สมัครสอบวันที่22 ก.ย. สอบวันที่18ต.ค.
และคะแนนพึ่งออกเช้านี้ครับ จริงๆอยากมาแนะนำหนังสือที่ใช้ แต่รอผลก่อนเพื่อยืนยันสิ่งที่คิดครับ
ต้องขอเกริ่นก่อนว่าเป็นคนพื้นฐานภาษาน้อยมากเพราะไม่เคยตั้งใจเรียนแต่เด็ก ไม่เคยท่องศัพท์
จุดเริ่มต้นของการพัฒนาภาษาคือการต้องอ่าน Text Book ตอนป.ตรีครับ จำได้ว่าก่อนหน้าที่จะอ่านเท็คเคยซื้อนิยายภาษาอังกฤษมาลองครับ ผลคือต้องเปิดดิกทุกประโยค อ่านได้ไม่ถึงบทเลิกครับ มาหัดอ่านจริงๆเพราะการเรียนบังคับไม่อ่านก็สอบไม่ผ่าน พยายามอ่านมาเรื่อยๆ จนถึงจุดที่ไม่ต้องแปลทุกคำ อ่านโดยรวมจัยใจความได้พอ นอกจากศัพท์ที่สำคัญจริงๆ กว่าจะได้ขนาดนั้นก็เรียนจบป.ตรี ปี2พอดีครับ 1ปีกว่าๆ เท็ค4 5 วิชา
การฟังเริ่มฟังเพลงสากลและดูเนื้อตามตั้งแต่มัธยมครับ
สองอย่างนี้เลยทำให้เป็นคนอ่านกับฟังได้ แต่ไม่กล้าพูดไม่กล้าเขียน เพราะแกรมม่าแย่มาก
หลังจากสอบTOEIC ตอนจบป.ตรีปี3 เลยตัดสินใจ หาที่เรียนภาษาครับ เลือกที่ที่ได้ทั้งแกรมม่า มีคลาสคอนเวอ และคลาสเขียน กับทำข้อสอบ toeic toefl ielts รวมๆกันครับ
ผลที่ได้คือการเขียนและพูดดีขึ้นมากหลังจากมีพื้นฐานแกรมม่ามากขึ้น พร้อมกับมีโอกาสได้ฝึกในเวลาเรียน
แล้วก็มาถึงตอนที่ต้องเตรียมสอบTOEFLครับ หนังสือที่ผมซื้อมา มี6 เล่ม ขอรีวิวทีละเล่ม แล้วตอนท้าย จะสรุปนะครับ
1.Official Guide to the TOEFL Test With CD-ROM, 4th Edition (Official Guide to the Toefl Ibt)
สิ่งที่ได้จากเล่มนี้ คือแนวข้อสอบคร่าวๆ +ชนิดของคำถามในแต่ละพาร์ท คือได้ทำความรู้จักกับข้อสอบครับ แต่แทบจะไม่มีเทคนิคหรือแบบฝึกหัดที่ใช้เพิ่มทักษะเลย จะเป็นแนะนำว่าข้อสอบมีอะไรบ้างแล้วมีแบบฝึกหัดท้ายบททีเดียว
จะมีแผ่นโปรแกรมให้ทำpractice testอยู่ สำหรับผมค่อนข้างคล้าย แต่ว่าพาร์ท listening จะง่ายไปหน่อยครับ เพราะสามารถจดทันทุกอย่าง แต่ตอนสอบที่เจอคือ คำถามคล้ายกัน แต่จะพูดเร็วกว่า จดได้แต่คีเวิดหลักๆ
สรุป ถ้าพื้นฐานดีอยู่แล้วต้องการเตรียมตัวให้คุ้นข้อสอบเฉยๆ เล่มนี้โอเคครับ
2.Official TOEFL iBT® Tests with Audio, Volume 1
เล่มนี้จะมีข้อสอบ5ชุด เปฺนข้อสอบที่ผมคิดว่าคล้ายที่สุดในทุกพาร์ท แต่ข้อเสียคือทำกับหนังสือ ซีงเวลาสอบจริงนั้นเราทำกับคอมพ์ครับ และเฉลยก็ไม่มีคำอธิบาย
3.McGraw-Hill Education TOEFL iBT with 3 Practice Tests and DVD-ROM
เล่มนี้เป็นหนังสือค่อนข้างใหม่ครับ แนวจะคล้ายเล่มที่1. คือแนะนำแนวข้อสอบ แต่เล่มนี้จะมีเทคนิคมากขึ้นมีแบบฝึกหัดเยอะขึ้น มีตัวอย่างคำตอบพาร์ทพูดให้ฟัง เล่ม1.ของETS มีเป็นสคริปให้อ่านแต่ไม่มีเสียงให้ลองฟังครับ ว่าแบบไหนคะแนนระดับไหน แต่ผมอ่านจบแล้วก็ยังรู้สึกไม่ค่อยมีความมั่นใจเพิ่มเติม
ข้อสอบโปรแกรมคล้ายของเล่ม1. ในส่วนของหน้าตาโปรแกรม แต่ผมรู้สึกว่าไม่ค่อยเหมือนครับโดยเฉพาะพาร์ทฟัง อธิบายไม่ถูก
--------ขั้นครับ หลังจากอ่านเล่ม1 กับ3จบ รู้สึกไม่มั่นใจเลยครับ ไม่รู้จะพูดยังไง ทำยังไง
เพื่อนแนะนำเวปnotefullมาครับ เวปนี้เทพมาก พาร์ทพูดมีแพทเทินตั้งแต่ 1-6 ผมฝึกตามแพทเทินเวปนี้ครับ แต่เปลี่ยนคำพูดให้ถนัด คือเอาแนวมาแต่เอาประโยคมาปรับปรุง เอาที่พูดได้ถนัดที่สุดครับ หลังจากนั้นมีแนวทางการฝึกพาร์ทพูดขึ้นเยอะครับ
------
4.Cambridge Preparation for the TOEFL® Test
เล่มนี้ที่ดูผ่านๆเทคนิคเยอะมากครับ แต่ว่า ไม่มีเวลาเลยใช้ทำข้อสอบอย่างเดียว จะมีข้อสอบให้7ชุดครับ ทำในคอมพ์ ทำไป4ชุด รู้สึกว่าโอเค แต่ฟังจะยากกว่านิดหน่อย ยากกว่า ของETS ทั้ง2เล่ม แต่ใช้ฝึกได้ดีครับ เราทำอันยากพอไปเจอช้ากว่าจะได้จดทัน
รวมถึงคำถามพาร์ทพูดสำหรับผมคือแปลกครับ มีชุดนึงถามประมาณ ให้พูดถึง บุคคลสำคัญของประเทศเราแล้วมีผลกับสังคมในปัจจุบันยังไง ซึ่งมันต่างกับที่เจอตอนสอบจริงลิบลับครับ ตอนสอบเจอถามว่าชอบแต่งตัวยังไงเวลาไปข้างนอก
สรุป เนื้อหาเล่มนี้เยอะพอควรครับ ข้อสอบ7ชุดให้ฝึกเหลือเฟือ คล้าย แต่ว่าไม่เหมือนเท่าเล่ม1.กับ2.
5.Oxford preparation course for TOEFL
เล่มนี้คือเล่มเทพครับ เทคนิคเยอะมากแบบฝึกหัดเยอะมาก แต่พึ่งออกใหม่ยังไม่ค่อยมีใครรีวิว
การเรียงเนื้อหาของเล่มนี้จะต่างจากเล่มอื่นที่แยกเปนแต่ละพาร์ท 4พาร์ท
เล่มนี้จะแบ่งเป็น8บทครับ แต่ละบทจะมีธีมคำศัพท์ เช่นfamily food มีลิสคำศัพท์ให้หลังพาร์ทreading แล้วเราก็จะไปเจอตอนอ่านพาร์ทอื่นๆในบทนั้นต่อ ทำให้ช่วยจำได้ง่ายขึ้นครับเพราะท่องแล้วได้เจอได้ใช้
บทนึงจะไล่เนื้อหาไปตั้งแต่ อ่าน ฟัง พูด เขียน
บทนึงจะโฟกัสไปที่แนวคำถามเดียว แล้วมีแบบฝึกหัดที่เน้นแนวนั้นให้แน่นเลยครับ เช่นบทแรกที่
พาร์ทอ่าน คำถามแนวคำศัพท์ ก็จะมีคำถามแนวนั้นให้ฝึก เทคนิคเต็มที่ครับ
พาร์ทพูด สอนข้อ1 ก็จะเป็นแบบฝึกหัดข้อ1ทั้งหมดครับ
หลังจากอ่านจบ 6บท บท 7 8จะเป็น practice testครับ ทำในเล่มก็ได้ หรือเข้าไปทำในเวปของเขา โดยใช้รหัสที่อยุ่ในเล่มสมัคร
สำหรับผมเล่มนี้เทคนิคดีมากครับ อ่านเล่มนี้รู้สึกว่าทำข้อสอบคล่องขึ้นเยอะมาก
เพราะรู้ว่าแต่ละชนิดของคำถามเป็นยังไง และจะโดนหลอกยังไงได้บ้าง
เนื่องจากแต่ละบทก็มีคำถามแนวนั้นหลายๆข้อ บางข้อถูก แต่บางข้อก็โดนหลอก เราก็จะจำได้ครับ ว่าแนวไหนที่เราถนัด แนวไหนที่โดนหลอกบ่อย
แต่ข้อเสียคือ เพราะว่าเราต้องอ่านไปทั้งเล่มถึงจะรู้แนวข้อสอบทั้งหมด. เวลาอ่านอาจจรู้สึกว่าอ่านช้า เพราะกว่าจะรู้แนวครบก็เป็นอาทิตย์ ไม่เหมือนเล่มอื่นที่ แยกแต่ละพาร์ท อ่านพาร์ทนั้นจบ2วันก็รู้แนวทั้งหมดของพาร์ทเลย
ข้อสอบสองชุดที่ทำไปก็โอเคครับ ใช้ฝึกได้ มีแถมในเวปอีก1ชุดรวมเป็น3
สุดท้าย6. 400 Must-Have Words for the TOEFL®
เล่มนี้อ่านไม่จบครับ ไม่มีเวลา แต่ถ้าใครมีเวลาแนะนำให้อ่านครับ ผมอ่านไปไม่ถึงครึ่ง ช่วยได้เยอะครับ อ่านง่ายขึ้น
-----------
สุดท้ายแนวทางการเตรียมตัว ที่แนะนำสำหรับคนวางแผนอ่านเองครับ
ถ้าไม่เคยเตรียมอะไรเลย แนะนำอ่านเล่มใดเล่มนึงเพื่อให้รู้แนวข้อสอบ ทำความคุ้นเคยกับประเภทคำถาม
เล่ม 1.และ3. จะช่วยให้รู้ภาพรวมของข้อสอบ
เล่ม1.ดีกว่าที่ เป็นของets.แต่ข้อสอบที่มีให้ทำพาร์ทฟังจะง่ายไปหน่อย
เล่ม3. ดีที่มีตัวอย่างคำตอบพาร์ทพูดให้ฟัง ว่าพูดแบบไหนได้เท่าไร และมีเทคนิคมากกว่าเล่ม1.
ถ้าอ่านจบตอนนี้จะรู้แล้วว่าข้อสอบเป็นยังไง
ต้มาในส่วนของการพัฒนาเทคนิค เล่ม 4.กับ5. ถ้าจะเป็นตัวเลือกที่ดี แต่เปรียบเทียบไม่ได้เพราะอ่านแค่เล่ม5.
ถ้าใครไม่คิดมากก็สองเล่มครับ อ่านoxford เก็บ cambridgeไว้ทำpractice test
เทคนิคพาร์ทพูด ให้ดูจากnotefull ระหว่างฝึก และแก้แพทเทินให้เราพูดได้ถนัดครับ
สุดท้ายพอพร้อมแล้วก็ลุยข้อสอบครับ
ข้อสอบจริงคือเหมือนของเล่ม1. แต่พาร์ทฟังเหมือนเอาเล่ม1.กับ2.มาเฉลี่ยกัน เล่ม1.พูดช้า เล่ม2.พูดเร็วไปหน่อย
แคมบริจกับออคฟอดใช้ฝึกทำได้ แต่การหลอกอาจจะแตกต่างกับของจริง
ของแมคกราวฮิลเล่มที่3. ไม่แนะนำเลยครับ แต่ถ้ามีเวลาก็ทำได้
จบครับการเตรียมตัวทั้งหมดนี้ผมใช้เวลา25วัน 13วันแรกอ่านเล่ม1กับ3
อ่านเล่ม4 อีก 7วัน และ5วันสุดท้ายลุยข้อสอบวันละ2ชุดครับ มีข้ามบ้าง หรือทำบางอันมากกว่าบ้างอันที่ไม่มั่นใจ แต่รวมๆน่าจะสิบชุดครับ
วันจริงความรู้สึกคือพาร์ทอ่านง่ายครับ ง่ายกว่าเล่ม2.ที่ทำ อาจเพราะว่าเจอคำศัพท์คุ้นเคย เลยทำให้ผ่านได้ไว
เทคนิคพาร์ทอ่านที่ผมใช้ คืออ่านสแกนแต่ไม่ข้ามครับจับใจความให้ได้เช่น คำถามvocab ตอบคำนั้นได้แง้วแต่ก็จะอ่านแถวนั้นให้หมดครับ เพื่อที่จะให้รู้เนื้อหา ใช้ตอบคำถามข้อท้ายๆไม่ี้องย้อนมาอ่านใหม่
พาร์ทฟัง เจอ3ชุดครับ อันแรกจดไม่ทันหมดแต่ตอบได้เหมือนเล่ม3.ครับแต่ง่ายกว่านิด ชุดที่สองนี่ยากจนเสียความมั่นใจครับ จดไม่ทันเลยมั่วไป
ชุดสุดท้ายเหมือนชุดแรกครับ เลยคิดว่าอันกลางน่าจะหลอก
เทคนิคคือหัดจดเยอะๆครับ จดในแบบที่เราถนัด และเข้าใจได้ง่ายที่สุด
พาร์ทพูด คำถามง่ายครับ ง่ายมาก เลยประมาทคิดเหตุผลเสร็จไม่ยอมเรียบเรียง พุดวกไปวนมา2ข้อ
พูดไม่จบ2ข้อ พูดได้จริงๆแค่2ข้อครับ
ของผมพลาดที่ประมาทแล้วก็พูดช้าครับ ตื่นเต้นไม่ยอมตัดเนื้อหา พูดเยอะจบไม่ทัน ระวังด้วยครับ ส่วนแพทเทินที่เตรียมไป ใช้ได้ทุกข้อครับ
พาร์ทเขียน ทำได้ตามแพทเทินที่เตรียมไว้ครับ ลองหาจากเนตแล้วมาปรับให้เข้ากับสไตล์เขียนของตัวเอง ผมหาอยู่4 5 ที่แล้วเอามายำกันเปนอันที่ใช้ครับ
ตอนสอบฟังเกบลายละเอียดได้หมด พาร์ทintregrated น่าจะได้5 พาร์ทที่สองน่าจะ ได้3.5 ครับ ฝึกแพทเทินให้ชิน ช่วยลดเวลาส่วนนี้ได้เยอะครับ และช่วยให้เขียนเป็นระบบ
ทั้งพูดและเขียน
ผมว่าเค้าเน้นที่ว่าสื่อสารได้ จับใจความสำคัญมาสรุปได้ และเรียบเรียงเป์นระบบ มีการใช้คำเชื่อม ก็จะำด้คะแนนเยอะครับ ผิดได้บ้างน่าจะโอเค ตอนซ้อมเลยเน้นที่แพทเทินและการสรุปเนื้อหา ไม่ค่อยเคร่งแกรมม่าเท่าไร
สิบวันผ่านไปผลออกมาดีกว่าที่คิดครับยกเว้น พาร์ทพูดที่เหมือนกับที่คิด 5555 ถ้ามีเวลามากกว่านี้หน่อยน่าจะพูดได้ดีกว่านี้ครับ เพราะฉะนั้น ระวังเรื่องเวลา และฝึกพูดให้คง่องครับ อย่าพลาดแบบผม
คะแนนครับ หายเหนื่อย
[CR] ประสบการณ์ เตรียมตัวสอบTOEFL 25วัน กับตำรา6เล่มจาก5ค่าย
และคะแนนพึ่งออกเช้านี้ครับ จริงๆอยากมาแนะนำหนังสือที่ใช้ แต่รอผลก่อนเพื่อยืนยันสิ่งที่คิดครับ
ต้องขอเกริ่นก่อนว่าเป็นคนพื้นฐานภาษาน้อยมากเพราะไม่เคยตั้งใจเรียนแต่เด็ก ไม่เคยท่องศัพท์
จุดเริ่มต้นของการพัฒนาภาษาคือการต้องอ่าน Text Book ตอนป.ตรีครับ จำได้ว่าก่อนหน้าที่จะอ่านเท็คเคยซื้อนิยายภาษาอังกฤษมาลองครับ ผลคือต้องเปิดดิกทุกประโยค อ่านได้ไม่ถึงบทเลิกครับ มาหัดอ่านจริงๆเพราะการเรียนบังคับไม่อ่านก็สอบไม่ผ่าน พยายามอ่านมาเรื่อยๆ จนถึงจุดที่ไม่ต้องแปลทุกคำ อ่านโดยรวมจัยใจความได้พอ นอกจากศัพท์ที่สำคัญจริงๆ กว่าจะได้ขนาดนั้นก็เรียนจบป.ตรี ปี2พอดีครับ 1ปีกว่าๆ เท็ค4 5 วิชา
การฟังเริ่มฟังเพลงสากลและดูเนื้อตามตั้งแต่มัธยมครับ
สองอย่างนี้เลยทำให้เป็นคนอ่านกับฟังได้ แต่ไม่กล้าพูดไม่กล้าเขียน เพราะแกรมม่าแย่มาก
หลังจากสอบTOEIC ตอนจบป.ตรีปี3 เลยตัดสินใจ หาที่เรียนภาษาครับ เลือกที่ที่ได้ทั้งแกรมม่า มีคลาสคอนเวอ และคลาสเขียน กับทำข้อสอบ toeic toefl ielts รวมๆกันครับ
ผลที่ได้คือการเขียนและพูดดีขึ้นมากหลังจากมีพื้นฐานแกรมม่ามากขึ้น พร้อมกับมีโอกาสได้ฝึกในเวลาเรียน
แล้วก็มาถึงตอนที่ต้องเตรียมสอบTOEFLครับ หนังสือที่ผมซื้อมา มี6 เล่ม ขอรีวิวทีละเล่ม แล้วตอนท้าย จะสรุปนะครับ
1.Official Guide to the TOEFL Test With CD-ROM, 4th Edition (Official Guide to the Toefl Ibt)
สิ่งที่ได้จากเล่มนี้ คือแนวข้อสอบคร่าวๆ +ชนิดของคำถามในแต่ละพาร์ท คือได้ทำความรู้จักกับข้อสอบครับ แต่แทบจะไม่มีเทคนิคหรือแบบฝึกหัดที่ใช้เพิ่มทักษะเลย จะเป็นแนะนำว่าข้อสอบมีอะไรบ้างแล้วมีแบบฝึกหัดท้ายบททีเดียว
จะมีแผ่นโปรแกรมให้ทำpractice testอยู่ สำหรับผมค่อนข้างคล้าย แต่ว่าพาร์ท listening จะง่ายไปหน่อยครับ เพราะสามารถจดทันทุกอย่าง แต่ตอนสอบที่เจอคือ คำถามคล้ายกัน แต่จะพูดเร็วกว่า จดได้แต่คีเวิดหลักๆ
สรุป ถ้าพื้นฐานดีอยู่แล้วต้องการเตรียมตัวให้คุ้นข้อสอบเฉยๆ เล่มนี้โอเคครับ
2.Official TOEFL iBT® Tests with Audio, Volume 1
เล่มนี้จะมีข้อสอบ5ชุด เปฺนข้อสอบที่ผมคิดว่าคล้ายที่สุดในทุกพาร์ท แต่ข้อเสียคือทำกับหนังสือ ซีงเวลาสอบจริงนั้นเราทำกับคอมพ์ครับ และเฉลยก็ไม่มีคำอธิบาย
3.McGraw-Hill Education TOEFL iBT with 3 Practice Tests and DVD-ROM
เล่มนี้เป็นหนังสือค่อนข้างใหม่ครับ แนวจะคล้ายเล่มที่1. คือแนะนำแนวข้อสอบ แต่เล่มนี้จะมีเทคนิคมากขึ้นมีแบบฝึกหัดเยอะขึ้น มีตัวอย่างคำตอบพาร์ทพูดให้ฟัง เล่ม1.ของETS มีเป็นสคริปให้อ่านแต่ไม่มีเสียงให้ลองฟังครับ ว่าแบบไหนคะแนนระดับไหน แต่ผมอ่านจบแล้วก็ยังรู้สึกไม่ค่อยมีความมั่นใจเพิ่มเติม
ข้อสอบโปรแกรมคล้ายของเล่ม1. ในส่วนของหน้าตาโปรแกรม แต่ผมรู้สึกว่าไม่ค่อยเหมือนครับโดยเฉพาะพาร์ทฟัง อธิบายไม่ถูก
--------ขั้นครับ หลังจากอ่านเล่ม1 กับ3จบ รู้สึกไม่มั่นใจเลยครับ ไม่รู้จะพูดยังไง ทำยังไง
เพื่อนแนะนำเวปnotefullมาครับ เวปนี้เทพมาก พาร์ทพูดมีแพทเทินตั้งแต่ 1-6 ผมฝึกตามแพทเทินเวปนี้ครับ แต่เปลี่ยนคำพูดให้ถนัด คือเอาแนวมาแต่เอาประโยคมาปรับปรุง เอาที่พูดได้ถนัดที่สุดครับ หลังจากนั้นมีแนวทางการฝึกพาร์ทพูดขึ้นเยอะครับ
------
4.Cambridge Preparation for the TOEFL® Test
เล่มนี้ที่ดูผ่านๆเทคนิคเยอะมากครับ แต่ว่า ไม่มีเวลาเลยใช้ทำข้อสอบอย่างเดียว จะมีข้อสอบให้7ชุดครับ ทำในคอมพ์ ทำไป4ชุด รู้สึกว่าโอเค แต่ฟังจะยากกว่านิดหน่อย ยากกว่า ของETS ทั้ง2เล่ม แต่ใช้ฝึกได้ดีครับ เราทำอันยากพอไปเจอช้ากว่าจะได้จดทัน
รวมถึงคำถามพาร์ทพูดสำหรับผมคือแปลกครับ มีชุดนึงถามประมาณ ให้พูดถึง บุคคลสำคัญของประเทศเราแล้วมีผลกับสังคมในปัจจุบันยังไง ซึ่งมันต่างกับที่เจอตอนสอบจริงลิบลับครับ ตอนสอบเจอถามว่าชอบแต่งตัวยังไงเวลาไปข้างนอก
สรุป เนื้อหาเล่มนี้เยอะพอควรครับ ข้อสอบ7ชุดให้ฝึกเหลือเฟือ คล้าย แต่ว่าไม่เหมือนเท่าเล่ม1.กับ2.
5.Oxford preparation course for TOEFL
เล่มนี้คือเล่มเทพครับ เทคนิคเยอะมากแบบฝึกหัดเยอะมาก แต่พึ่งออกใหม่ยังไม่ค่อยมีใครรีวิว
การเรียงเนื้อหาของเล่มนี้จะต่างจากเล่มอื่นที่แยกเปนแต่ละพาร์ท 4พาร์ท
เล่มนี้จะแบ่งเป็น8บทครับ แต่ละบทจะมีธีมคำศัพท์ เช่นfamily food มีลิสคำศัพท์ให้หลังพาร์ทreading แล้วเราก็จะไปเจอตอนอ่านพาร์ทอื่นๆในบทนั้นต่อ ทำให้ช่วยจำได้ง่ายขึ้นครับเพราะท่องแล้วได้เจอได้ใช้
บทนึงจะไล่เนื้อหาไปตั้งแต่ อ่าน ฟัง พูด เขียน
บทนึงจะโฟกัสไปที่แนวคำถามเดียว แล้วมีแบบฝึกหัดที่เน้นแนวนั้นให้แน่นเลยครับ เช่นบทแรกที่
พาร์ทอ่าน คำถามแนวคำศัพท์ ก็จะมีคำถามแนวนั้นให้ฝึก เทคนิคเต็มที่ครับ
พาร์ทพูด สอนข้อ1 ก็จะเป็นแบบฝึกหัดข้อ1ทั้งหมดครับ
หลังจากอ่านจบ 6บท บท 7 8จะเป็น practice testครับ ทำในเล่มก็ได้ หรือเข้าไปทำในเวปของเขา โดยใช้รหัสที่อยุ่ในเล่มสมัคร
สำหรับผมเล่มนี้เทคนิคดีมากครับ อ่านเล่มนี้รู้สึกว่าทำข้อสอบคล่องขึ้นเยอะมาก
เพราะรู้ว่าแต่ละชนิดของคำถามเป็นยังไง และจะโดนหลอกยังไงได้บ้าง
เนื่องจากแต่ละบทก็มีคำถามแนวนั้นหลายๆข้อ บางข้อถูก แต่บางข้อก็โดนหลอก เราก็จะจำได้ครับ ว่าแนวไหนที่เราถนัด แนวไหนที่โดนหลอกบ่อย
แต่ข้อเสียคือ เพราะว่าเราต้องอ่านไปทั้งเล่มถึงจะรู้แนวข้อสอบทั้งหมด. เวลาอ่านอาจจรู้สึกว่าอ่านช้า เพราะกว่าจะรู้แนวครบก็เป็นอาทิตย์ ไม่เหมือนเล่มอื่นที่ แยกแต่ละพาร์ท อ่านพาร์ทนั้นจบ2วันก็รู้แนวทั้งหมดของพาร์ทเลย
ข้อสอบสองชุดที่ทำไปก็โอเคครับ ใช้ฝึกได้ มีแถมในเวปอีก1ชุดรวมเป็น3
สุดท้าย6. 400 Must-Have Words for the TOEFL®
เล่มนี้อ่านไม่จบครับ ไม่มีเวลา แต่ถ้าใครมีเวลาแนะนำให้อ่านครับ ผมอ่านไปไม่ถึงครึ่ง ช่วยได้เยอะครับ อ่านง่ายขึ้น
-----------
สุดท้ายแนวทางการเตรียมตัว ที่แนะนำสำหรับคนวางแผนอ่านเองครับ
ถ้าไม่เคยเตรียมอะไรเลย แนะนำอ่านเล่มใดเล่มนึงเพื่อให้รู้แนวข้อสอบ ทำความคุ้นเคยกับประเภทคำถาม
เล่ม 1.และ3. จะช่วยให้รู้ภาพรวมของข้อสอบ
เล่ม1.ดีกว่าที่ เป็นของets.แต่ข้อสอบที่มีให้ทำพาร์ทฟังจะง่ายไปหน่อย
เล่ม3. ดีที่มีตัวอย่างคำตอบพาร์ทพูดให้ฟัง ว่าพูดแบบไหนได้เท่าไร และมีเทคนิคมากกว่าเล่ม1.
ถ้าอ่านจบตอนนี้จะรู้แล้วว่าข้อสอบเป็นยังไง
ต้มาในส่วนของการพัฒนาเทคนิค เล่ม 4.กับ5. ถ้าจะเป็นตัวเลือกที่ดี แต่เปรียบเทียบไม่ได้เพราะอ่านแค่เล่ม5.
ถ้าใครไม่คิดมากก็สองเล่มครับ อ่านoxford เก็บ cambridgeไว้ทำpractice test
เทคนิคพาร์ทพูด ให้ดูจากnotefull ระหว่างฝึก และแก้แพทเทินให้เราพูดได้ถนัดครับ
สุดท้ายพอพร้อมแล้วก็ลุยข้อสอบครับ
ข้อสอบจริงคือเหมือนของเล่ม1. แต่พาร์ทฟังเหมือนเอาเล่ม1.กับ2.มาเฉลี่ยกัน เล่ม1.พูดช้า เล่ม2.พูดเร็วไปหน่อย
แคมบริจกับออคฟอดใช้ฝึกทำได้ แต่การหลอกอาจจะแตกต่างกับของจริง
ของแมคกราวฮิลเล่มที่3. ไม่แนะนำเลยครับ แต่ถ้ามีเวลาก็ทำได้
จบครับการเตรียมตัวทั้งหมดนี้ผมใช้เวลา25วัน 13วันแรกอ่านเล่ม1กับ3
อ่านเล่ม4 อีก 7วัน และ5วันสุดท้ายลุยข้อสอบวันละ2ชุดครับ มีข้ามบ้าง หรือทำบางอันมากกว่าบ้างอันที่ไม่มั่นใจ แต่รวมๆน่าจะสิบชุดครับ
วันจริงความรู้สึกคือพาร์ทอ่านง่ายครับ ง่ายกว่าเล่ม2.ที่ทำ อาจเพราะว่าเจอคำศัพท์คุ้นเคย เลยทำให้ผ่านได้ไว
เทคนิคพาร์ทอ่านที่ผมใช้ คืออ่านสแกนแต่ไม่ข้ามครับจับใจความให้ได้เช่น คำถามvocab ตอบคำนั้นได้แง้วแต่ก็จะอ่านแถวนั้นให้หมดครับ เพื่อที่จะให้รู้เนื้อหา ใช้ตอบคำถามข้อท้ายๆไม่ี้องย้อนมาอ่านใหม่
พาร์ทฟัง เจอ3ชุดครับ อันแรกจดไม่ทันหมดแต่ตอบได้เหมือนเล่ม3.ครับแต่ง่ายกว่านิด ชุดที่สองนี่ยากจนเสียความมั่นใจครับ จดไม่ทันเลยมั่วไป
ชุดสุดท้ายเหมือนชุดแรกครับ เลยคิดว่าอันกลางน่าจะหลอก
เทคนิคคือหัดจดเยอะๆครับ จดในแบบที่เราถนัด และเข้าใจได้ง่ายที่สุด
พาร์ทพูด คำถามง่ายครับ ง่ายมาก เลยประมาทคิดเหตุผลเสร็จไม่ยอมเรียบเรียง พุดวกไปวนมา2ข้อ
พูดไม่จบ2ข้อ พูดได้จริงๆแค่2ข้อครับ
ของผมพลาดที่ประมาทแล้วก็พูดช้าครับ ตื่นเต้นไม่ยอมตัดเนื้อหา พูดเยอะจบไม่ทัน ระวังด้วยครับ ส่วนแพทเทินที่เตรียมไป ใช้ได้ทุกข้อครับ
พาร์ทเขียน ทำได้ตามแพทเทินที่เตรียมไว้ครับ ลองหาจากเนตแล้วมาปรับให้เข้ากับสไตล์เขียนของตัวเอง ผมหาอยู่4 5 ที่แล้วเอามายำกันเปนอันที่ใช้ครับ
ตอนสอบฟังเกบลายละเอียดได้หมด พาร์ทintregrated น่าจะได้5 พาร์ทที่สองน่าจะ ได้3.5 ครับ ฝึกแพทเทินให้ชิน ช่วยลดเวลาส่วนนี้ได้เยอะครับ และช่วยให้เขียนเป็นระบบ
ทั้งพูดและเขียน
ผมว่าเค้าเน้นที่ว่าสื่อสารได้ จับใจความสำคัญมาสรุปได้ และเรียบเรียงเป์นระบบ มีการใช้คำเชื่อม ก็จะำด้คะแนนเยอะครับ ผิดได้บ้างน่าจะโอเค ตอนซ้อมเลยเน้นที่แพทเทินและการสรุปเนื้อหา ไม่ค่อยเคร่งแกรมม่าเท่าไร
สิบวันผ่านไปผลออกมาดีกว่าที่คิดครับยกเว้น พาร์ทพูดที่เหมือนกับที่คิด 5555 ถ้ามีเวลามากกว่านี้หน่อยน่าจะพูดได้ดีกว่านี้ครับ เพราะฉะนั้น ระวังเรื่องเวลา และฝึกพูดให้คง่องครับ อย่าพลาดแบบผม
คะแนนครับ หายเหนื่อย