10 มหาเศรษฐี “รวยที่สุด” ในประเทศไทย ทำธุรกิจอะไร


TerraBKK Research นำเสนอ Top10 มหาเศรษฐีในประเทศไทย” จากการจัดอันดับของ “Forbes Thailand” ใครแต่ละคนทำธุรกิจอะไรกัน ติดตามได้ดังต่อไปนี้…


อันดับที่ 1 “ครอบครัว จิราธิวัฒน์” มีมูลค่าทรัพย์สิน 413,956.50 ล้านบาท
          หากพูดถึงตระกูลนี้ก็จะนึกถึง “เซ็นทรัลกรุ๊ป” มีศูนย์การค้าที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในประเทศไทยและเก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศไทยมาจนถึงปัจจุบัน ผ่านช่วงมรสุม ผ่านร้อน ผ่านหนาว จนในที่สุดชื่อ “เซ็นทรัล” ขึ้นมาเป็นอันดับหนึ่งของใครหลายๆคนและประสบความสำเร็จอย่างที่เห็นกันทุกวันนี้  โดย “เซ็นทรัลกรุ๊ป” เป็นเจ้าของแบรนด์ศูนย์การค้าดังๆในประเทศไทยหลายแบรนด์ได้แก่ Robinson, Zen และ Central เป็นต้น และยังทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ประเภท Office Building, Hotel (Centara Hotel) อีกด้วย



อันดับที่ 2 “นายธนินท์ เจียรวนนท์” มีมูลค่าทรัพย์สิน 374,842.50 ล้านบาท
          “นายธนินท์ เจียรวนนท์” ประธานกรรมการและประธานคณะผู้บริหาร “เครือเจริญโภคภัณฑ์ : CPF” เครือเจริญโภคภัณฑ์ก้าวสู่การเป็นบริษัทอาหารชั้นนำระดับโลกที่มีบทบาทสำคัญในการสร้างรายได้ให้กับภาคชนบท และก้าวสู่การเป็นผู้ผลิตอาหารสัตว์รายใหญ่ของโลก เป็นผู้ผลิตกุ้งรายใหญ่ที่สุดในโลก และยังเป็นหนึ่งในผู้ผลิตสัตว์ปีกใหญ่ที่สุดในโลก เป็นบริษัทที่ทำการเกษตรแบบทันสมัยและครบวงจร และยังทำธุรกิจค้าปลีกอย่าง 7-11 ภายใต้การบริหารงานของ CP ALL  ซึ่งทั้งหมดนี้ทำให้เขาเป็นบุคคลที่รวยที่สุดในประเทศไทยคนหนึ่ง



อันดับที่ 3 “นายเจริญ สิริวัฒนภักดี” มีมูลค่าทรัพย์สิน 368,323 ล้านบาท
          เจริญ สิริวัฒนภักดี ดำรงตำแหน่งเป็นประธานกรรมการบริษัทไทยเบฟเวอเรจ (ThaiBev) ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไทยเบฟเวอร์เรจ จำกัด (มหาชน), ประธานกลุ่มบริษัท สุรามหาราษฎร จำกัด, ประธานกรรมการบริหาร บริษัททีซีซี กรุ๊ป (มีเครือข่ายลงทุนในต่างประเทศมากมาย) และประธานบริษัท มิลเลียไลฟ์ อินชัวรัส์ จำกัด มหาชน นายเจริญ สิริวัฒนภักดีเป็นนักธุรกิจชาวไทยเชื้อสายจีน ประกอบธุรกิจ หลากหลาย ทั้ง อุตสาหกรรมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่สุดที่สุดรายหนึ่งของประเทศไทย  เจ้าของบริษัทเบียร์ช้างและบริษัทในเครือ และเจ้าของกิจการ โรงแรม พลาซ่า แอททินี่ ในกรุงเทพมหานคร และในนครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา



อันดับที่ 4 “เฉลียว อยู่วิทยา และครอบครัว ” มีมูลค่าทรัพย์สิน 322,690 ล้านบาท
          “เฉลียว อยู่วิทยา (บิดา)” ในอดีตมีอาชีพเลี้ยงเป็ด และค้าขายผลไม้ จากนั้นเข้ามาในกรุงเทพฯ ทำงานร้านขายยา เป็นเซลส์แมนขายยา “ออริโอมัยซิน” จากนั้นได้ลาออกมาเป็นตัวแทนนำเข้ายามาจำหน่ายเอง และต่อมาตั้งโรงงานผสมยาอยู่หลังโรงแรมรัตนโกสินทร์ ราชดำเนิน จากนั้นตั้งบริษัท ทีซีมัยซิน ในช่วงแรก ผลิตแป้ง”แทตทู” ยาเด็ก “เบบี้ดอล” ก่อนจะมาถึงเครื่องดื่ม “กระทิงแดง” ด้วยการทำตลาดแบบถึงลูกถึงคน ทำให้กระทิงแดงตีตลาดเครื่องดื่มชูกำลัง ขึ้นมาอยู่ในอันดับต้นๆ ของตลาดและเป็นผู้บริหาร บริษัท เครื่องดื่มกระทิงแดง จำกัด ได้ผลิตเครื่องดื่ม อาทิ เครื่องดื่มกระทิงแดง (โด่งดังไปทั่วโลก) ลูกทุ่ง สปอนเซอร์ กาแฟกระทิงแดง เรดบูลเอ็กตร้า เพียวลิคุ เป็นต้น



อันดับที่ 5 “นายกฤตย์ รัตนรักษ์” มีมูลค่าทรัพย์สิน 166,234 ล้านบาท
          “กฤตย์ รัตนรักษ์” เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในสถานีโทรทัศน์สีช่อง 7 ธนาคารกรุงศรีอยุธยา และบริษัท ปูนซีเมนต์นครหลวง จำกัด(มหาชน) หรือ ปูนอินทรี ตระกูลรัตนรักษ์ ถือเป็นตระกูลรุ่นบุกเบิกตระกูลหนึ่งของสังคมธุรกิจไทย สามารถสร้างฐานธุรกิจอย่างมั่นคงในช่วงสงครามเวียดนาม มีเครือข่ายธุรกิจสำคัญ โดยเฉพาะปูนซีเมนต์นครหลวง และเจ้าของสัมปทานเครือข่ายฟรีทีวีรายใหญ่ที่สุด (ช่อง7) นอกจาก 3 ธุรกิจที่เป็นเสาหลักแล้ว ตระกูลรัตนรักษ์ ภายใต้การนำของ “คุณกฤตย์” ยังลงทุนในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ทั้งในตลาดหลักทรัพย์และนอกตลาด โดยใช้การเข้าไปลงทุนแบบถือหุ้นร่วมกับพันธมิตรที่มีความเชี่ยวชาญด้านอสังหาริมทรัพย์ ตระกูลรัตรักษ์ ยังคงเป็นหนึ่งในเจ้าของที่ดินจำนวนมากในประเทศไทยไม่แพ้ คุณเจริญและคุณธนินท์ เลยทีเดียว



อันดับที่ 6 “นายวาณิช ไชยวรรณ” มีมูลค่าทรัพย์สิน 127,120 ล้านบาท
          ถ้าเอ่ยถึง “ไทยประกันชีวิต” ต้องนึกถึงคนๆนี้ ถือได้ว่าเป็นบุคคลเก่าแก่ในวงการประกันของไทยผ่านเส้นทางอันยาวนานกว่า 70 ปี ธุรกิจประกันยังเป็นธุรกิจที่มีมูลค่ามากที่สุดของกลุ่ม ปัจจุบัน คุณวาณิช ยังคงเดินหน้าขยายธุรกิจที่เข้าไปถือหุ้นอีก 6 สาย ประกอบไปด้วยสายประกันภัย สายการเงิน สายอุตสหกรรมและเครื่องดื่ม สายประกันภัย และสุดท้ายสายอสังหาริมทรัพย์ “วาณิช ไชยวรรณ” เป็นผู้สร้างบริษัทประกันชีวิตของคนไทยดังสโลแกน “ไทยประกันชีวิตดูแลชีวิตคนไทย”



อันดับที่ 7 “นายสันติ ภิรมย์ภักดี และครอบครัว” มีมูลค่าทรัพย์สิน 91,226 ล้านบาท
          ตระกูลเบียร์ที่ได้ความนิยมที่สุดอย่างภายใต้แบรนด์ เบียร์สิงห์ เบียร์ลีโอ บริษัท บุญรอด บริวเวอรี จำกัด “นายสันติ ภิรมย์ภักดี” เข้าสู่ธุรกิจ ในช่วงที่บุญรอด บริว เวอรี่ ซึ่งเป็นธุรกิจของตระกูลกำลังขยายตัวออกไปในแนวตั้ง เพื่อให้ธุรกิจมีความครบวงจร โดยการขยายโรงงานแห่งที่ 2 ที่ปทุมธานี มีการจัดตั้งบริษัทบางกอกกลาส ซึ่งเป็นโรงงาน ผลิตขวดเบียร์ โรงงานพลาสติกไทย ผู้ผลิตลัง พลาสติก บรรจุขวดเบียร์ และบริษัทเชียงใหม่ มอลท์ติ้ง ผลิตข้าวมอลท์ ซึ่งเป็นวัตถุดิบสำคัญ ในการผลิตเบียร์ ปัจจุบันธุรกิจเบียร์เป็นธุรกิจที่แข่งขันกันอย่างรุนแรง โดยคู่แข่งสำคัญที่สุดคือเบียร์ช้าง ของเจริญ สิริวัฒนภักดี ซึ่งมีฐานเงินทุนที่แน่น หนา และพยายามใช้กลยุทธ์ทางการตลาดทุก วิถีทาง เพื่อที่จะเบียดเข้ามาแย่งส่วนแบ่งตลาด ไปจากบุญรอดบริวเวอรี่



อันดับที่ 8 “นพ.ปราเสริฐ ปราสาททองโอสถ” มีมูลค่าทรัพย์สิน 74,968 ล้านบาท
          “นพ.ปราเสริฐ ปราสาททองโอสถ” กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บมจ.กรุงเทพดุสิตเวชการ เจ้าของเครือโรงพยาบาลกรุงเทพ เป็นผู้วางยุทธศาสตร์ในการต่อยอดโรงพยาบาลด้วยการเห็นความคุมค่าในระยะยาวและสร้างความยิ่งใหญ่ในธุรกิจโรงพยาบาล จนกระทั่งปัจจุบันสามารถขยายเครือข่าย “โรงพยาบาลกรุงเทพ” ผลิตและจำหน่ายวัสดุภัณฑ์ทางการแพทย์ โดยมียอดการส่งออกไปต่างประเทศอีกด้วย และได้เข้าซื้อกิจการกับอีกหลายโรงพยาบาลเช่น โรงพยาบาลพญาไท เปาโล และอีกหลายโครงการ คุณหมอปราเสริฐ มีความตั้งใจอย่างสูงในการขยายเครือข่ายโรงพยาบาล ด้วยการเข้าซื้อกิจการโรงพยาบาลทั้งในกรุงเทพฯ และหัวเมืองใหญ่ทั้งในและนอกประเทศเพื่อก้าวเป็นเบอร์ 1 ใน 3 ของโลกในอนาคต ปัจจุบันมีเครือข่ายกว่า 30 แห่ง



อันดับที่ 9 “นายวิชัย มาลีนนท์ และครอบครัว” มีมูลค่าทรัพย์สิน 55,410 ล้านบาท
           “วิชัย มาลีนนท์” ผู้ก่อตั้ง “ช่อง3” จากอดีตเด็กรับรถสองแถวก้าวสู่การเป็นหัวหน้าคุมวิน และก่อร่างสร้างตัวเป็นเจ้าของธุรกิจสารพัดอย่าง ไม่ว่าจะเจ้าของกิจการปั๊มน้ำมัน เจ้าของสัมปทานสลากกินแบ่ง เจ้าของบริษัทก่อสร้างและธุรกิจที่ดิน จนกลายเป็นตระกูลมหาเศรษฐี เจ้าของสถานีโทรทัศน์ ที่ถือครอง ”หุ้นในตลาดหลักทรัพย์” มากเป็นอันดับหนึ่งของประเทศไทย เป็นเรื่องของฝีมือบวกความมานะอดทนล้วนๆ



อันดับที่ 10 “พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร” มีมูลค่าทรัพย์สิน 53,781 ล้านบาท
           “พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรีไทยคนที่ 23 ของประเทศ ไม่เพียงแค่ชีวิตที่เกี่ยวข้องกับการเมืองเท่านั้น แต่ยังเป็นนักธุรกิจใหญ่ มีเครือข่ายธุรกิจหลายแสนล้านบาทเข้าสู่วงการธุรกิจอย่างเต็มตัววิธีคิดแบบนักธุรกิจ แบบกล้าได้กล้าเสีย กล้าตัดสินใจทันที พร้อมที่จะเผชิญการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ทั้งเคยเป็นนักธุรกิจโทรคมนาคมและการสื่อสาร ผู้ก่อตั้งกลุ่มบริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) บริษัทโทรคมนาคมและการสื่อสารขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ พลังงาน อดีตเคยเป็นข้าราชการตำรวจ อดีตเจ้าของและประธานสโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ซิตี อดีตที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีแห่งประเทศกัมพูชา สมเด็จอัครมหาเสนาบดีเดโช ฮุน เซน และอดีตที่ปรึกษาทางเศรษฐกิจของรัฐบาลกัมพูชา

ธุรกิจส่วนใหญ่ของมหาเศรษฐีเหล่านี้ ส่วนใหญ่แล้วจะเป็น “สินค้าจำเป็น” เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันที่ทุกคนต้องกินต้องใช้ ได้แก่ โรงพยาบาล เทคโนโลยีการสื่อสาร บันเทิง อาหารและเครื่องดื่ม ประกัน และอสังหาริมทรัพย์


จาก Forbes Thailand ประจำปี 2014

ที่มา : TerraBKK
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่