ่ในอัลบั้มนี้เกิดจากฝีมือการแต่งเพลงของตัวเทย์เลอร์เองร่วมกับ Max Martin และ Shellback สองโปรดิวเซอร์ที่โดดเข้ามาร่วมงานกับเธอตั้งแต่อัลบั้ม RED โดยที่เป้าหมายในครั้งนี้เหมือนเป็นการเดินหน้ามุ่งตีตลาดป๊อปและตลาดนอกอเมริกาเหนือที่เคยเป็นจุดอ่อนของเธอแบบจริงจัง ต่างไปจากอัลบั้มก่อน ๆ ที่เอาเพลงป๊อปใส่เข้ามาเพื่อเป็นการทดลองแนวเพลงมากกว่า
1989 ในภาพรวม จัดเป็นผลิตภัณฑ์ที่ง่ายต่อการบริโภค แม้วัตถุดิบจะไม่ได้ถูกจัดเตรียมไว้อย่างประณีตสวยงามระดับมาสเตอร์พีซ แต่ใช้งานง่าย หยิบมาฟังได้ซ้ำๆ เพราะแต่ละเพลงมีคุณค่าและมีความกระชับในตัว อาจมีเพลงที่ตกมาตรฐานบ้างไม่กี่เพลง แต่ไม่มีเพลงที่สาธยายยืดเยื้อหกเจ็ดนาทีเหมือนเมื่อก่อน สำหรับคนที่ชอบเพลงเย็นๆ ช้า ๆ ซึ้ง ๆ กับเพลงแนวเดิมแบบคันทรี่อาจผิดหวังกับอัลบั้มนี้ แต่สำหรับคอเพลงป๊อปเพลงตลาดแล้ว 1989 จัดว่าเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่น่าจะหยิบมาฟัง เชื่อเหลือเกินว่าจะต้องมีหลายแทร็คที่ถูกใจคุณแน่นอน
Welcome To New York (4.5/5)
แทร็คเปิดตัวเสมือนเป็นการต้อนรับเข้าสู่อัลบั้ม 1989 ประหนึ่งว่าผู้ฟังกำลังจะเข้าสู่มหานครที่ไม่เคยได้สัมผัสมาก่อน ด้วยจังหวะดนตรีที่สดใส ทำให้นึกถึงภาพการย่างเท้าไปมาในนิวยอร์ค มหานครที่มีแต่แสงสี ในเมืองที่มีผู้คนมากหน้าหลายตา วอร์มอัพผู้ฟังก่อนเข้าสู่อัลบั้มกับเรื่องราวในอีก 12 เพลงที่เหลือ ราวกับว่าเพลงนี้ถูกแต่งขึ้นมาด้วยความจงใจให้เป็นเพลงเปิดอัลบั้มและวางไว้ที่ตำแหน่งนี้อย่างเหมาะเจาะ
Blank Space (4.5/5)
“แต่ถ้ามีช่องว่างให้เติมคำ ชื่อคุณนั่นแหละที่ฉันจะเขียนลงไป” ประโยคลงท้ายของหญิงสาวคนหนึ่งที่มีข่าวลือจริงปนเท็จเกี่ยวกับผู้ชายที่ผ่านเข้ามาคบหาหลายคน เป็นเพลงง่าย ๆ แต่ก็มีความต่อเนื่องเชื่อมโยงดี โดยใช้การเดินเพลงด้วยจังหวะกลองเรื่อยๆตลอดทั้งเพลง ด้วยจังหวะเพลงแบบชิค ๆ ชิลๆ ฟังเพลิน ๆ เช่นนี้ ช่วยดึงให้เพลงในแทร็คสองที่กำลังจะถูกตัดเป็นซิงเกิ้ลที่สองเพลงนี้นั้น ติดหูใช้ได้เลยทีเดียว
Style (4/5)
จากชื่อเพลงแล้วคาดว่าจะสื่อถึงอดีตบอยเฟรนด์คนหนึ่งของเธอในบอยแบนด์ชื่อดัง การเรียบเรียงที่ทำออกมาได้กลมกล่อมและทำให้หลงใหลไปกับเคมีของเพลง พูดถึงความรักของคนสองคนซึ่งแม้จะมีตัวแปรอื่นเข้ามาทำให้การเดินทางของการเป็นคู่รักนั้นไม่ได้ดำเนินไปแบบเส้นตรงเสมอ แต่สุดท้ายแล้วทุกสิ่งทุกอย่างก็สามารถกลับคืนมาได้... Cause we never go out of style.
Out Of The Woods (5/5)
Promotional single ที่ถูกปล่อยขายมาให้ฟังกันเพลิน ๆ ก่อนวันออกอัลบั้มเต็มสองสัปดาห์ เป็นเพลงป๊อปโทนลึกลับที่มีเสียงสังเคาระห์มาเป็นคอรัสคอยหลอกหลอนแบบเป็นระยะ ๆ เป็นเพลงที่พอเข้ามาฟังรวมกับเพลงอื่นในอัลบั้มตามแทร็คแล้ว รู้สึกถึงความทรงพลัง ความเก๋คือเมื่อเพลงเริ่มเล่าถึงเหตุการณ์ในแต่ละท่อนจะเริ่มต้นดำเนินแบบเนิบนาบจากนั้นเพลงจะค่อยๆบีบอารมณ์สู่จุดพีคและเข้าสู่คอรัสอันหวนโหยที่เต็มไปด้วยความสับสนถึงจุดยืนระหว่างความสัมพันธ์ หากฟังผ่าน ๆ อาจรู้สึกว่าเพลงนี้กลวงไปนิด แต่ความกลวงที่ว่านั้นมีความทึบมืดของซ่อนเร้นอยู่ งงมั้ย
All You Has To Do Was Stay (3/5)
มาถึงเพลงนี้แล้วก็จะเริ่มรู้สึกถึงความซ้ำซากขึ้นมาบ้าง ทั้งในด้านดนตรีและเนื้อร้อง โดยเฉพาะการลงท้ายเสียงสูงปรี๊ดในคำว่า Stay นั้น ฟังครั้งแรกถึงกับสะดุ้ง! เนื้อหาก็คล้ายกับเพลงจากอัลบั้มเก่าๆ ซึ่งของเก่าเคยทำไว้ได้ดีกว่า คนรักที่แสนจะโลเล ที่เคยตัดสัมพันธ์เธอไปแล้วยังจะขอโอกาสกลับมาคืนดี ซึ่งก็แน่นอนว่าเธอไม่คิดให้โอกาสเขาและกลับไปใช้ชีวิตในความสัมพันธ์เช่นนั้นอีก แม้เพลงจะติดหูและเนื้อหาสะใจดี แต่ยังพอฟังไปแค่ผ่านๆ
Shake It Off (3/5)
มาถึงซิงเกิ้ลแรกที่หยั่งรากความฮิตไปทุกซอกหลืบของโลกใบนี้ พอมาอยู่ในอัลบั้มแล้วรู้สึกว่าธรรมดามากๆ ตัวเพลงฟังง่าย จังหวะตบแปะ รัวมือแบบเชียร์ลีดเดอร์ เข้าใจง่าย เนื้อหาแบบจะว่าไงก็ว่าเห๊อะ ช่างมันฉันไม่แคร์ เอาไว้ใช้ฟังเพลินๆเสมือนยาสามัญประจำบ้าน ขอติตอนท้ายเพลงเล็กน้อยว่าท่อนคอรัสซ้ำซากเกินไป ท่อนคอรัสก็ดูร้องเหนื่อย ๆ
I Wish You Would (1.5/5)
การเรียบเรียงของเพลงนี้ค่อนข้างสะเปะสะปะไม่เป็นทิศทาง รวมถึงภาคการร้องที่อ่อนยวบยาบ ทำให้ไม่มีความอินไปกับเนื้อเพลงซึ่งแม้จะวางคอนเซ็ปต์ไว้ใช้ได้ แต่มันไม่อินตาม ภาพรวมออกมาแล้วไม่เป็นที่น่าจดจำ
Bad Blood (5/5)
เพลงนี้คือความชอบส่วนตัวจริงๆ ด้วย background ของเรื่องที่ถูกปูไว้ก่อนที่อัลบั้มจะออก เกี่ยวกับศิลปินตัวย่อ ค.ท.พ.ร. (ย่อทำไม?) ซึ่งท้ายที่สุดแล้วมันจะเป็นข่าวจริงหรือรูเม่อรูมั่วอะไรก็ตาม เพลงนี้ก็จัดว่ายอดเยี่ยมอยู่ดี ด้วยจังหวะเพลงที่ดำเนินแบบค่อย ๆ คืบคลาน และคุกคามสัญชาตญาณหญิง มอบให้แด่เพื่อนรักหักเหลี่ยมโหด จงเฉือนมิตรภาพนั้นทิ้งไปโยนให้เป็ดกิน ช่างถูกใจติ่งและสมาคมชาวเผือกยิ่งนัก เรียกได้ว่ายิ่งฟังยิ่งฟิน ฟินไปถึงก้นบึ้งของด้านมืดในจิตใจ
Wildest Dream (4/5)
เริ่มเพลงมาในแบบ Lana Del Rey สไตล์ คือค่อนข้างเซอร์ไพรซ์กับแทร็คนี้เพราะไม่คาดคิดว่าเทย์เลอร์จะมีเพลงแนวๆนี้ในอัลบั้มด้วย ก็ทำออกมาได้มีเสน่ห์ดี คือยังงงว่าทำไมเพลงมันถึงลาน่าได้ขนาดนี้ ในขณะเดียวกันมันก็มีความเป็นเทย์เลอร์อยู่ไม่น้อย ฟัง ๆ ไปก็จะมีความรู้สึกเหมือนอยู่ในภวังค์เหาะเหินเดินอากาศได้ คือมีความมโนอยู่พอสมควร เนื้อหาอย่าไปใส่ใจมากเพราะมาแนวพรรณนาอาลัยอาวรณ์อำลาอย่าลืมฉัน
How You Get The Girl (3.5/5)
เพลงป๊อปที่ธรรมด๊าธรรมดา ไม่มีอะไรแย่ แต่ก็ไม่มีอะไรโดดเด่น ฟังผ่าน ๆ หูไป เป็นเหมือนแทร็คให้พักผ่อนสามนาที การดำเนินเรื่องค่อนข้างเนิบนาบ ไปกระซิบเพื่อนรักว่า
อยากจีบสำเร็จ ก็ทำงี้ดิ เวิร์คชัวร์ๆ ขอชมท่อนฮุคที่ทำได้เตะหูดี แต่ท่อน Verseคือเรียบมากๆ
This Love (2/5)
หลังจากได้ฟังเพลงช้าเพลงแรกในอัลบั้ม ยอมรับตามตรงว่าผิดหวัง เนื่องจากอารมณ์เพลงที่ทื่อสนิท แถมยังชวนง่วงอีกด้วย เนื้อหาสาระก็ช่างน้อยนิด ด้วยความที่ช้าแถมยังน่าเบื่อจึงเป็นไม่กี่เพลงในอัลบั้มที่ไม่ได้หมุนกลับมาฟังบ่อยครั้งนัก
I Know Places (4/5)
หาที่ซ่อนกันเร็วที่รัก เป็นเพลงที่บาดคมปนโรแมนติกในความสับสนกระวนกระวายจากการเอาตัวรอด การใส่ลูกเล่น I I I เข้าไปในท้ายของแต่ละบาทนั้นดูเปรี้ยวเก๋ดี เหมือนเติมพริกไทยลงไปในอาหารให้หอมฉุยยิ่งขึ้น อารมณ์เพลงนั้นจำลองตัวเราเสมือนเข้าไปสู่สถานการณ์อันน่าอึดอัดนั้นได้จริง ๆ แต่ปลายเสียงของเทย์เลอร์นั้นบางไปนิดในท่อนฮุค ซึ่งแล้วแต่คนจะมอง จริง ๆ แล้ว เธออาจต้องการสื่อถึงความอ่อนแออ่อนล้าที่เกิดขึ้นหลังจากแสวงหาหลุมหลบภัยแห่งนี้จนเจอก็เป็นได้??
Clean (4.5/5)
หลังจากที่พายุอุปสรรคต่างๆ ได้พัดพาเข้ามาในชีวิต เช้าวันรุ่งขึ้นทุกอย่างก็จะดีขึ้นเอง เพลงช้าปิดอัลบั้มเพลงนี้จัดเป็นเพลงที่แต่งและเรียบเรียงได้อย่างยอดเยี่ยม รวมถึงการร้องที่นำพาเราซึ่งเป็นผู้ฟังฝ่าเข้าไปในอุปสรรคพร้อม ๆ กับเธอ และผ่านพ้นมันมาด้วยกัน จนมาสู่ความ Clean ในท้ายที่สุด ฟังแล้วรู้สึกอิน สงบ สะอาด ธรรมชาติบริสุทธิ์ เหมือนกำลังเข้ารับจิตบำบัด และทุกอย่างก็คลี่คลายไปในทางที่ดี อินสุดๆ เห็นถึงมโนภาพ เอาเป็นว่าเพลงนี้เจ๋งและปิดอัลบั้มได้สวยงาม ทำให้รู้สึกและสัมผัสได้ถึงความ Clean & Clear
ถือว่าไม่ผิดหวังจริง ๆ สำหรับอัลบั้มนี้ อัดแน่นไปด้วยเพลงเพราะ ๆ ให้ฟังกันแบบจุใจ คือฟังง่ายสุด ๆ เชื่อว่าทุกคนน่าจะสามารถเข้าถึงได้แทบทุกเพลงในอัลบั้ม และเชื่อเหลือเกินว่าอัลบั้มนี้จะประสบความสำเร็จในระดับโลกมากขึ้นกว่าอัลบั้มก่อน ๆ ด้วยตัวเพลงที่ป๊อปขึ้น บวกกับฐานแฟนคลับเดิมและกลุ่มแฟนเพลงใหม่ ๆ ที่จะถูกดึงเข้ามาร่วมวงไพบูลย์นี้ไปกับเธอด้วย แม้ 1989 จะเป็นอัลบั้มป๊อปล้วน ๆ แต่กลับมีกลิ่นอายความเป็นเทย์เลอร์ลอยคลุ้งเต็มไปหมด ความรู้สึกคือเป็นเทย์เลอร์มากยิ่งกว่าใน RED เสียอีก เสียดายที่เพลงช้าเพราะ ๆ น้อยไปนิด ไม่งั้นคงจะครบถ้วนทุกรสชาติ จากนี้คงต้องติดตามต่อไปในอัลบั้มที่ 6 ว่าเธอจะไปทางไหนต่อ จะเดินหน้าทำเพลงป๊อปต่อไป หรือกลับไปยังรากเดิมคือคันทรี่ นั่นคือสิ่งที่เกินกว่าทุกคนจะคาดหมายได้ ระหว่างนั้นก็ฟัง 1989 รอไปก่อน น่าจะเป็นอัลบั้มที่หยิบมาฟังกันได้แบบยาว ๆ
Score:
79/100
[CR] [REVIEW] TAYLOR SWIFT - 1989 :: "ก้าวสู่ความ Pop อย่างเต็มรูปแบบ"
“1989” คือสตูดิโออัลบั้มลำดับที่ 5 ของสาวสวย Taylor Swift ที่เพิ่งถูกวางจำหน่ายไปเมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา(Oct 27, 2014) หลังจากที่เธอได้ปล่อยซิงเกิ้ลแรก “Shake It Off” ออกมาชิมลางเมื่อประมาณ 2 เดือนก่อนหน้านี้ ซึ่งก็มีกระแสตอบรับอย่างล้นหลามต่อเพลงดังกล่าวโดยขึ้นที่ 1 Billboard Hot 100 พร้อมยอดขาย 544,000 copies ทันทีในสัปดาห์แรกที่ปล่อยจำหน่าย พร้อมกับได้รับการวิพากษ์วิจารณ์ในทิศทางที่หลากหลายในฐานะหนึ่งในศิลปินที่โลกจับตามองมากที่สุด โดยตัวเพลงนั้นเป็นป๊อปแบบเพียวๆ แตกต่างจากแนวเพลงใน 4 อัลบั้มที่ผ่านมาที่จะเป็นคันทรี่ หรือคันทรี่ป๊อป พร้อมกับการที่เธอออกมาประกาศว่า อัลบั้มนี้จะเป็นอัลบั้มเพลงป๊อปอย่างเป็นทางการอัลบั้มแรกของเธอ จึงเป็นประเด็นให้พูดคุยกันไปต่าง ๆ นานาในโลกโซเชียลเน็ตเวิร์ค เช่น เพลงในอัลบั้มนี้จะออกมาดีไหม จะมีเพลงคันทรี่ปะปนมาด้วยหรือไม่ แล้วฐานแฟนคลับเดิมจะยังอุดหนุนเธอต่อไปหรือไม่ อัลบั้มนี้จะประสบความสำเร็จเช่นเดียวกับ 4 อัลบั้มที่ผ่านมาหรือไม่ จนกระทั่งอัลบั้มวางจำหน่ายแล้วก็ยังมีคำถามถึงยอดขายเปิดตัวในสัปดาห์แรกว่าจะสูงมากเพียงใด จะทะลุ 1 ล้านก็อปปี้เป็นอัลบั้มที่ 3 ติดต่อกันหรือไม่
ภายในอัลบั้มนั้นบรรจุอัดแน่นไปด้วยเพลงป๊อปตลาดเข้าถึงง่าย รวมถึงมีเสียงอิเล็กทรอนิคส์เจือปน โทนของตัวเพลงในแต่ละแทร็คนั้นค่อนข้างไปในทิศทางเดียวกัน และมีจังหวะที่เร็วขึ้นกว่าเพลงของเทย์เลอร์ที่พวกเราคุ้นเคย โดยมีเพลงช้าปนมาแค่ 2 จาก 13 เพลง ซึ่งเป็นสัดส่วนที่น้อยผิดไปจากอัลบั้มที่ผ่านๆมา เพลงส่วนใหญ่ในอัลบั้มนี้เกิดจากฝีมือการแต่งเพลงของตัวเทย์เลอร์เองร่วมกับ Max Martin และ Shellback สองโปรดิวเซอร์ที่โดดเข้ามาร่วมงานกับเธอตั้งแต่อัลบั้ม RED โดยที่เป้าหมายในครั้งนี้เหมือนเป็นการเดินหน้ามุ่งตีตลาดป๊อปและตลาดนอกอเมริกาเหนือที่เคยเป็นจุดอ่อนของเธอแบบจริงจัง ต่างไปจากอัลบั้มก่อน ๆ ที่เอาเพลงป๊อปใส่เข้ามาเพื่อเป็นการทดลองแนวเพลงมากกว่า
1989 ในภาพรวม จัดเป็นผลิตภัณฑ์ที่ง่ายต่อการบริโภค แม้วัตถุดิบจะไม่ได้ถูกจัดเตรียมไว้อย่างประณีตสวยงามระดับมาสเตอร์พีซ แต่ใช้งานง่าย หยิบมาฟังได้ซ้ำๆ เพราะแต่ละเพลงมีคุณค่าและมีความกระชับในตัว อาจมีเพลงที่ตกมาตรฐานบ้างไม่กี่เพลง แต่ไม่มีเพลงที่สาธยายยืดเยื้อหกเจ็ดนาทีเหมือนเมื่อก่อน สำหรับคนที่ชอบเพลงเย็นๆ ช้า ๆ ซึ้ง ๆ กับเพลงแนวเดิมแบบคันทรี่อาจผิดหวังกับอัลบั้มนี้ แต่สำหรับคอเพลงป๊อปเพลงตลาดแล้ว 1989 จัดว่าเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่น่าจะหยิบมาฟัง เชื่อเหลือเกินว่าจะต้องมีหลายแทร็คที่ถูกใจคุณแน่นอน
Welcome To New York (4.5/5)
แทร็คเปิดตัวเสมือนเป็นการต้อนรับเข้าสู่อัลบั้ม 1989 ประหนึ่งว่าผู้ฟังกำลังจะเข้าสู่มหานครที่ไม่เคยได้สัมผัสมาก่อน ด้วยจังหวะดนตรีที่สดใส ทำให้นึกถึงภาพการย่างเท้าไปมาในนิวยอร์ค มหานครที่มีแต่แสงสี ในเมืองที่มีผู้คนมากหน้าหลายตา วอร์มอัพผู้ฟังก่อนเข้าสู่อัลบั้มกับเรื่องราวในอีก 12 เพลงที่เหลือ ราวกับว่าเพลงนี้ถูกแต่งขึ้นมาด้วยความจงใจให้เป็นเพลงเปิดอัลบั้มและวางไว้ที่ตำแหน่งนี้อย่างเหมาะเจาะ
Blank Space (4.5/5)
“แต่ถ้ามีช่องว่างให้เติมคำ ชื่อคุณนั่นแหละที่ฉันจะเขียนลงไป” ประโยคลงท้ายของหญิงสาวคนหนึ่งที่มีข่าวลือจริงปนเท็จเกี่ยวกับผู้ชายที่ผ่านเข้ามาคบหาหลายคน เป็นเพลงง่าย ๆ แต่ก็มีความต่อเนื่องเชื่อมโยงดี โดยใช้การเดินเพลงด้วยจังหวะกลองเรื่อยๆตลอดทั้งเพลง ด้วยจังหวะเพลงแบบชิค ๆ ชิลๆ ฟังเพลิน ๆ เช่นนี้ ช่วยดึงให้เพลงในแทร็คสองที่กำลังจะถูกตัดเป็นซิงเกิ้ลที่สองเพลงนี้นั้น ติดหูใช้ได้เลยทีเดียว
Style (4/5)
จากชื่อเพลงแล้วคาดว่าจะสื่อถึงอดีตบอยเฟรนด์คนหนึ่งของเธอในบอยแบนด์ชื่อดัง การเรียบเรียงที่ทำออกมาได้กลมกล่อมและทำให้หลงใหลไปกับเคมีของเพลง พูดถึงความรักของคนสองคนซึ่งแม้จะมีตัวแปรอื่นเข้ามาทำให้การเดินทางของการเป็นคู่รักนั้นไม่ได้ดำเนินไปแบบเส้นตรงเสมอ แต่สุดท้ายแล้วทุกสิ่งทุกอย่างก็สามารถกลับคืนมาได้... Cause we never go out of style.
Out Of The Woods (5/5)
Promotional single ที่ถูกปล่อยขายมาให้ฟังกันเพลิน ๆ ก่อนวันออกอัลบั้มเต็มสองสัปดาห์ เป็นเพลงป๊อปโทนลึกลับที่มีเสียงสังเคาระห์มาเป็นคอรัสคอยหลอกหลอนแบบเป็นระยะ ๆ เป็นเพลงที่พอเข้ามาฟังรวมกับเพลงอื่นในอัลบั้มตามแทร็คแล้ว รู้สึกถึงความทรงพลัง ความเก๋คือเมื่อเพลงเริ่มเล่าถึงเหตุการณ์ในแต่ละท่อนจะเริ่มต้นดำเนินแบบเนิบนาบจากนั้นเพลงจะค่อยๆบีบอารมณ์สู่จุดพีคและเข้าสู่คอรัสอันหวนโหยที่เต็มไปด้วยความสับสนถึงจุดยืนระหว่างความสัมพันธ์ หากฟังผ่าน ๆ อาจรู้สึกว่าเพลงนี้กลวงไปนิด แต่ความกลวงที่ว่านั้นมีความทึบมืดของซ่อนเร้นอยู่ งงมั้ย
All You Has To Do Was Stay (3/5)
มาถึงเพลงนี้แล้วก็จะเริ่มรู้สึกถึงความซ้ำซากขึ้นมาบ้าง ทั้งในด้านดนตรีและเนื้อร้อง โดยเฉพาะการลงท้ายเสียงสูงปรี๊ดในคำว่า Stay นั้น ฟังครั้งแรกถึงกับสะดุ้ง! เนื้อหาก็คล้ายกับเพลงจากอัลบั้มเก่าๆ ซึ่งของเก่าเคยทำไว้ได้ดีกว่า คนรักที่แสนจะโลเล ที่เคยตัดสัมพันธ์เธอไปแล้วยังจะขอโอกาสกลับมาคืนดี ซึ่งก็แน่นอนว่าเธอไม่คิดให้โอกาสเขาและกลับไปใช้ชีวิตในความสัมพันธ์เช่นนั้นอีก แม้เพลงจะติดหูและเนื้อหาสะใจดี แต่ยังพอฟังไปแค่ผ่านๆ
Shake It Off (3/5)
มาถึงซิงเกิ้ลแรกที่หยั่งรากความฮิตไปทุกซอกหลืบของโลกใบนี้ พอมาอยู่ในอัลบั้มแล้วรู้สึกว่าธรรมดามากๆ ตัวเพลงฟังง่าย จังหวะตบแปะ รัวมือแบบเชียร์ลีดเดอร์ เข้าใจง่าย เนื้อหาแบบจะว่าไงก็ว่าเห๊อะ ช่างมันฉันไม่แคร์ เอาไว้ใช้ฟังเพลินๆเสมือนยาสามัญประจำบ้าน ขอติตอนท้ายเพลงเล็กน้อยว่าท่อนคอรัสซ้ำซากเกินไป ท่อนคอรัสก็ดูร้องเหนื่อย ๆ
I Wish You Would (1.5/5)
การเรียบเรียงของเพลงนี้ค่อนข้างสะเปะสะปะไม่เป็นทิศทาง รวมถึงภาคการร้องที่อ่อนยวบยาบ ทำให้ไม่มีความอินไปกับเนื้อเพลงซึ่งแม้จะวางคอนเซ็ปต์ไว้ใช้ได้ แต่มันไม่อินตาม ภาพรวมออกมาแล้วไม่เป็นที่น่าจดจำ
Bad Blood (5/5)
เพลงนี้คือความชอบส่วนตัวจริงๆ ด้วย background ของเรื่องที่ถูกปูไว้ก่อนที่อัลบั้มจะออก เกี่ยวกับศิลปินตัวย่อ ค.ท.พ.ร. (ย่อทำไม?) ซึ่งท้ายที่สุดแล้วมันจะเป็นข่าวจริงหรือรูเม่อรูมั่วอะไรก็ตาม เพลงนี้ก็จัดว่ายอดเยี่ยมอยู่ดี ด้วยจังหวะเพลงที่ดำเนินแบบค่อย ๆ คืบคลาน และคุกคามสัญชาตญาณหญิง มอบให้แด่เพื่อนรักหักเหลี่ยมโหด จงเฉือนมิตรภาพนั้นทิ้งไปโยนให้เป็ดกิน ช่างถูกใจติ่งและสมาคมชาวเผือกยิ่งนัก เรียกได้ว่ายิ่งฟังยิ่งฟิน ฟินไปถึงก้นบึ้งของด้านมืดในจิตใจ
Wildest Dream (4/5)
เริ่มเพลงมาในแบบ Lana Del Rey สไตล์ คือค่อนข้างเซอร์ไพรซ์กับแทร็คนี้เพราะไม่คาดคิดว่าเทย์เลอร์จะมีเพลงแนวๆนี้ในอัลบั้มด้วย ก็ทำออกมาได้มีเสน่ห์ดี คือยังงงว่าทำไมเพลงมันถึงลาน่าได้ขนาดนี้ ในขณะเดียวกันมันก็มีความเป็นเทย์เลอร์อยู่ไม่น้อย ฟัง ๆ ไปก็จะมีความรู้สึกเหมือนอยู่ในภวังค์เหาะเหินเดินอากาศได้ คือมีความมโนอยู่พอสมควร เนื้อหาอย่าไปใส่ใจมากเพราะมาแนวพรรณนาอาลัยอาวรณ์อำลาอย่าลืมฉัน
How You Get The Girl (3.5/5)
เพลงป๊อปที่ธรรมด๊าธรรมดา ไม่มีอะไรแย่ แต่ก็ไม่มีอะไรโดดเด่น ฟังผ่าน ๆ หูไป เป็นเหมือนแทร็คให้พักผ่อนสามนาที การดำเนินเรื่องค่อนข้างเนิบนาบ ไปกระซิบเพื่อนรักว่า
อยากจีบสำเร็จ ก็ทำงี้ดิ เวิร์คชัวร์ๆ ขอชมท่อนฮุคที่ทำได้เตะหูดี แต่ท่อน VerseคือเรียบมากๆThis Love (2/5)
หลังจากได้ฟังเพลงช้าเพลงแรกในอัลบั้ม ยอมรับตามตรงว่าผิดหวัง เนื่องจากอารมณ์เพลงที่ทื่อสนิท แถมยังชวนง่วงอีกด้วย เนื้อหาสาระก็ช่างน้อยนิด ด้วยความที่ช้าแถมยังน่าเบื่อจึงเป็นไม่กี่เพลงในอัลบั้มที่ไม่ได้หมุนกลับมาฟังบ่อยครั้งนัก
I Know Places (4/5)
หาที่ซ่อนกันเร็วที่รัก เป็นเพลงที่บาดคมปนโรแมนติกในความสับสนกระวนกระวายจากการเอาตัวรอด การใส่ลูกเล่น I I I เข้าไปในท้ายของแต่ละบาทนั้นดูเปรี้ยวเก๋ดี เหมือนเติมพริกไทยลงไปในอาหารให้หอมฉุยยิ่งขึ้น อารมณ์เพลงนั้นจำลองตัวเราเสมือนเข้าไปสู่สถานการณ์อันน่าอึดอัดนั้นได้จริง ๆ แต่ปลายเสียงของเทย์เลอร์นั้นบางไปนิดในท่อนฮุค ซึ่งแล้วแต่คนจะมอง จริง ๆ แล้ว เธออาจต้องการสื่อถึงความอ่อนแออ่อนล้าที่เกิดขึ้นหลังจากแสวงหาหลุมหลบภัยแห่งนี้จนเจอก็เป็นได้??
Clean (4.5/5)
หลังจากที่พายุอุปสรรคต่างๆ ได้พัดพาเข้ามาในชีวิต เช้าวันรุ่งขึ้นทุกอย่างก็จะดีขึ้นเอง เพลงช้าปิดอัลบั้มเพลงนี้จัดเป็นเพลงที่แต่งและเรียบเรียงได้อย่างยอดเยี่ยม รวมถึงการร้องที่นำพาเราซึ่งเป็นผู้ฟังฝ่าเข้าไปในอุปสรรคพร้อม ๆ กับเธอ และผ่านพ้นมันมาด้วยกัน จนมาสู่ความ Clean ในท้ายที่สุด ฟังแล้วรู้สึกอิน สงบ สะอาด ธรรมชาติบริสุทธิ์ เหมือนกำลังเข้ารับจิตบำบัด และทุกอย่างก็คลี่คลายไปในทางที่ดี อินสุดๆ เห็นถึงมโนภาพ เอาเป็นว่าเพลงนี้เจ๋งและปิดอัลบั้มได้สวยงาม ทำให้รู้สึกและสัมผัสได้ถึงความ Clean & Clear
ถือว่าไม่ผิดหวังจริง ๆ สำหรับอัลบั้มนี้ อัดแน่นไปด้วยเพลงเพราะ ๆ ให้ฟังกันแบบจุใจ คือฟังง่ายสุด ๆ เชื่อว่าทุกคนน่าจะสามารถเข้าถึงได้แทบทุกเพลงในอัลบั้ม และเชื่อเหลือเกินว่าอัลบั้มนี้จะประสบความสำเร็จในระดับโลกมากขึ้นกว่าอัลบั้มก่อน ๆ ด้วยตัวเพลงที่ป๊อปขึ้น บวกกับฐานแฟนคลับเดิมและกลุ่มแฟนเพลงใหม่ ๆ ที่จะถูกดึงเข้ามาร่วมวงไพบูลย์นี้ไปกับเธอด้วย แม้ 1989 จะเป็นอัลบั้มป๊อปล้วน ๆ แต่กลับมีกลิ่นอายความเป็นเทย์เลอร์ลอยคลุ้งเต็มไปหมด ความรู้สึกคือเป็นเทย์เลอร์มากยิ่งกว่าใน RED เสียอีก เสียดายที่เพลงช้าเพราะ ๆ น้อยไปนิด ไม่งั้นคงจะครบถ้วนทุกรสชาติ จากนี้คงต้องติดตามต่อไปในอัลบั้มที่ 6 ว่าเธอจะไปทางไหนต่อ จะเดินหน้าทำเพลงป๊อปต่อไป หรือกลับไปยังรากเดิมคือคันทรี่ นั่นคือสิ่งที่เกินกว่าทุกคนจะคาดหมายได้ ระหว่างนั้นก็ฟัง 1989 รอไปก่อน น่าจะเป็นอัลบั้มที่หยิบมาฟังกันได้แบบยาว ๆ
Score: 79/100