เมื่อเกมส์เปลี่ยน กลยุทธ์ต้องเปลี่ยน
ตลาดหุ้น เป็นตลาดที่มีความเป็นพลวัต (Dynamic)
ดังนั้น การตัดสินใจในเชิงกลยุทธ์อะไรก็ตาม หากมีปัจจัยใหม่เข้ามาแทรก
เราก็ไม่ควรยึดถือตามแผนเดิมมากจนเกินไป
วันนี้ ในภาพตลาดโลก เกมส์ของ Fund Flow กำลังเข้าสู่ช่วงที่เข้มข้นขึ้นอีกระดับ หลัง BoJ ไม่ยอมแพ้ต่อ Deflation และประกาศกร้าว เพิ่มวงเงินอัดฉีด QQE อีกเป็น 80 Trillion Yen ต่อเดือน ซึ่งถึงเป็น Unanticipated Policy ที่ไม่มีใครคาดการณ์มาก่อนเลย
เหตุการณ์นี้ กระทบกับ Fund Flow โลกอย่างไร?
ถ้าพูดในแง่ Supply ของ Yen ในตลาดโลกนั้น ไม่มากมายอะไรหรอกครับ
แต่สาเหตุที่ค่าเงินเยนอ่อนรุนแรง และตลาดหุ้นก็ดีดขึ้นมาทำ New High ในรอบ 7 ปีนั้น ผมมองว่า นักลงทุนเห็นแล้วว่า Kuroda ประธาน BoJ ได้รับใบสั่งจาก Abe มาว่า ต้องสร้างความเชื่อมั่นให้เกิดขึ้นให้ได้ และขอต่อสู้กับ Deflation จนกว่าชีวิตจะหาไม่ (นี่ก็พูดเกินไป)
เมื่อเป็นมุมมองนี้ ตลาดจึงแปลไปทันทีว่า หากเศรษฐกิจยังทำท่าไม่ดี BoJ ก็คงพร้อมทำทุกวิถีทางเพื่ออุ้มประเทศขึ้นมาให้จงได้
สำคัญกว่านั้นคือ ผลกระทบครั้งนี้
ไม่ได้ดีต่อการลงทุนในญี่ปุ่นอย่างเดียวเท่านั้น
อีกฟากหนึ่งของโลกที่ได้รับอานิสงส์เต็มๆก็คือ "Euro Zone"
สองที่นี้ เป็นที่ที่กำลังต่อสู้กับปัญหาเงินเฟ้อชะลอตัวมาตลอด ยิงกระสุนกันไปแล้วคนละนัด อย่างญี่ปุ่น ก็อัด QQE รอบแรกผ่าน Abenomics ส่วน Euro Zone ก็ออก LTRO ผ่าน TROIKA มาเช่นกัน
คราวนี้ พอญี่ปุ่น ยิ่งกระสุนนัดต่อมาแบบนี้ มันเลยสร้างความกดดันไปที่ ECB แน่นอนว่า ประชุมกันต้นเดือน พ.ย. นี้ พี่จะทำอะไรแบบญี่ปุ่นบ้างหรือเปล่า
ซึ่ง ณ ตอนนี้ที่ผมนั่งดูหน้าจอเทรดอยู่ ตลาดก็เชื่อไปแล้วว่า ECB ประกาศอะไรตามหลังมาแน่นอน เพราะยุโรปเขียวสดใสกันทุกตลาดทีเดียว โฮะๆ
จำกันได้ไหมครับ ตอน FOMC ประกาศ QE ออกมา ทุกคนเชื่อกันมากๆว่า USD จะอ่อนค่าในระยะยาว มีอย่างที่ไหน Reserve ก็ไม่มี ดันปริ้นเงินออกมาให้ชาวโลกกู้ได้เรื่อยๆ โคตรจะไม่แฟร์เลย
แต่ดู Dollar Index ตอนนี้สิ ขึ้นไปทดสอบที่ 87 จุด แข็งค่าสุดในรอบ 4 ปี ทั้งๆที่มี QE ถึง 3 ภาค และเพิ่งจะจบไปเมื่อวันที่ 29 ที่ผ่านมา
**** สุดท้าย Fed ก็ทำให้นักลงทุนเชื่อได้ว่า QE ได้ผล และคนก็ยังถือ USD กันต่อไป ****
เสน่ห์ของตลาดหุ้นคือ ตรงนี้ละครับ ... เราไม่รู้ทุกอย่าง และมันพร้อมจะเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ใครยึดติดกับตรรกะเดิมๆ และยังเชื่อว่า USD จะอ่อน แล้วถือทองเต็มพอร์ต ... เป็นไงละครับ ล่าสุดก็หลุด $1,800 ลงมาที่ $1,165 และไม่รู้ว่า $1,100 ก็รับอยู่รึเปล่า ถ้า ECB ยิ่งช่วยอัด QE ตามหลัง BoJ
กลับมาที่ BoJ อีกที ความต่างของการพยายามกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งนี้ เมื่อเทียบกับตอนที่ โลกรู้จัดวิธีที่เรียกว่า QE ผ่าน Fed ช่วงวิกฤตซับไพรม์ ก็คือ ครั้งนั้น อัดเงินกันอย่างเดียว ไม่ได้เปลี่ยนโครงสร้างอะไรในประเทศมากมาย แต่ Abenomics นั้น มาทั้ง นโยบายการเงิน การคลัง และการปฏิรูปโครงสร้างประเทศอย่างจริงจัง ดังนั้น ผลของมัน ผมว่า น่าสนใจทีเดียว
แล้วหุ้นไทย จะเป็นอย่างไร?
ถ้าเทียบในแง่ Forward Outlook ต้องยอมรับว่า ฝั่งโน้นนโยบายเป็นชิ้นเป็นอันมากกว่า ดังนั้น Fund Flow คงไม่ไหลหลากเข้าไทยแน่ๆ แต่เป็นแบบ ไหลรินพร้อมกับ Sentiment ที่นักลงทุนต่างชาติสบายใจขึ้น มีความหวังกับโลกนี้มากขึ้น
ไว้มา Update กราฟหุ้นไทยกันอีกที
Credit: Mr.Messenger
แล้วยังงี้หนูน้อยจะรอดมั้ยนะ ต้องรอด!(จากตลาดหุ้น)
https://www.facebook.com/tongrodst
Abenomics เมื่อธนูดอกสามมันช้าเกินไป งั้นเราก็ต้องกลับไปยิงดอกแรกซ้ำอีกครั้ง
ตลาดหุ้น เป็นตลาดที่มีความเป็นพลวัต (Dynamic)
ดังนั้น การตัดสินใจในเชิงกลยุทธ์อะไรก็ตาม หากมีปัจจัยใหม่เข้ามาแทรก
เราก็ไม่ควรยึดถือตามแผนเดิมมากจนเกินไป
วันนี้ ในภาพตลาดโลก เกมส์ของ Fund Flow กำลังเข้าสู่ช่วงที่เข้มข้นขึ้นอีกระดับ หลัง BoJ ไม่ยอมแพ้ต่อ Deflation และประกาศกร้าว เพิ่มวงเงินอัดฉีด QQE อีกเป็น 80 Trillion Yen ต่อเดือน ซึ่งถึงเป็น Unanticipated Policy ที่ไม่มีใครคาดการณ์มาก่อนเลย
เหตุการณ์นี้ กระทบกับ Fund Flow โลกอย่างไร?
ถ้าพูดในแง่ Supply ของ Yen ในตลาดโลกนั้น ไม่มากมายอะไรหรอกครับ
แต่สาเหตุที่ค่าเงินเยนอ่อนรุนแรง และตลาดหุ้นก็ดีดขึ้นมาทำ New High ในรอบ 7 ปีนั้น ผมมองว่า นักลงทุนเห็นแล้วว่า Kuroda ประธาน BoJ ได้รับใบสั่งจาก Abe มาว่า ต้องสร้างความเชื่อมั่นให้เกิดขึ้นให้ได้ และขอต่อสู้กับ Deflation จนกว่าชีวิตจะหาไม่ (นี่ก็พูดเกินไป)
เมื่อเป็นมุมมองนี้ ตลาดจึงแปลไปทันทีว่า หากเศรษฐกิจยังทำท่าไม่ดี BoJ ก็คงพร้อมทำทุกวิถีทางเพื่ออุ้มประเทศขึ้นมาให้จงได้
สำคัญกว่านั้นคือ ผลกระทบครั้งนี้
ไม่ได้ดีต่อการลงทุนในญี่ปุ่นอย่างเดียวเท่านั้น
อีกฟากหนึ่งของโลกที่ได้รับอานิสงส์เต็มๆก็คือ "Euro Zone"
สองที่นี้ เป็นที่ที่กำลังต่อสู้กับปัญหาเงินเฟ้อชะลอตัวมาตลอด ยิงกระสุนกันไปแล้วคนละนัด อย่างญี่ปุ่น ก็อัด QQE รอบแรกผ่าน Abenomics ส่วน Euro Zone ก็ออก LTRO ผ่าน TROIKA มาเช่นกัน
คราวนี้ พอญี่ปุ่น ยิ่งกระสุนนัดต่อมาแบบนี้ มันเลยสร้างความกดดันไปที่ ECB แน่นอนว่า ประชุมกันต้นเดือน พ.ย. นี้ พี่จะทำอะไรแบบญี่ปุ่นบ้างหรือเปล่า
ซึ่ง ณ ตอนนี้ที่ผมนั่งดูหน้าจอเทรดอยู่ ตลาดก็เชื่อไปแล้วว่า ECB ประกาศอะไรตามหลังมาแน่นอน เพราะยุโรปเขียวสดใสกันทุกตลาดทีเดียว โฮะๆ
จำกันได้ไหมครับ ตอน FOMC ประกาศ QE ออกมา ทุกคนเชื่อกันมากๆว่า USD จะอ่อนค่าในระยะยาว มีอย่างที่ไหน Reserve ก็ไม่มี ดันปริ้นเงินออกมาให้ชาวโลกกู้ได้เรื่อยๆ โคตรจะไม่แฟร์เลย
แต่ดู Dollar Index ตอนนี้สิ ขึ้นไปทดสอบที่ 87 จุด แข็งค่าสุดในรอบ 4 ปี ทั้งๆที่มี QE ถึง 3 ภาค และเพิ่งจะจบไปเมื่อวันที่ 29 ที่ผ่านมา
**** สุดท้าย Fed ก็ทำให้นักลงทุนเชื่อได้ว่า QE ได้ผล และคนก็ยังถือ USD กันต่อไป ****
เสน่ห์ของตลาดหุ้นคือ ตรงนี้ละครับ ... เราไม่รู้ทุกอย่าง และมันพร้อมจะเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ใครยึดติดกับตรรกะเดิมๆ และยังเชื่อว่า USD จะอ่อน แล้วถือทองเต็มพอร์ต ... เป็นไงละครับ ล่าสุดก็หลุด $1,800 ลงมาที่ $1,165 และไม่รู้ว่า $1,100 ก็รับอยู่รึเปล่า ถ้า ECB ยิ่งช่วยอัด QE ตามหลัง BoJ
กลับมาที่ BoJ อีกที ความต่างของการพยายามกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งนี้ เมื่อเทียบกับตอนที่ โลกรู้จัดวิธีที่เรียกว่า QE ผ่าน Fed ช่วงวิกฤตซับไพรม์ ก็คือ ครั้งนั้น อัดเงินกันอย่างเดียว ไม่ได้เปลี่ยนโครงสร้างอะไรในประเทศมากมาย แต่ Abenomics นั้น มาทั้ง นโยบายการเงิน การคลัง และการปฏิรูปโครงสร้างประเทศอย่างจริงจัง ดังนั้น ผลของมัน ผมว่า น่าสนใจทีเดียว
แล้วหุ้นไทย จะเป็นอย่างไร?
ถ้าเทียบในแง่ Forward Outlook ต้องยอมรับว่า ฝั่งโน้นนโยบายเป็นชิ้นเป็นอันมากกว่า ดังนั้น Fund Flow คงไม่ไหลหลากเข้าไทยแน่ๆ แต่เป็นแบบ ไหลรินพร้อมกับ Sentiment ที่นักลงทุนต่างชาติสบายใจขึ้น มีความหวังกับโลกนี้มากขึ้น
ไว้มา Update กราฟหุ้นไทยกันอีกที
Credit: Mr.Messenger
แล้วยังงี้หนูน้อยจะรอดมั้ยนะ ต้องรอด!(จากตลาดหุ้น) https://www.facebook.com/tongrodst