ปัญหาระหว่างแม่กับสามี สิ่งที่เราทำเรียกว่า เนรคุณ บุพการีไหม??

รบกวนขอคำปรึกษา ค่ะ เครียดมาก

ขอเล่าท้าวความนิดนึงนะคะ  เราเป็นลูกสาวคนเดียวของแม่ แต่เป็นลูกคนเล็กของพ่อ ( พ่อโดนเมียเก่าทิ้งก่อนเจอแม่เรา)  พื้นฐานครอบครัวก็อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา อบอุ่นจนร้อนในบางครั้ง ฐานะที่บ้านก็ถือว่าปานกลาง ไม่ได้ร่ำรวย แต่ก็อยู่สบายตามสไตล์ครอบครัวคนจีน ที่มีธุรกิจกงสี ไม่มีหนี้ไม่มีสิน เด็กๆมีหน้าที่เรียนก็เรียนอย่างเดียว ไม่เคยต้องทำงานพิเศษอะไรเลย  แม่เราเป็นแม่บ้าน ดูแลเราอย่างดีมากๆ รักเรามากๆ ทำให้เราทุกอย่างทั้งซักผ้า เก็บห้อง ด้วยความที่แม่เราเป็นคนไทยแท้ๆ เลยไม่ค่อยถูกกับญาติทางพ่อ รวมถึงญาติทางพ่อก็ไม่ค่อยจะสนใจใยดีอะไรเราเท่าไหร่ แต่จะรักทางพี่ๆเรามากกว่า ซึ่งเราก็ไม่ได้เดือดร้อนหรือแคร์อะไร  เรียกได้ว่าชีวิตเรามีแค่ แม่ก็พอแล้ว ส่วนพ่อก็เป็นผู้ชายลัลล้าไปเรื่อยๆ เจ้าชู้สุดๆ แต่ก็ไปไหนไม่รอดกลับมาตายรังที่แม่ทุกที

พอเรียนมหาลัย เราก็เริ่มมีแฟน  แม่เราก็เป็นคนหัวสมัยใหม่ ไม่เคยว่าเรื่องเรามีแฟนหรือคบใคร เรียกได้ว่าเรารักใครแม่รักด้วย  แฟนคนแรกที่คบแม่เรารักเค้าเหมือนลูกเลย แต่ในที่สุดก็ไปกันไม่รอด ก็เรียกว่าผิดหวังกันทั้งแม่และลูก  พอคนถัดมาแม่เราเลยเหมือนมีกำแพงนิดๆ บางทีชอบเอาไปเปรียบเทียบกับแฟนเก่าเรา และหลายๆครั้งที่แม่พูดถึงแฟนเก่าเราต่อหน้าแฟนใหม่ ก็สร้างบาดแผลในใจกันทีละน้อยตั้งแต่ตอนนั้น

พอเราเรียนจบทำงานได้สัก 3 ปี ก็เลยตัดสินใจแต่งงานโดยเป็นการแต่งงานที่เรียกว่าโดนแม่บังคับแต่งด้วยซ้ำเพราะเรายังรู้สึกลึกๆว่าเรายังเด็กอยู่ แต่แม่เห็นว่าเราคบกันนานแล้ว และแม่อยากไปอยู่ต่างจังหวัดเลยอยากให้เรามีคนดูแล เราก็ตัดสินใจแต่งงาน แม่เราไม่ได้เรียกสินสอดอะไร แต่เรากับแฟนก็รวบรวมเงินให้แม่ไปประมาณ 1 แสน ตามประเพณี แม่บอกจะเก็บไว้ให้หลาน ตอนเราแต่งงานตอนนั้นก็เริ่มมีเค้าลางของปัญหาทีละน้อย เพราะแม่กับแฟนเรามักมีความคิดเห็นขัดกันเสมอๆ โดยเราได้ซื้อบ้านกับแฟนเพื่อเป็นเรือนหอ แต่บังเอิญเป็นช่วงที่ครอบครัวของแฟนเราเค้าจะซื้อบ้านใหม่พอดี เลยซื้อบ้านพร้อมกันหลังติดกัน ถอดรั้วกลางออก ( ว่าง่ายๆ ปัจจุบันเราอยู่รั้วเดียวกับ พ่อแม่สามี แต่แยกหลังกัน )  ซึ่งแม่เราไม่เห็นด้วยเลย แต่ก็พูดอะไรไม่ได้

จากนั้นมันก็มีปัญหาจุกจิกๆ กวนใจตลอดระหว่างแม่กับสามี เพราะพื้นฐานของคนทั้งคู่นิสัยเหมือนกัน คือ มั่นใจในตัวเอง พูดไม่คิด แต่เวลาได้ยินอะไรมักชอบเก็บไปคิดมาก และมักคิดว่าคนอื่นต้องเข้าใจตัวเอง

ปัญหาพวกนี้ก็เช่น

- ตอนซื้อบ้านแฟนเราชวนแม่มาดูบ้าน เป็นบ้านเดี่ยว 3 ห้องนอน แฟนเราก็พูดไปเรื่อยว่า ห้องนี้ห้องนอนใหญ่  ห้องนี้ห้องทำงาน ห้องนี้จะทำโฮมเทียเตอร์ ( แม่เราน้อยใจจ้า....หาว่าแฟนเราไม่คิดถึงเค้าเลย ไม่คิดจะกันห้องให้เค้าเลย )

- หน้าบ้านเราปลูกต้นโมกข์ แต่แฟนเราไม่ค่อยดูแลจนต้นผักตำลึงมันขึ้นเต็มหน้าบ้าน แต่มองๆไปมันก็สวยดี  เราเคยใช้แฟนเราถอดต้นตำลึงหลายครั้งแต่แฟนเราบอกว่า สวยดีออก เค้าจะปลูกไว้ ทีนี้วันดีคืนดีแม่เราก็ทนไม่ไหวมาดึงต้นตำลึงออก แฟนเราบ่นเสียดายมากมาย และก็เลยบอกแม่ไปว่า เค้าตั้งใจปล่อยไว้ตั้งใจปลูก คราวหลังอย่ามาดึงนะ  แม่เราก็โกรธเก็บไปน้อยใจน้ำตาท่วม

- เหตุต่อเนื่องจากข้างบน พอต้นตำลึงมันจากไปโมกข์ก็สวยสดงดงามเรื่อยๆ ทีนี้มันก็มีต้นตำลึงใหม่พยายามจะขึ้นอีกแฟนเราเลยดึงออกเพราะโมกข์กำลังสวย แม่เราก็เลยบอกไปว่าจะปลูกไม่ใช่เหรอ ดึงออกทำไม ( แฟนเราก็เคืองไป )

- แม่เราไม่ชอบเสื้อแดง ไม่ชอบยิ่งลักษณ์มากๆ วันนึงดูทีวีด้วยกันตอนวันเลือกตั้งที่ยิ่งลักษณ์ชนะ  แม่เราบ่นมากมาย และลงท้ายว่า เกลียดมัน คนอย่างแม่เกลียดใครแล้วเกลียดเลย ( แฟนเราเข้าใจว่าแม่เราว่ากระทบเค้าจ้า....)

- ปัจจุบันเรามีลูกกำลังซน 1 คน อายุ 3 ขวบ ซึ่งวันนึงลูกเราไปได้ยินใครที่ไหนมาไม่รู้ กลับมาพูดที่บ้านด่าพ่อ แฟนเราไม่ชอบเลยดุเค้าไป และต่อว่าเค้าว่า " ไปเอามาจากไหน คำพูดพวกนี้ นิสัยแย่จริงๆ ใครสั่งใครสอนมา "  ( เราเชื่อว่าแฟนเราพูดไม่คิด แต่พูดด้วยอารมณ์โมโห  แต่แม่เราคิดจ้า...เพราะแม่เราเป็นคนที่เลี้ยงหลานหลักๆ โกรธสุดๆกันไป )

ฯลฯ  ยังมีจุกจิกอีกมากมาย

ซึ่งจากที่บอกว่าเราเห็นเค้าลางว่าเค้า 2 คนเข้ากันไม่ได้ก็ตอนจะแต่งงานแล้ว ซึ่งแม่เราตอนนั้นก็รู้ตัวอย่างคงอยู่กับลูกเขยไม่ได้ แม่เราเลยย้ายไปอยู่ต่างจังหวัดตามที่ฝันไว้ ก็นานๆ เจอกันทีมันก็โอเคดี  จนวันนึงที่เรามีลูก ( จริงๆเราไม่อยากมีเลย เพราะรู้ว่ามันจะต้องเกิดปัญหาแน่ๆ แต่แม่เราอยากได้หลาน )
ตอนท้องเราก็คิดแล้วว่าจะเอาไงดี ใครจะเลี้ยงลูกเพราะทั้งเราทั้งแฟนทำงานทั้งคู่ ตอนนั้นก็เลยตัดสินใจซื้อบ้านเพิ่มอีก 1 หลัง ห่างจากบ้านที่เราอยู่แค่ไม่กี่โล ขี่มอไซค์หากันยังได้ โดยตอนนั้นแม่เราก็อยากได้บ้านหลังนี้มาก เพราะทำเลบ้านเป็นทาวน์เฮ้าส์หน้าสวน แม่เราอยากค้าขาย ทุกอย่างก็เป็นเอกฉันท์ว่าจะให้แม่ย้ายมาอยู่บ้านหลังใหม่นี้ แล้วก็เลี้ยงลูกให้เราตอนกลางวันที่เราไปทำงาน  และแม่อยากค้าขายอะไรก็ทำไป แต่เราก็ให้เงินแม่กับพ่อไว้ใช้เดือนละ 10,000 บาท

พอแม่ย้ายมาอยู่ทีนี่เราก็เจอกันบ่อยขึ้น แม่ก็มาบ้านเราบ่อยขึ้น มารับ-ส่ง หลานบ้าง มาทีไรก็อดหยิบจับทำนู้นนี่นั่นในบ้านให้เสมอๆ ซึ่งเราไม่เคยร้องขอ บางครั้งเวลาเจอกับแฟนเราบางทีก็ดี แต่บางทีก็งอนกันจุกๆจิกๆ กลับไปประจำ ผลัดกันโกรธ ผลัดกันงอน ประโยคนั้น ประโยคนี้ เล่นเอาเราปวดหัวทุกที แต่อย่างน้อยพอแยกย้ายบ้านใครบ้านมัน มันก็จบ

เรื่องลูกเราแม่เรามักชอบคิดว่า เรากับสามีไม่มีปัญญาดูแลลูก ซึ่งมันก็จริงส่วนนึง เพราะทุกวันนี้แม่เรารับหน้าที่รับส่งลูกไปโรงเรียนให้เรา ทั้งๆที่แฟนเราอยากไปส่งลูกมาก แต่แม่เราไม่ยอมกลัวหลานไม่ได้กินข้าวเช้าทั้งๆที่แฟนเรายืนยันหลายครั้งว่าเค้าก็ดูแลลูกได้ แต่เหมือนแม่เราไม่เคยไว้ใจ แล้วพอถึงเวลาแม่เราก็มักพูดกับหลานว่า "เนี่ยถ้าไม่มียาย แย่แน่ๆเลย ใครจะดูแลหนูได้ดีเท่ายาย"  ซึ่งแฟนเราก็ไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่ แต่ก็ปล่อยไป บางครั้งก็จะมากระซิบกับเราว่าดูแลลูกกันเองก็ได้นะ แต่เรารู้ว่าแม่เราเหงาและหลานเป็นเหมือนกำลังใจหนึ่งเดียวของแม่ เราเลยปล่อยให้แม่ดูแลลูกไป แม้แนวทางการสอนหลายๆอย่างจะค้านกับเราก็ปล่อยๆมันไปบ้าง

ปัญหามันอยู่ตรงนี้

เนื่องจากบ้านที่แม่อยู่ปัจจุบันนี้ พออยู่เข้าจริงๆ มันเป็นหมู่บ้านที่เงียบมาก ค้าขายอะไรแทบไม่ได้ และแม่เราเค้าก็เริ่มอยากกลับมาอยู่กับเรา เพราะเห็นว่าเราทำงานไม่มีเวลาดูแลบ้าน และอยากมาอยู่ดูแลหลานให้ด้วย อยากให้เราขายบ้านใหม่ที่เพิ่งซื้อได้ 3 ปี และแม่จะย้ายมาอยู่กับเราจันทร์-ศุกร์  ส่วนเสาร์อาทิตย์ แม่จะกลับไปบ้านเดิมที่อยู่ในเมือง ( ทำเลบ้านตอนนี้รถไฟฟ้าสายสีม่วงกำลังจะเสร็จ)

ซึ่งสิ่งที่แม่คิดสามีเราไม่โอเคมากๆ เพราะเค้าบอกว่าอยู่ด้วยกันทะเลาะกันแน่นอน ( ซึ่งจริง ) แล้วบ้านมันจะเป็นบ้านได้ยังไง เค้าอึดอัด เค้าไม่ต้องการให้ใครมาดูแลบ้านให้ ถ้ามันเลอะเนอะเค้าจ้างคนทำก็ได้  

นี่คือตัวอย่างปฏิเสธจากสามีเรา

"ถ้าแม่เธอมาอยู่ฉันคงไม่อยากกลับบ้าน  ก็รู้นิสัยกันดีอยู่จะให้ปรับยังไงก็คงไม่ได้หรอก ถึงเวลานิสัยเดิมก็ต้องออกมา โตๆกันแล้ว มันเปลี่ยนกันไม่ได้แล้ว ทั้งแม่เธอทั้งฉัน"

"บ้านเพิ่งผ่อนได้ 3 ปี จะขายได้ไง รถไฟฟ้าก็กำลังจะขึ้น รออีกนิดขายได้ราคากว่านี้เยอะ ตอนอยากได้ก็ร่ำจะเอา พอไม่อยากอยู่ก็มาบังคับให้ขาย"

"แม่เธอไม่ได้อยู่ไกลกัน เจอหน้ากันเกือบทุกวัน เธอจะไปนอนบ้านแม่บ้างก็ได้ ไม่เห็นมีความจำเป็นอะไรต้องย้ายมาอยู่ด้วยกัน"

เราเข้าใจทุกอย่างที่แฟนเราพูดนะ และลึกๆเราก็เห็นด้วย เพราะตลอดระยะเวลา 7 ปีกว่าๆ ที่แต่งงานกัน เราทั้งคู่ไม่เคยทะเลาะกันเลยนอกจากเรื่องแม่เรา

แต่พอเราปฏิเสธไม่ให้แม่อยู่ด้วย แม่เราว่าเรา "เนรคุณ"  และนี่คือประโยคจากแม่

"แม่มีลูกคนเดียวทำไมแม่จะอยู่กับลูกไม่ได้"

"เลี้ยงมากว่าจะโต ผลสุดท้ายเห็นผัวดีกว่าแม่"

"แม่ไม่ได้อยากได้เงิน ต่อไปไม่ต้องให้เงินแม่ ตัดกันไปเลย ถ้าไม่ให้แม่อยู่ด้วยก็อย่ามาเรียกแม่"


และต่างๆอีกมากมาย เรียกว่า ดราม่าสุดๆ พอเราคุยกับแฟนเรา แฟนเราก็บอกว่า ถ้าไม่มีลูกเราคงตัดสินใจอะไรๆง่ายกว่านี้ใช่ไหม แต่นี่เรามีลูกนะ และเธอจะให้แม่เธอมาสร้างปัญหาให้ครอบครัวเราได้ไง

สรุปตอนนี้เราก็ปฏิเสธไม่ให้แม่มาอยู่ด้วย แต่เราไปหาแม่ทุกวัน ซึ่งแม่เราก็ไม่ยอมพูดกับเราเลย และแม่ก็ไม่ยอมมารับหลานที่บ้านอีก ไม่ยอมมาบ้านเราอีก ส่วนแฟนเราตอนนี้ก็ไม่ยอมไปหาแม่ เพราะแม่เราเคยพูดกับแฟนเราตรงๆว่าจะมาอยู่ด้วย ซึ่งตอนนั้นแฟนเราเงียบไม่ตอบอะไร แล้วให้เราเป็นคนตอบทีหลัง ตอนนี้แฟนเราเลยบอกว่าขอห่างๆสักพักน่าจะดีขึ้น  

ตอนนี้เราเครียดมากกับสถานภาพคนกลาง  ช่วยตอบเราหน่อยว่าสิ่งที่เราทำนี่เรียกว่า เนรคุณ จริงๆเหรอ และเราควรทำอย่างไรต่อไปดี
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 22
ผมมีปัญหาแบบเดียวกัน  เมื่อความคิดขัดแย้งกัน ต้องแยกกันอยู่ ดีที่สุด  หาโอกาสแวะเวียนไปเยี่ยมบ่อยๆน่าจะดีกว่า

พ่อแม่สมัยใหม่มักยอมรับได้ว่าลูกต้องมีชีวิตเป็นของตัวเองหลังออกเรือนไปแล้ว
พ่อแม่ไม่ควรเข้าไปวุ่นวายหรือแทรกแซงในชีวิตของเขาทั้งสองคน
แต่พ่อแม่จะคอยเป็นผู้สนับสนุนช่วยเหลือ เป็นร่มโพธิ์ร่มไทรทางจิตใจให้กับลูกๆ
แต่พ่อแม่บางคนไม่มีแนวคิดเช่นนี้

พ่อแม่บางคนจะใช้จุดอ่อน เรื่องความกตัญญูมาบีบบังคับลูก โดยทำให้ลูกรู้สึกผิดว่าไม่กตัญญู ถ้าลูกไม่ยอมทำตามที่พ่อแม่ต้องการทุกเรื่อง

คนที่เป็นลูกคือสามีภรรยาต้องตั้งสติให้ดีในเรื่องนี้ จึงจะสามารถปกป้องชีวิตคู่ให้มีความสุขได้

อ้างอิงจาก โดย ศ.พญ.นงพงา ลิ้มสุวรรณ คณะแพทย์ศาสตร์ ภาควิชาจิตเวชศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี

แม่ผม เคยกล่าวไว้ตอนแต่งงานว่า  "เมื่อใดก็ตามที่ครอบครัวอีกฝ่ายเข้ามาวุ่นวาย เมื่อนั้นครอบครัวพัง!!!"   และแม่ผมไม่เคยเข้ามาวุ่นวายกับครอบครัวของผมเลย
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่