Taylor Swift - "The Tortured Poets Department" (2024)
กว่า 18 ปีที่โลดแล่นอยู่บนเส้นทางศิลปินของนักร้องสาวมากความสามารถขวัญใจมหาชนอย่าง Taylor Swift นี่เป็นอีกครั้งที่เธอปล่อยสตูดิโออัลบั้มออกมาให้ได้ฟังกันตั้งแต่วันศุกร์ที่ 19 เมษายน 2024 ที่ผ่านมา โดยในอัลบั้มเต็มชุดที่ 11 ‘The Tortured Poets Department’ นี้ บรรจุไปด้วยเพลงใน standard edition จำนวน 16 เพลง แต่นั่นยังไม่พอ เธอได้ทำเซอร์ไพรซ์โดยการปล่อยเพลงเพิ่มมาอีก 15 แทร็กที่จะรวมอยู่ในครึ่งหลัง หรือ ‘The Anthology’ ของอัลบั้ม ให้ผู้ฟังได้เสพกันอย่างจุใจ ฟังต่อเนื่องกันข้ามวันข้ามคืนด้วยความยาวเพลงสิริรวมมากถึง 122 นาที ประหนึ่งภาพยนตร์ดี ๆ สักเรื่องหนึ่งให้ท่านได้เพลิดเพลินในการรับชม
ว่ากันตามเนื้อผ้าแล้ว วงจรการทำดนตรีและปล่อยอัลบั้มของเธอในยุคโรคระบาดและหลังการแพร่ระบาดของ COVID 19 นั้นเปรียบเสมือนเฟสใหม่ของสารานุกรมแผ่นเสียงของเธอ จากอัลบั้มชิ้นมาสเตอร์พีซอย่าง folklore (2020) สู่น้องสาวสุดเฟี้ยวแบบ evermore (2020) ย้อนกลับมาแนวป๊อปชวนฝันขวัญใจมหาชนอย่าง Midnights (2022) เดินทางมาถึงอัลบั้มชุดนี้ในปี 2024 เป็นที่ประจักษ์แล้วว่ากราฟความเป็นที่นิยมและความมีชื่อเสียงของเธอนั้นมีแต่พุ่งขึ้นจนแทบจะอะไรมาฉุดไม่อยู่ นำมาสู่ยอดขายและรางวัลประจำปีจากสำนักต่าง ๆ ที่เป็นอีกตัวชี้วัดความสำเร็จของเธอ
นี่ยังไม่นับการที่เธอนำอัลบั้มชุดแรก ๆ ครั้งยังมีสัญญาอยู่กับ Big machine records มาบันทึกเสียงและวางจำหน่ายใหม่ ในชื่ออัลบั้มที่มีคำสร้อยห้อยท้ายสุดเก๋อย่าง Taylor’s Version ที่ล้วนสร้างความฮือฮาทุกครั้งที่มีการปล่อยออกมาให้ฟังในช่วงระยะเวลา 3 ปีที่ผ่านมา ไล่เรียงมาตั้งแต่ Fearless (TV), RED (TV), Speak Now (TV) มาจนถึงงานเก่าสุดฮิตที่เพิ่งถูกปล่อยออกมาเป็นชุดล่าสุดเมื่อช่วงปลายปีที่ผ่านมาอย่าง 1989 (TV)
พร้อมกันกับกระแสของทัวร์คอนเสิร์ตล่าสุดของเธอ ‘The Eras Tour’ ที่เป็นการกลับมาเล่นคอนเสิร์ตแบบเต็มรูปแบบครั้งยิ่งใหญ่ถัดจาก reputation Stadium tour ซึ่งเป็นการออกทัวร์ครั้งล่าสุดที่ต้องพาย้อนอดีตกลับไปช่วงปี 2018 เลยทีเดียว สำหรับคอนเสิร์ตชุดปัจจุบันนี้เธอทุ่มทุนสร้างทั้ง production setlist และโชว์ต่าง ๆ แบบจัดหนักจัดเต็มมาให้แฟนได้ชมกันอย่างจุใจจนต้องตะลึงกันไปอย่างพร้อมเพรียงโดยนำเสนอผ่าน concept ของการนำเพลงในแต่ละยุคแต่ละอัลบั้มของเธอมาร้อยเรียงรวมกันเป็นรายชื่อเพลงที่ถูกเล่นในคอนเสิร์ต ควบรวมไปถึงเหล่าเพลงจาก 4 อัลบั้มล่าสุดที่ยังไม่เคยมีโอกาสได้ออกแสดงใน World Tour ชุดที่ผ่าน ๆ มา ได้แก่อัลบั้ม Lover, folklore, evermore และ Midnights
ปัจจัยทั้งหมดนี้ล้วนทำให้ผู้ชมได้สัมผัสถึงรสชาติของความสดใหม่และพบกับความตื่นตาตื่นใจไปพร้อม ๆ กัน โดยกระแสตอบรับในภาพรวมนั้นเรียกได้ว่าทะลักทะลาย โชว์ในแต่ละค่ำคืนถูกขายบัตรไปได้อย่างหมดเกลี้ยงอย่างรวดเร็วเป็นประวัติการณ์ โดย The Eras Tour ถูกจัดให้เป็นทัวร์คอนเสิร์ตที่ทำรายได้สูงที่สุดตลอดกาลทั้งการนับแบบยอดขายที่ทำได้จริงและแบบปรับปรุงยอดขายตามอัตราเงินเฟ้อเพื่อความเป็นธรรมกับการเทียบเคียงค่าเงินของทัวร์ของศิลปินท่านต่างๆ ในอดีต
ไม่เพียงเท่านี้ กระแสของ The Eras Tour ได้ลามไปถึงวงการภาพยนตร์ เมื่อคอนเสิร์ตนี้ถูกตัดต่อออกฉายบนจอเงินในช่วงปลายปี 2023 ก็สามารถทำรายได้ไปกว่า 180 ล้านดอลลาร์สหรัฐบน Box Office และ 261 ล้านดอลลาร์สหรัฐทั่วโลก สำหรับโซนประเทศเอเชียของเราก็มีโอกาสได้สัมผัสกลิ่นอายกับเค้าด้วยเช่นกันในช่วงเดือนมีนาคม 2024 ที่ผ่านมา โดยเธอได้ทำการแสดงทัวร์นี้ที่ Tokyo และ Singapore เรียกได้ว่าบินเฉียดหลังคาบ้านประเทศไทยไปเพียงนิดเดียว
อัลบั้ม The Tortured Poets Department ชุดนี้นั้นประกอบไปด้วยแนวเพลงอันหลากหลายบนฉากหลังหลัก ๆ ของอัลบั้มที่มีความเป็น Synth pop แซมไปด้วย folk pop และ chamber pop ในบางครั้งคุณอาจเคลิ้มและพลันนึกถึงภาพจาง ๆ ของ 3-4 อัลบั้มก่อนหน้าของเธอลอยฟุ้งเข้ามามีอิทธิพลในแต่ละเพลง แต่ในส่วนของเนื้อหานั้นนับว่ายังคงใช้ภาษาได้น่าสนใจ โดยการประพันธ์เนื้อเพลงของเธอนั้นเข้าขั้นวางใจได้โดยเฉพาะในงานยุคหลัง ๆ โดยมีเนื้อเรื่องที่ร้อยเรียงกันอย่างน่าสนใจเป็นตัวชูโรง เป็นภาพสะท้อนทักษะที่ถูกเคี่ยวกรำผ่านประสบการณ์ชีวิตที่เธอประสบพบพานมา พร้อมที่จะกลั่นออกมาและคลอดออกมาเป็นแต่ละบทกวี เมื่อผนวกรวมกับความสามารถในการสื่อสารสู่สาธารณชนที่ชัดเจนผ่านบทเพลงของเธอจึงบังเกิดเป็นผลลัพธ์ที่อัศจรรย์ใจและเป็นสิ่งที่ท้าทายเป็นอย่างยิ่งว่า กระทรวงทบวงของกวีชีช้ำแห่งนี้นั้นจะเชื้อเชิญให้คุณเข้ามาเหยียบย่ำ เยี่ยมซ้ำ หรือไม่เชื้อชวนให้คุณนั้นย่างกรายเข้ามาเฉียดใกล้อีกเลย
Fortnight ft.Post Malone (5/5)
เปิดอัลบั้มมาด้วยลีดซิงเกิ้ลที่เพิ่งปล่อยมิวสิควิดีโอกันไปสด ๆ ร้อน ๆ ซึ่งไม่บ่อยครั้งนักที่เธอเลือกที่จะปล่อยอัลติเมทเสียตั้งแต่แทร็กปฐมฤกษ์เบิกโรงแบบกระแทกหูเฉกเช่นครานี้ โดยเพลงนี้มีมวลอารมณ์ของความโหยหาถึงอดีตครั้งที่ยังมีความสุขกับคนรักในห้วงเวลาแสนสั้นอันแสนสุข แม้อาจมีเหตุบางอย่างมาพรากให้ห่างเหินกันแต่ความสัมพันธ์นั้นช่างตราตรึง ยังคงบาดเล็กเจ็บลึกซ้ำยังมีภาพบาดตาเมียใหม่ของแฟนเก่ายืนรดน้ำต้นไม้สวย ๆ คอยซ้ำเติม นำไปสู่การกัดกินร่างกายและจิตใจจนนำไปสู่พฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงและกายหยาบที่ทรุดโทรมต้องพึ่งพาหยูกยาช่วย ต้องขอชื่นชมการไล่เรียงอารมณ์เพลงที่นำพาไปสู่จุดสูงสุดได้อย่างงดงามจนต้องยืนปรบมือให้ การคอลแลปกับ Post Malone ศิลปินหนุ่มเบอร์แรงของทศวรรษนี้ ช่วยทวีดีกรีของอารมณ์เพลงอย่างมาก รวมถึงท่อน chorus ที่ติดหูทำให้ยิ่งฟังยิ่งมันส์ และอยากกรอเทปฟังซ้ำเรื่อย ๆ
The Tortured Poets Department (4.5/5)
ถ้าเปรียบแทร็กแรกคือถนนปากซอยที่กรุยทางให้เราได้หอบหิ้วสัมภาระมาจนถึงหน้าบ้าน ไตเติ้ลแทร็กของอัลบั้มที่ตามมาในลำดับที่ 2 นี้ก็เปรียบเหมือนประตูที่พร้อมเชื้อเชิญเราเข้าสู่อาณาเขตของรั้วเคหาสน์หลังนี้ มาพร้อมกับพี่บุรุษไปรษณีย์ที่ส่งพัสดุเป็นเครื่องพิมพ์ดีดมาถึงหน้าบ้านในศักราชนี้ที่คาดว่าไม่น่าจะมีผู้ที่ชำชองการใช้พิมพ์ดีดหลงเหลืออยู่มากนัก เมื่อถึงคราต้องพินิจพิเคราะห์ว่าจะนำมาใช้การ หรือโยนเข้าห้องเก็บของดีก็จะพบกับความโรแมนติกที่ซ่อนอยู่ เชื่อไหมว่าพิมพ์ดีดเครื่องนี้แหละที่เธอใช้ในการประพันธ์เพลงต่าง ๆ ในอัลบั้ม คลอดเพลงออกมาเพลงแล้วเพลงเล่า เปรียบเสมือนแม่ของงานชุดนี้ แต่อย่าเพิ่งเชื่อนะ เรื่องนี้อาจเป็นเรื่องจริงหรือโกหกก็ได้ ความแปลกของเธอฉันรับได้ หากร้างลากันไปใครจะรู้ใจฉันเท่าเธอไม่มีอีกแล้ว โอ้ยน้ำเน่ามากๆ จุดที่ชอบคือเธอย้ายแหวนที่ฉันสวมอยู่บนนิ้วกลางไปสวมยังนิ้วอะไรก็ไม่รู้อ่ะนะ แต่เป็นนิ้วซึ่งคนที่กำลังจะแต่งงานเขาสวมกัน สวยมั้ยล่ะ ถึงจุดนี้ก็คลื่นเหียนไม่ไหวแล้ว จ้ะ
My Boy Only Breaks His Favorite Toys (3.5/5)
เร่งจังหวะขึ้นมากันนิดหน่อยกับเพลงเธอทำเหมือนกับฉันเป็นของเล่น แต่จริงๆแล้วฉันว่าชั้นเป็นของเธอ สาวสวิฟท์ไม่ปล่อยให้เราได้มีจังหวะให้ได้ตั้งตัวกันมาก เปิดฉากเข้าเพลงกันอย่างรวดเร็ว มีความ catchy ฟังติดงอมแงมได้ไม่ยาก แต่อารมณ์เพลงยังไม่ต่อเนื่องนัก มีกราฟวูบกราฟตกเป็นระยะกระจัดกระจายอยู่ไม่ค่อยเป็นหลักแหล่ง ท่อน chorus ที่น่าจะเป็นตัวชูโรงแต่กลับกลายเป็นดรอปที่สุด ที่สำคัญยังขาดความสดใหม่เหมือนกำลังฟังงานยุคเก่า ยุคที่เธอเริ่มทำเพลงป๊อปใหม่ ๆ อย่างไรอย่างนั้น
Down Bad (3.5/5)
ว่าที่ fan favorite เพลงใหม่ เข้ากับดีกับบรรยากาศช่วงนี้ที่ฝนเริ่มเท อารมณ์รักก็เริ่มแปรปรวน ฟ้าหม่นฝนตกชวนให้ตัดพ้อโชคชะตาพลันน้ำตาก็หลั่งไหลรินออกมา นี่คือเพลงที่ฟังง่ายย่อยง่ายที่สุดของที่นี่ สื่อสารกันโต้ง ๆ มีความเป็นมิตรกับหูสูง แต่ยังรู้สึกว่าภาพรวมยังเรื่อย ๆ มาเรียง ๆ ไม่มีจุดเด่นให้น่าจดจำมากนัก โดยเฉพาะท่อนฮุคซึ่งแม้จะมีทำนองและเนื้อเพลงที่ขับส่ง แต่ออกมาได้ค่อนข้างแห้งแล้งราบเรียบไปเลยในแง่ของอารมณ์จนทำให้เราได้เกือบบรรทม
So Long, London (4/5)
เปิดมาเล่นใหญ่มาก เสียงโหยหวนประสานเป็นนัยว่าเตรียมบอกลาหนุ่มลอนดอนได้เลยจ้ะ ฟีลแบบเตือนแล้วนะเพลงนี้เศร้าดิ่งแน่นอน กับความรักครั้งสำคัญที่พร้อมจะขาดสะบั้น ยื้อสักเท่าใดก้ไม่สัมฤทธิ์ผล จึงลงเอยด้วยการร้องเพลงลาแล้วที่รักจ๋า แยก ย้าย ตัวเพลงนำเสนอความเจ้าบทเจ้ากลอนของกวีสาวนักรักผู้นี้ที่คอยพร่ำพรรณนาถึงเส้นเวลาของความระหองระแหงที่ผ่าน ถึงแม้เพลงจะยืดชวนง่วงไปสักนิดสวนทางกับภาพของการจั่วหัวอันสุดแสนอลังการ แต่อารมณ์เพลงนับว่าทำถึง พลันเสียดายแทนเธอว่าความรักของเรามันจบลงจริง ๆ แล้ว ใช่มั้ย
But Daddy I Love Him (3.5/5)
นี่ก็เป็นอีกเพลงที่มีหลากมิติทางด้านอารมณ์และการเปรียบเปรย เธอใช้ภาษาการเขียนสื่อสารออกมาได้อย่างสละสลวยสวยงามกับหญิงสาวผู้เชื่อมั่นในรักแท้แม้จะต้องฝ่ากำแพงในระดับครอบครัวและชุมชนรวมถึงบรรดามิตรแท้จอมปลอมที่หยิบยื่นดอกไม้แห่งความหวังดีที่ซ่อนเข็มพิษแห่งการทรยศหลังหัก แต่เธอก็โนสนโนแคร์ รักแท้ชนะทุกสิ่ง ภาพของเธอฉายให้เห็นสาวมั่นวัยแรกแย้มบนฉากหลังยุคอาณานิคม มีกลิ่นพื้นบ้านและความปรัมปราแกมความยอกย้อนออกมาได้อย่างแสบ ๆ คัน ๆ เธอเพิ่มความสมบูรณ์ให้กับเพลงด้วยความยาวกว่า 5 นาทีครึ่งซึ่งออกจะยืดย้วยไปสักนิดในตอนท้าย และเนื้อเสียงที่ไม่ค่อยกลมกลืนเป็นเนื้อเดียวไปกับเพลงนัก
Fresh Out The Slammer (4/5)
เมื่อนกน้อยที่ถูกจองจำมานานถูกปลดปล่อยจากกรงขังและได้ออกโบยบินอย่างอิสระ ก็พร้อมจะกระพือปีกกลับไปซบอกชายอันเป็นที่รัก หลังจากจำต้องชดใช้กรรมมานาน แม้เพลงนี้จะลดสเกลมาจากเหล่าแทร็กในเวิ้งก่อนหน้า แต่ในความทำน้อยนี้กลับเป็นการสื่อสารออกมาได้อย่างชัดเจนจริงใจ และทำให้อารมณ์เพลงต่อเนื่องไม่รู้สึกถึงการขาดหายของชิ้นส่วนสำคัญ เรียกได้ว่า ท่าง่ายแต่ได้ครบ
Florida!!! Ft.Florence + The Machine (4/5)
ปลุกทุกท่านตื่นขึ้นมาอีกครั้งกับเพลงที่ชวนระทึกใจกับชายหาดของรัฐฟลอริด้าอันเงียบสงบและสุดแสนจะครื้นเครง สวนทางกับพายุร้ายภายในใจศิลปินสาวที่กำลังพัดอยู่แรงรุนเกี่ยวเนื่องกับมรสุมชีวิตที่ติดตัวมาตั้งแต่การออกโชว์ที่รัฐเท็กซัส ด้วยความหมายมั่นปั้นมือว่าที่แห่งนี้แหละที่จะช่วยเยียวยาให้พิษร้ายภายในจิตใจได้ละลายหายไป เป็นเพลงที่ทำถึงอารมณ์เป็นลำดับต้น ๆ และการร่วมงานกับ Florence + The Machine ในครั้งนี้นั้นเสริมพลังให้เห็นถึงฉากฟาดฟันกันได้อย่างดีเยี่ยม ไม่มีใครจม ไม่มีใครหาย แถมยังขับส่งให้เพลงไปถึงจุดพีคอย่างประทับจิต
Guity as Sin? (3.5/5)
ท้าทายกับหัวข้อด้านศีลธรรมกาเม นี่คือการเผลอหลุดเพ้อถึง’ผู้’ที่เธอแอบใฝ่แอบฝัน ผู้ที่แว๊บมาอ้อยเพียงหนึ่งครั้งแต่ทำให้เธอแตกหน่อทางความรู้สึกต่อไปอีกไกลโขจนคนรอบกายต้องช่วยกันดึงสติกลับมา แต่รันไปได้ครึ่งเพลงคือทราบแล้วว่าแม่นี่คงหลุดวงโคจรไปแล้วจริง ๆ คงต้องมาถกกันต่อว่าการคิดถึงเพียงเพราะเผลอไผลจะถือเป็นความผิดติดตัวไหมหากไม่สำเร็จในการกระทำ แต่เธอก็จัดการสาปตัวเองให้ลื่นไปเดดสมอเร่ในพุ่มดอกเข็มแล้วช่างน่าเวทนา แม้ฟังดูแล้วท่า concept น่าจะมันส์ขนาดนี้ แต่เพลงกลับออกมาแห้งแล้งในระดับหนึ่ง ไม่ได้โดดเด่นหรือนำพาอารมณ์มากมาย รวมถึงการเรียบเรียงที่ยังขาดๆเกินๆอยู่พอครวญ
[CR] รีวิวอัลบั้ม Taylor Swift - 'The Tortured Poets Departmant' (2024)
กว่า 18 ปีที่โลดแล่นอยู่บนเส้นทางศิลปินของนักร้องสาวมากความสามารถขวัญใจมหาชนอย่าง Taylor Swift นี่เป็นอีกครั้งที่เธอปล่อยสตูดิโออัลบั้มออกมาให้ได้ฟังกันตั้งแต่วันศุกร์ที่ 19 เมษายน 2024 ที่ผ่านมา โดยในอัลบั้มเต็มชุดที่ 11 ‘The Tortured Poets Department’ นี้ บรรจุไปด้วยเพลงใน standard edition จำนวน 16 เพลง แต่นั่นยังไม่พอ เธอได้ทำเซอร์ไพรซ์โดยการปล่อยเพลงเพิ่มมาอีก 15 แทร็กที่จะรวมอยู่ในครึ่งหลัง หรือ ‘The Anthology’ ของอัลบั้ม ให้ผู้ฟังได้เสพกันอย่างจุใจ ฟังต่อเนื่องกันข้ามวันข้ามคืนด้วยความยาวเพลงสิริรวมมากถึง 122 นาที ประหนึ่งภาพยนตร์ดี ๆ สักเรื่องหนึ่งให้ท่านได้เพลิดเพลินในการรับชม
ว่ากันตามเนื้อผ้าแล้ว วงจรการทำดนตรีและปล่อยอัลบั้มของเธอในยุคโรคระบาดและหลังการแพร่ระบาดของ COVID 19 นั้นเปรียบเสมือนเฟสใหม่ของสารานุกรมแผ่นเสียงของเธอ จากอัลบั้มชิ้นมาสเตอร์พีซอย่าง folklore (2020) สู่น้องสาวสุดเฟี้ยวแบบ evermore (2020) ย้อนกลับมาแนวป๊อปชวนฝันขวัญใจมหาชนอย่าง Midnights (2022) เดินทางมาถึงอัลบั้มชุดนี้ในปี 2024 เป็นที่ประจักษ์แล้วว่ากราฟความเป็นที่นิยมและความมีชื่อเสียงของเธอนั้นมีแต่พุ่งขึ้นจนแทบจะอะไรมาฉุดไม่อยู่ นำมาสู่ยอดขายและรางวัลประจำปีจากสำนักต่าง ๆ ที่เป็นอีกตัวชี้วัดความสำเร็จของเธอ
นี่ยังไม่นับการที่เธอนำอัลบั้มชุดแรก ๆ ครั้งยังมีสัญญาอยู่กับ Big machine records มาบันทึกเสียงและวางจำหน่ายใหม่ ในชื่ออัลบั้มที่มีคำสร้อยห้อยท้ายสุดเก๋อย่าง Taylor’s Version ที่ล้วนสร้างความฮือฮาทุกครั้งที่มีการปล่อยออกมาให้ฟังในช่วงระยะเวลา 3 ปีที่ผ่านมา ไล่เรียงมาตั้งแต่ Fearless (TV), RED (TV), Speak Now (TV) มาจนถึงงานเก่าสุดฮิตที่เพิ่งถูกปล่อยออกมาเป็นชุดล่าสุดเมื่อช่วงปลายปีที่ผ่านมาอย่าง 1989 (TV)
พร้อมกันกับกระแสของทัวร์คอนเสิร์ตล่าสุดของเธอ ‘The Eras Tour’ ที่เป็นการกลับมาเล่นคอนเสิร์ตแบบเต็มรูปแบบครั้งยิ่งใหญ่ถัดจาก reputation Stadium tour ซึ่งเป็นการออกทัวร์ครั้งล่าสุดที่ต้องพาย้อนอดีตกลับไปช่วงปี 2018 เลยทีเดียว สำหรับคอนเสิร์ตชุดปัจจุบันนี้เธอทุ่มทุนสร้างทั้ง production setlist และโชว์ต่าง ๆ แบบจัดหนักจัดเต็มมาให้แฟนได้ชมกันอย่างจุใจจนต้องตะลึงกันไปอย่างพร้อมเพรียงโดยนำเสนอผ่าน concept ของการนำเพลงในแต่ละยุคแต่ละอัลบั้มของเธอมาร้อยเรียงรวมกันเป็นรายชื่อเพลงที่ถูกเล่นในคอนเสิร์ต ควบรวมไปถึงเหล่าเพลงจาก 4 อัลบั้มล่าสุดที่ยังไม่เคยมีโอกาสได้ออกแสดงใน World Tour ชุดที่ผ่าน ๆ มา ได้แก่อัลบั้ม Lover, folklore, evermore และ Midnights
ปัจจัยทั้งหมดนี้ล้วนทำให้ผู้ชมได้สัมผัสถึงรสชาติของความสดใหม่และพบกับความตื่นตาตื่นใจไปพร้อม ๆ กัน โดยกระแสตอบรับในภาพรวมนั้นเรียกได้ว่าทะลักทะลาย โชว์ในแต่ละค่ำคืนถูกขายบัตรไปได้อย่างหมดเกลี้ยงอย่างรวดเร็วเป็นประวัติการณ์ โดย The Eras Tour ถูกจัดให้เป็นทัวร์คอนเสิร์ตที่ทำรายได้สูงที่สุดตลอดกาลทั้งการนับแบบยอดขายที่ทำได้จริงและแบบปรับปรุงยอดขายตามอัตราเงินเฟ้อเพื่อความเป็นธรรมกับการเทียบเคียงค่าเงินของทัวร์ของศิลปินท่านต่างๆ ในอดีต
ไม่เพียงเท่านี้ กระแสของ The Eras Tour ได้ลามไปถึงวงการภาพยนตร์ เมื่อคอนเสิร์ตนี้ถูกตัดต่อออกฉายบนจอเงินในช่วงปลายปี 2023 ก็สามารถทำรายได้ไปกว่า 180 ล้านดอลลาร์สหรัฐบน Box Office และ 261 ล้านดอลลาร์สหรัฐทั่วโลก สำหรับโซนประเทศเอเชียของเราก็มีโอกาสได้สัมผัสกลิ่นอายกับเค้าด้วยเช่นกันในช่วงเดือนมีนาคม 2024 ที่ผ่านมา โดยเธอได้ทำการแสดงทัวร์นี้ที่ Tokyo และ Singapore เรียกได้ว่าบินเฉียดหลังคาบ้านประเทศไทยไปเพียงนิดเดียว
ถ้าเปรียบแทร็กแรกคือถนนปากซอยที่กรุยทางให้เราได้หอบหิ้วสัมภาระมาจนถึงหน้าบ้าน ไตเติ้ลแทร็กของอัลบั้มที่ตามมาในลำดับที่ 2 นี้ก็เปรียบเหมือนประตูที่พร้อมเชื้อเชิญเราเข้าสู่อาณาเขตของรั้วเคหาสน์หลังนี้ มาพร้อมกับพี่บุรุษไปรษณีย์ที่ส่งพัสดุเป็นเครื่องพิมพ์ดีดมาถึงหน้าบ้านในศักราชนี้ที่คาดว่าไม่น่าจะมีผู้ที่ชำชองการใช้พิมพ์ดีดหลงเหลืออยู่มากนัก เมื่อถึงคราต้องพินิจพิเคราะห์ว่าจะนำมาใช้การ หรือโยนเข้าห้องเก็บของดีก็จะพบกับความโรแมนติกที่ซ่อนอยู่ เชื่อไหมว่าพิมพ์ดีดเครื่องนี้แหละที่เธอใช้ในการประพันธ์เพลงต่าง ๆ ในอัลบั้ม คลอดเพลงออกมาเพลงแล้วเพลงเล่า เปรียบเสมือนแม่ของงานชุดนี้ แต่อย่าเพิ่งเชื่อนะ เรื่องนี้อาจเป็นเรื่องจริงหรือโกหกก็ได้ ความแปลกของเธอฉันรับได้ หากร้างลากันไปใครจะรู้ใจฉันเท่าเธอไม่มีอีกแล้ว โอ้ยน้ำเน่ามากๆ จุดที่ชอบคือเธอย้ายแหวนที่ฉันสวมอยู่บนนิ้วกลางไปสวมยังนิ้วอะไรก็ไม่รู้อ่ะนะ แต่เป็นนิ้วซึ่งคนที่กำลังจะแต่งงานเขาสวมกัน สวยมั้ยล่ะ ถึงจุดนี้ก็คลื่นเหียนไม่ไหวแล้ว จ้ะ
My Boy Only Breaks His Favorite Toys (3.5/5)
เร่งจังหวะขึ้นมากันนิดหน่อยกับเพลงเธอทำเหมือนกับฉันเป็นของเล่น แต่จริงๆแล้วฉันว่าชั้นเป็นของเธอ สาวสวิฟท์ไม่ปล่อยให้เราได้มีจังหวะให้ได้ตั้งตัวกันมาก เปิดฉากเข้าเพลงกันอย่างรวดเร็ว มีความ catchy ฟังติดงอมแงมได้ไม่ยาก แต่อารมณ์เพลงยังไม่ต่อเนื่องนัก มีกราฟวูบกราฟตกเป็นระยะกระจัดกระจายอยู่ไม่ค่อยเป็นหลักแหล่ง ท่อน chorus ที่น่าจะเป็นตัวชูโรงแต่กลับกลายเป็นดรอปที่สุด ที่สำคัญยังขาดความสดใหม่เหมือนกำลังฟังงานยุคเก่า ยุคที่เธอเริ่มทำเพลงป๊อปใหม่ ๆ อย่างไรอย่างนั้น
Down Bad (3.5/5)
ว่าที่ fan favorite เพลงใหม่ เข้ากับดีกับบรรยากาศช่วงนี้ที่ฝนเริ่มเท อารมณ์รักก็เริ่มแปรปรวน ฟ้าหม่นฝนตกชวนให้ตัดพ้อโชคชะตาพลันน้ำตาก็หลั่งไหลรินออกมา นี่คือเพลงที่ฟังง่ายย่อยง่ายที่สุดของที่นี่ สื่อสารกันโต้ง ๆ มีความเป็นมิตรกับหูสูง แต่ยังรู้สึกว่าภาพรวมยังเรื่อย ๆ มาเรียง ๆ ไม่มีจุดเด่นให้น่าจดจำมากนัก โดยเฉพาะท่อนฮุคซึ่งแม้จะมีทำนองและเนื้อเพลงที่ขับส่ง แต่ออกมาได้ค่อนข้างแห้งแล้งราบเรียบไปเลยในแง่ของอารมณ์จนทำให้เราได้เกือบบรรทม
So Long, London (4/5)
เปิดมาเล่นใหญ่มาก เสียงโหยหวนประสานเป็นนัยว่าเตรียมบอกลาหนุ่มลอนดอนได้เลยจ้ะ ฟีลแบบเตือนแล้วนะเพลงนี้เศร้าดิ่งแน่นอน กับความรักครั้งสำคัญที่พร้อมจะขาดสะบั้น ยื้อสักเท่าใดก้ไม่สัมฤทธิ์ผล จึงลงเอยด้วยการร้องเพลงลาแล้วที่รักจ๋า แยก ย้าย ตัวเพลงนำเสนอความเจ้าบทเจ้ากลอนของกวีสาวนักรักผู้นี้ที่คอยพร่ำพรรณนาถึงเส้นเวลาของความระหองระแหงที่ผ่าน ถึงแม้เพลงจะยืดชวนง่วงไปสักนิดสวนทางกับภาพของการจั่วหัวอันสุดแสนอลังการ แต่อารมณ์เพลงนับว่าทำถึง พลันเสียดายแทนเธอว่าความรักของเรามันจบลงจริง ๆ แล้ว ใช่มั้ย
But Daddy I Love Him (3.5/5)
นี่ก็เป็นอีกเพลงที่มีหลากมิติทางด้านอารมณ์และการเปรียบเปรย เธอใช้ภาษาการเขียนสื่อสารออกมาได้อย่างสละสลวยสวยงามกับหญิงสาวผู้เชื่อมั่นในรักแท้แม้จะต้องฝ่ากำแพงในระดับครอบครัวและชุมชนรวมถึงบรรดามิตรแท้จอมปลอมที่หยิบยื่นดอกไม้แห่งความหวังดีที่ซ่อนเข็มพิษแห่งการทรยศหลังหัก แต่เธอก็โนสนโนแคร์ รักแท้ชนะทุกสิ่ง ภาพของเธอฉายให้เห็นสาวมั่นวัยแรกแย้มบนฉากหลังยุคอาณานิคม มีกลิ่นพื้นบ้านและความปรัมปราแกมความยอกย้อนออกมาได้อย่างแสบ ๆ คัน ๆ เธอเพิ่มความสมบูรณ์ให้กับเพลงด้วยความยาวกว่า 5 นาทีครึ่งซึ่งออกจะยืดย้วยไปสักนิดในตอนท้าย และเนื้อเสียงที่ไม่ค่อยกลมกลืนเป็นเนื้อเดียวไปกับเพลงนัก
Fresh Out The Slammer (4/5)
เมื่อนกน้อยที่ถูกจองจำมานานถูกปลดปล่อยจากกรงขังและได้ออกโบยบินอย่างอิสระ ก็พร้อมจะกระพือปีกกลับไปซบอกชายอันเป็นที่รัก หลังจากจำต้องชดใช้กรรมมานาน แม้เพลงนี้จะลดสเกลมาจากเหล่าแทร็กในเวิ้งก่อนหน้า แต่ในความทำน้อยนี้กลับเป็นการสื่อสารออกมาได้อย่างชัดเจนจริงใจ และทำให้อารมณ์เพลงต่อเนื่องไม่รู้สึกถึงการขาดหายของชิ้นส่วนสำคัญ เรียกได้ว่า ท่าง่ายแต่ได้ครบ
Florida!!! Ft.Florence + The Machine (4/5)
ปลุกทุกท่านตื่นขึ้นมาอีกครั้งกับเพลงที่ชวนระทึกใจกับชายหาดของรัฐฟลอริด้าอันเงียบสงบและสุดแสนจะครื้นเครง สวนทางกับพายุร้ายภายในใจศิลปินสาวที่กำลังพัดอยู่แรงรุนเกี่ยวเนื่องกับมรสุมชีวิตที่ติดตัวมาตั้งแต่การออกโชว์ที่รัฐเท็กซัส ด้วยความหมายมั่นปั้นมือว่าที่แห่งนี้แหละที่จะช่วยเยียวยาให้พิษร้ายภายในจิตใจได้ละลายหายไป เป็นเพลงที่ทำถึงอารมณ์เป็นลำดับต้น ๆ และการร่วมงานกับ Florence + The Machine ในครั้งนี้นั้นเสริมพลังให้เห็นถึงฉากฟาดฟันกันได้อย่างดีเยี่ยม ไม่มีใครจม ไม่มีใครหาย แถมยังขับส่งให้เพลงไปถึงจุดพีคอย่างประทับจิต
Guity as Sin? (3.5/5)
ท้าทายกับหัวข้อด้านศีลธรรมกาเม นี่คือการเผลอหลุดเพ้อถึง’ผู้’ที่เธอแอบใฝ่แอบฝัน ผู้ที่แว๊บมาอ้อยเพียงหนึ่งครั้งแต่ทำให้เธอแตกหน่อทางความรู้สึกต่อไปอีกไกลโขจนคนรอบกายต้องช่วยกันดึงสติกลับมา แต่รันไปได้ครึ่งเพลงคือทราบแล้วว่าแม่นี่คงหลุดวงโคจรไปแล้วจริง ๆ คงต้องมาถกกันต่อว่าการคิดถึงเพียงเพราะเผลอไผลจะถือเป็นความผิดติดตัวไหมหากไม่สำเร็จในการกระทำ แต่เธอก็จัดการสาปตัวเองให้ลื่นไปเดดสมอเร่ในพุ่มดอกเข็มแล้วช่างน่าเวทนา แม้ฟังดูแล้วท่า concept น่าจะมันส์ขนาดนี้ แต่เพลงกลับออกมาแห้งแล้งในระดับหนึ่ง ไม่ได้โดดเด่นหรือนำพาอารมณ์มากมาย รวมถึงการเรียบเรียงที่ยังขาดๆเกินๆอยู่พอครวญ
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้