สวัสดีค่ะเราชื่อบอม วันนี้มาแชร์ประสบการณ์สมันมัธยมต้น (ตอนนี้ก้เรียนมหาลัยแล้วแหละ)
คือเราเป็นเด็กต่างหวัดเรียนอยู่โรงเรียนค่อนข้างใหญ่แห่งหนึ่งเป็นโรงเรียนประจำอำเภอ เราก้เป็นเด็กค่อนข้างเรียนดีตั้งแต่ประถม เราชอบเล่นดนตรีตอนประถมก้เล่นบ้างเคยเป็นวงโยธวาทิตของโรงเรียน พอขึ้นม.1 เราก้เลยอยากเล่นดนตรีจริงจังแต่ติดอยู่ที่ว่าพ่อกับแม่เราไม่ค่อยสนับสนุนบอกว่าไร้สาระอยากให้เน้นเรียนมากกว่า เราเคยถามพ่อนะว่าถ้าเราเรียนได้เกรดเยอะๆพ่อจะยอมให้เราเล่นดนตรีมั้ย พ่อก้บอกถ้าไม่กระทบการเรียนก้จะยอมแต่ตอนนี้ยังไม่อนุญาต ด้วยความชอบเราก้เลือกที่จะทำโดยการไม่บอกพ่อกับแม่ เราเลือกเข้าชมรมดนตรีสากลมีเครื่องดนตรีให้เลือกเล่นมากกมาย แต่ก้อย่างว่าแหละม.1เราไม่ได้ทำอะไรมากหรอกนอกจากทำความสะอาดห้องชมรมเช็ดถูเครื่องดนตรีดูพี่ๆซ้อมแค่นี้ก้มีความสุขแล้ว หลังจากที่เข้าชมรมเราก้ไปห้องชมรมทุกเที่ยง หรือไม่ก้หลังเลิกเรียนทุกครั้งที่ว่างเลยก้ว่าได้ จนเราขึ้นม.2ก้เริ่มได้จับเครื่องดนตรีบ้างแล้ว ตอนนั้นเราก้เลือกที่จะทำวงกับเพื่อนอีก3คนโดยมีรุ่นพี่เป็นคนสอน แต่เราก้เล่นได้แค่งูๆปลาๆเพื่อนก้มาซ้อมบ้างไม่มาบ้าง มีแค่เราที่มาทุกวันก้ใจรักอ่านะ แค่มานั่งดูเพื่อนๆพี่ๆซ้อมกันเราก้โอเคแล้ว จนมาช่วงหลังเพื่อนก้เลือกที่จะไม่ทำวงต่อเราก้เลยว่างงานแต่ทุกครั้งที่ว่างก้ยังคงสิงสถิตอยู่ที่ห้องชมรมเหมือนเดิม(เพื่ออะไร?) จนมาม.2เทอม2 อาจารย์ก้เลยเห็นแววมาชวนเราเข้าวงโยฯเห็นว่ามาทุกวันแต่ไม่มีอะไรทำ แต่เข้าวงโยต้องกรอกใบสมัครและต้องมีลายเซ็นยอมรับจากผู้ปกครอง อาจารย์ให้เราไปปรึกษาพ่อแม่ก่อนว่าโอเคมั้ย(เพราะต้องใช้เวลาซ้อมเยอะ) เราก้เก็บใบสมัครกลับบ้านไปด้วยแต่ก้ยังไม่กล้าบอก จนวันนึงรวบรวมความกล้าแล้วไปขอโดยใช้ข้อตกลงที่เราเคยเกริ่นไว้เรื่องเกรด ว่าถ้าเราเกรดเยอะขึ้นจะให้เราเล่นมั้ย พ่อก้โอเค หลังจากนั้นมากเราก้เริ่มห่างๆจากห้องชมรมพราะพยายามทำเกรดให้ดี จนในที่สุดเราก้ทำสำเร็จพ่อเซ็นอนุญาตให้เราเล่นตรีได้ (ชีวิตเราจะเปลี่ยนไปหลังจากนี้)
พอเราขึ้นม.3ช่วงชีวิตนี้ก้เป็นวงโยฯเต็มตัวแล้ว เราซ้อมทุกวันหลังเลิกเรียน อยู่โรงเรียนดึกจนชิน (เป็นผู้หญิงคนเดียวและเด็กที่สุดในวง) เราเลือกเล่นแซกโซโฟน พี่ๆและอาจารย์ดูแลเราดีมากเหมือนครอบครัว เรานับถืออาจารย์เหมือนพ่อคนนึง เราอยู่วงมาเกือบปีเราทุกคนสนิทกันมากเลยค่ะ แต่ช่วงหลังๆนี้เรารู้สึกว่าเราสนิทกับอาจารย์มาเกินไปรึป่าว เวลาเขาสอนเราเป่าเขาก้ใช้เครื่องดนตรีของเราซึ่งเราก้ไม่ได้รังเกียจอะไร เวลาเราตีกลองเขาก้จับมือเราตี หยอกล้อลูบหัวเตะก้น เราก้ไม่ได้รู้สึกว่ามันแปลกเพราะเขาอาจจะเอ็นดูเรา แต่ช่วงหลังๆเขาเริ่มแตะเนื้อต้องตัวเรามากขึ้นบางทีเราก้รู้สึกว่ามันมากไปมีครั้งนึงที่เขาจับหน้าท้องเราเราก้ตกใจนะแต่ก้ไม่ได้คิดอะไร จนมาวันนั้น(วันที่เราจะจำไปตลอดชีวิต) เราซ้อมดนตรีกันค่อนข้างดึกพอซ้อมเสดเราก้พากันผ่อนคลายด้วยการเล่นกีต้าร์ร้องเพลงกันในห้องอัด จู่ๆอาจารย์ก้เรียกเราออกไปบอกว่ามาหาของให้หน่อยอยู่ในห้องเก็บของ(ซึ่งไฟมันเสีย)เราก้ไปหาของช่วยเขาพอเจอแล้วก้กลับมาร้องเพลงเล่นต่อ สักพักเขาก้มาเรียกเราอีกว่าอีกอย่างยังหาไม่เจอเราก้เริ่มรู้สึกแปลกๆแล้วแต่ก้ไม่กล้าพูดอะไร ก้เข้าไปหาของที่อาจารย์บอก ในขณะที่เราหาของอยู่จู่ๆก้มีมือมาโอบเอาเราจากด้านหลังแล้วก้เอาหน้ามาชนแก้มเรา ตอนนั้นเราตกใจมากทำอะไรไม่ถูกพูดไม่ออกเราก้หันกลับไปมอง เป็นอาจารย์ของเรา เขาก้มตัวลงมาพยายามจะจูบปากเราแต่เราไม่ยอมเราก้พยายามดิ้นสุดแรงเกิด ระหว่างที่เราดิ้นเขาก้เอามือมาจับที่หน้าอกเราตอนนั้นตัวเราชาไปหมดจะร้องก้ร้องไม่ออกกลัวมากไม่รู้จะทำยังไงรู้แค่ว่าตอนนั้นไม่รอดแน่ เราหันไปมองหน้าเขา เขาก้พูดประโยคนึงขึ้นว่า “มองหน้าอย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อกัน” ตอนนั้นเราไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสีหน้าเราเป็นยังไงเราคิดอย่างเดียวว่าตอนนั้นไม่รอดแน่ๆ ตัวสั่นไปหมด แล้วจู่ๆเขาก้ผละออกลัวเดินออกจากห้องไปเรียกพี่ๆที่อยู่อีกห้องนึงกลับ เราอึ้งมากทำอะไรไม่ถูกได้แต่ก้มหน้าก้มตาเก็บของกลับ (ลืมบอกไปว่าเรากลับบ้านกับอาจารย์ทุกวันเพราะซ้อมดึก) จนถึงบ้านเราเดินเข้าห้องไม่คุยกับใครข้าวก้ไม่กิน พยายามหาอะไรทำเพื่อลบภาพวันนี้ออก เราอยากห้องไห้ออกมาแต่มันกลับร้องไม่ออกตอนนั้นในหัวมีแต่คำถามเต็มไปหมด สักพักอาจารย์โทรเข้ามาเรายิ่งตกเข้าไปใหญ่มือไม้อ่อนไปหมดแต่เราเลือกที่จะไม่รับสาย เราคิดไปต่างๆนาๆว่าถ้าเรารับแล้วเขาจะพูดว่าอะไรบ้าง คืนนั้นกว่าจะทำใจหลับลงมันโคตรทรมานเลย พอเช้าวันต่อมาเราก้ไปโรงเรียนแต่ด้วยอาการระแวงเราพยายามหลีกเลี่ยงทุกอย่าง แต่อาจารย์กลับเดินมาหาเราที่แถว(ตกใจจนสะดุ้งเลยอ่ะคิดดูว่ากลัวขนาดไหน)แล้วถามเราว่า”ทำไมไม่รับโทรสัพจะถามว่าเห็นยาอยู่หน้ารถมั้ย” (หน้าตาเฉยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น) เราได้แต่ส่ายหน้าแล้วหลบตาเหงื่อไหลท่วม ตัวสั่น กลัวมาก เย็นวันนั้นหลังเลิกเรียนเราไม่ไปซ้อมเลย (หลังจากนั้นประมาณอาทิตย์นึงเขามาบอกให้เราไปซ้อมแต่เราไม่ยอมไป ใครจะกล้าไปล่ะ?) และหลังจากวันนั้นเราก้ไม่เข้าชมรมอีกเลย
..............................เราไม่เคยเล่าเรื่องนี้ให้ใครฟังเลยแม้แต่คนเดียว เราเก็บไว้คนเดียวมาตลอด ได้แต่ตั้งคำถามว่าทำไม กว่าเราจะขอให้พ่อยอมให้เราเล่นดนตรีได้ แต่ต้องกลับมาถูกทำลายลงเพราะคนที่สอนเรากับมือ ทำไมอาจารย์ต้องทำลายความฝันของหนูด้วย ถ้าวันนั้นไม่เกิดเหตุการณ์นี้ขึ้นหนูคงได้เรียนในสิ่งที่รักและมีความสุขกับมัน …………………….
หลังจากที่ออกมาทุกคนก้คอยถามว่าทำไมถึงออก เราก้ได้แค่ตอบว่าไม่ค่อยมีเวลาอยากตั้งใจเรียนก่อน แล้วก้มีรุ่นพี่ที่วงคนนึงมาพูดกับเราฝากเราไว้ว่า “กลับมาเล่นด้วยกันอีกนะพี่จะรอ ไม่ว่ายังไงก้อย่าเลิกเล่นมันนะ” ตอนนั้นเราน้ำตาแทบไหลอ่ะกับความรู้สึกที่บอกใครไม่ได้ คิดถึงเรื่องนี้ทีไรเราก้คิดโกรธแล้วก้แค้นนะ มันโคตรเจ็บเลยที่โดนทำลายความฝันจากคนที่เรารักและไว้ใจ (ถึงมันจะผ่านมานานมากแล้วแต่มันก้เป็นปมอยู่ในหัวใจ เราแอบคิดนะถ้าวันนั้นเกิดอะไรขึ้นกับเราจิงๆชีวิตเราจะเป็นยังไงต่อไม่รู้เลย)
ชีวิตมัธยม(เกือบหมดอนาคต)
คือเราเป็นเด็กต่างหวัดเรียนอยู่โรงเรียนค่อนข้างใหญ่แห่งหนึ่งเป็นโรงเรียนประจำอำเภอ เราก้เป็นเด็กค่อนข้างเรียนดีตั้งแต่ประถม เราชอบเล่นดนตรีตอนประถมก้เล่นบ้างเคยเป็นวงโยธวาทิตของโรงเรียน พอขึ้นม.1 เราก้เลยอยากเล่นดนตรีจริงจังแต่ติดอยู่ที่ว่าพ่อกับแม่เราไม่ค่อยสนับสนุนบอกว่าไร้สาระอยากให้เน้นเรียนมากกว่า เราเคยถามพ่อนะว่าถ้าเราเรียนได้เกรดเยอะๆพ่อจะยอมให้เราเล่นดนตรีมั้ย พ่อก้บอกถ้าไม่กระทบการเรียนก้จะยอมแต่ตอนนี้ยังไม่อนุญาต ด้วยความชอบเราก้เลือกที่จะทำโดยการไม่บอกพ่อกับแม่ เราเลือกเข้าชมรมดนตรีสากลมีเครื่องดนตรีให้เลือกเล่นมากกมาย แต่ก้อย่างว่าแหละม.1เราไม่ได้ทำอะไรมากหรอกนอกจากทำความสะอาดห้องชมรมเช็ดถูเครื่องดนตรีดูพี่ๆซ้อมแค่นี้ก้มีความสุขแล้ว หลังจากที่เข้าชมรมเราก้ไปห้องชมรมทุกเที่ยง หรือไม่ก้หลังเลิกเรียนทุกครั้งที่ว่างเลยก้ว่าได้ จนเราขึ้นม.2ก้เริ่มได้จับเครื่องดนตรีบ้างแล้ว ตอนนั้นเราก้เลือกที่จะทำวงกับเพื่อนอีก3คนโดยมีรุ่นพี่เป็นคนสอน แต่เราก้เล่นได้แค่งูๆปลาๆเพื่อนก้มาซ้อมบ้างไม่มาบ้าง มีแค่เราที่มาทุกวันก้ใจรักอ่านะ แค่มานั่งดูเพื่อนๆพี่ๆซ้อมกันเราก้โอเคแล้ว จนมาช่วงหลังเพื่อนก้เลือกที่จะไม่ทำวงต่อเราก้เลยว่างงานแต่ทุกครั้งที่ว่างก้ยังคงสิงสถิตอยู่ที่ห้องชมรมเหมือนเดิม(เพื่ออะไร?) จนมาม.2เทอม2 อาจารย์ก้เลยเห็นแววมาชวนเราเข้าวงโยฯเห็นว่ามาทุกวันแต่ไม่มีอะไรทำ แต่เข้าวงโยต้องกรอกใบสมัครและต้องมีลายเซ็นยอมรับจากผู้ปกครอง อาจารย์ให้เราไปปรึกษาพ่อแม่ก่อนว่าโอเคมั้ย(เพราะต้องใช้เวลาซ้อมเยอะ) เราก้เก็บใบสมัครกลับบ้านไปด้วยแต่ก้ยังไม่กล้าบอก จนวันนึงรวบรวมความกล้าแล้วไปขอโดยใช้ข้อตกลงที่เราเคยเกริ่นไว้เรื่องเกรด ว่าถ้าเราเกรดเยอะขึ้นจะให้เราเล่นมั้ย พ่อก้โอเค หลังจากนั้นมากเราก้เริ่มห่างๆจากห้องชมรมพราะพยายามทำเกรดให้ดี จนในที่สุดเราก้ทำสำเร็จพ่อเซ็นอนุญาตให้เราเล่นตรีได้ (ชีวิตเราจะเปลี่ยนไปหลังจากนี้)
พอเราขึ้นม.3ช่วงชีวิตนี้ก้เป็นวงโยฯเต็มตัวแล้ว เราซ้อมทุกวันหลังเลิกเรียน อยู่โรงเรียนดึกจนชิน (เป็นผู้หญิงคนเดียวและเด็กที่สุดในวง) เราเลือกเล่นแซกโซโฟน พี่ๆและอาจารย์ดูแลเราดีมากเหมือนครอบครัว เรานับถืออาจารย์เหมือนพ่อคนนึง เราอยู่วงมาเกือบปีเราทุกคนสนิทกันมากเลยค่ะ แต่ช่วงหลังๆนี้เรารู้สึกว่าเราสนิทกับอาจารย์มาเกินไปรึป่าว เวลาเขาสอนเราเป่าเขาก้ใช้เครื่องดนตรีของเราซึ่งเราก้ไม่ได้รังเกียจอะไร เวลาเราตีกลองเขาก้จับมือเราตี หยอกล้อลูบหัวเตะก้น เราก้ไม่ได้รู้สึกว่ามันแปลกเพราะเขาอาจจะเอ็นดูเรา แต่ช่วงหลังๆเขาเริ่มแตะเนื้อต้องตัวเรามากขึ้นบางทีเราก้รู้สึกว่ามันมากไปมีครั้งนึงที่เขาจับหน้าท้องเราเราก้ตกใจนะแต่ก้ไม่ได้คิดอะไร จนมาวันนั้น(วันที่เราจะจำไปตลอดชีวิต) เราซ้อมดนตรีกันค่อนข้างดึกพอซ้อมเสดเราก้พากันผ่อนคลายด้วยการเล่นกีต้าร์ร้องเพลงกันในห้องอัด จู่ๆอาจารย์ก้เรียกเราออกไปบอกว่ามาหาของให้หน่อยอยู่ในห้องเก็บของ(ซึ่งไฟมันเสีย)เราก้ไปหาของช่วยเขาพอเจอแล้วก้กลับมาร้องเพลงเล่นต่อ สักพักเขาก้มาเรียกเราอีกว่าอีกอย่างยังหาไม่เจอเราก้เริ่มรู้สึกแปลกๆแล้วแต่ก้ไม่กล้าพูดอะไร ก้เข้าไปหาของที่อาจารย์บอก ในขณะที่เราหาของอยู่จู่ๆก้มีมือมาโอบเอาเราจากด้านหลังแล้วก้เอาหน้ามาชนแก้มเรา ตอนนั้นเราตกใจมากทำอะไรไม่ถูกพูดไม่ออกเราก้หันกลับไปมอง เป็นอาจารย์ของเรา เขาก้มตัวลงมาพยายามจะจูบปากเราแต่เราไม่ยอมเราก้พยายามดิ้นสุดแรงเกิด ระหว่างที่เราดิ้นเขาก้เอามือมาจับที่หน้าอกเราตอนนั้นตัวเราชาไปหมดจะร้องก้ร้องไม่ออกกลัวมากไม่รู้จะทำยังไงรู้แค่ว่าตอนนั้นไม่รอดแน่ เราหันไปมองหน้าเขา เขาก้พูดประโยคนึงขึ้นว่า “มองหน้าอย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อกัน” ตอนนั้นเราไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสีหน้าเราเป็นยังไงเราคิดอย่างเดียวว่าตอนนั้นไม่รอดแน่ๆ ตัวสั่นไปหมด แล้วจู่ๆเขาก้ผละออกลัวเดินออกจากห้องไปเรียกพี่ๆที่อยู่อีกห้องนึงกลับ เราอึ้งมากทำอะไรไม่ถูกได้แต่ก้มหน้าก้มตาเก็บของกลับ (ลืมบอกไปว่าเรากลับบ้านกับอาจารย์ทุกวันเพราะซ้อมดึก) จนถึงบ้านเราเดินเข้าห้องไม่คุยกับใครข้าวก้ไม่กิน พยายามหาอะไรทำเพื่อลบภาพวันนี้ออก เราอยากห้องไห้ออกมาแต่มันกลับร้องไม่ออกตอนนั้นในหัวมีแต่คำถามเต็มไปหมด สักพักอาจารย์โทรเข้ามาเรายิ่งตกเข้าไปใหญ่มือไม้อ่อนไปหมดแต่เราเลือกที่จะไม่รับสาย เราคิดไปต่างๆนาๆว่าถ้าเรารับแล้วเขาจะพูดว่าอะไรบ้าง คืนนั้นกว่าจะทำใจหลับลงมันโคตรทรมานเลย พอเช้าวันต่อมาเราก้ไปโรงเรียนแต่ด้วยอาการระแวงเราพยายามหลีกเลี่ยงทุกอย่าง แต่อาจารย์กลับเดินมาหาเราที่แถว(ตกใจจนสะดุ้งเลยอ่ะคิดดูว่ากลัวขนาดไหน)แล้วถามเราว่า”ทำไมไม่รับโทรสัพจะถามว่าเห็นยาอยู่หน้ารถมั้ย” (หน้าตาเฉยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น) เราได้แต่ส่ายหน้าแล้วหลบตาเหงื่อไหลท่วม ตัวสั่น กลัวมาก เย็นวันนั้นหลังเลิกเรียนเราไม่ไปซ้อมเลย (หลังจากนั้นประมาณอาทิตย์นึงเขามาบอกให้เราไปซ้อมแต่เราไม่ยอมไป ใครจะกล้าไปล่ะ?) และหลังจากวันนั้นเราก้ไม่เข้าชมรมอีกเลย
..............................เราไม่เคยเล่าเรื่องนี้ให้ใครฟังเลยแม้แต่คนเดียว เราเก็บไว้คนเดียวมาตลอด ได้แต่ตั้งคำถามว่าทำไม กว่าเราจะขอให้พ่อยอมให้เราเล่นดนตรีได้ แต่ต้องกลับมาถูกทำลายลงเพราะคนที่สอนเรากับมือ ทำไมอาจารย์ต้องทำลายความฝันของหนูด้วย ถ้าวันนั้นไม่เกิดเหตุการณ์นี้ขึ้นหนูคงได้เรียนในสิ่งที่รักและมีความสุขกับมัน …………………….
หลังจากที่ออกมาทุกคนก้คอยถามว่าทำไมถึงออก เราก้ได้แค่ตอบว่าไม่ค่อยมีเวลาอยากตั้งใจเรียนก่อน แล้วก้มีรุ่นพี่ที่วงคนนึงมาพูดกับเราฝากเราไว้ว่า “กลับมาเล่นด้วยกันอีกนะพี่จะรอ ไม่ว่ายังไงก้อย่าเลิกเล่นมันนะ” ตอนนั้นเราน้ำตาแทบไหลอ่ะกับความรู้สึกที่บอกใครไม่ได้ คิดถึงเรื่องนี้ทีไรเราก้คิดโกรธแล้วก้แค้นนะ มันโคตรเจ็บเลยที่โดนทำลายความฝันจากคนที่เรารักและไว้ใจ (ถึงมันจะผ่านมานานมากแล้วแต่มันก้เป็นปมอยู่ในหัวใจ เราแอบคิดนะถ้าวันนั้นเกิดอะไรขึ้นกับเราจิงๆชีวิตเราจะเป็นยังไงต่อไม่รู้เลย)