สองสามวันนี้ เห็นมีกระทู้เกี่ยวกับเรื่องการจำนำยุ้งฉางมากมาย ก็เลยอยากแสดงความเห็นบ้าง โดยจะพยายามเสนอประเด็นให้กระชับที่สุด
การรับจำนำข้าวในสมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ เป็นการรับจำนำที่แตกต่างจากการรับจำนำในอดีต ที่มีเป้าหมายต้องการชะลออุปทานที่ออกสู่ตลาดพร้อม ๆ กัน แล้วทำให้ราคาตกต่ำ ให้ชาวนาบางส่วน เก็บข้าวไว้ก่อน ไม่รีบนำมาขายพร้อม ๆ กัน เก็บข้าวไว้ก่อน แล้วค่อยนำออกมาขายในช่วงราคาที่เหมาะสม โดยช่วงที่เก็บข้าวไว้ หากจำเป็นต้องใช้เงิน ก็สามารถนำข้าวมาจำนำกับรัฐบาล แล้วนำเงินบางส่วนไปใช้ก่อน เมื่อขายข้าวได้ ก็นำเงินมาไถ่ถอนข้าวไป
แต่การรับจำนำของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ มีความแตกต่างจากหลักคิดนี้อย่างชัดเจน เพราะเป็นการให้ราคารับจำนำในราคานำตลาดมาก และตั้งเป้ากว้านข้าวมาอยู่ในมือรัฐบาลให้ได้เกือบทั้งหมด เพื่อเป็นคนควบคุมกลไกตลาด โดยหวังว่า ราคาข้าวจะสูงขึ้น จนอาจจะสูงกว่าราคารับจำนำ แต่เมื่อที่ผ่านมาทำไม่ได้ ก็ทำให้ ไม่มีการไถ่ถอนข้าวเกิดขึ้น และทำให้เกิดผลเสียหายเกิดขึ้น เกินห้าแสนล้านบาทอย่างที่เห็น
ซึ่งถ้าเป็นการรับจำนำแบบคาดหวังว่าจะมีการไถ่ถอน ถ้าหากไม่มีการเคลื่อนย้ายข้าว ก็ทำให้ทุกฝ่ายสะดวก ไม่ต้องขนย้ายข้าวไปมา ดังนั้น การรับจำนำโดยฝากข้าวไว้กับเกษตรกร ก็เป็นวิธีที่ใช้กันมา ถ้าถึงเวลาชาวนาขายข้าว ก็ค่อยเกิดกระบวนการเคลื่อนย้ายไปสู่ผู้ซื้อที่แท้จริง หรือถ้าหากมีบางส่วน ที่ไม่ไถ่ถอน ค่อยเกิดกระบวนการขนย้ายข้าวมาเข้าสู่โกดังกลางของรัฐบาลต่อไป
เช่นจำนำล้านตัน ไม่ไถ่ถอนหนึ่งแสนตัน ก็ค่อยขนข้าวจำนวนแสนตัน ไม่ใช่ขนทั้งล้านตันมาเก็บ แล้วเวลาไถ่ถอน ก็ยุ่งยากในการขนคืนอีก
ซึ่งจริง ๆ สมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ก็มีการรับจำนำยุ้งฉางเช่นกัน แต่เมื่อเป็นการจำนำแบบไม่มีการไถ่ถอน สุดท้ายก็ต้องขนย้ายข้าวทั้งหมดมาเข้าโกดังกลางอยู่ดี ดังนั้นในปีที่สอง จึงมีการจำนำยุ้งฉางจำนวนไม่มาก
ดังนั้นในครั้งนี้ เมื่อรัฐบาลคิดว่า จำเป็นต้องนำการจำนำกลับมาใช้ ในหลักคิดเดิม ๆ ที่ต้องการชะลอการขายของชาวนา ไม่ใช่ตั้งเป้าสูงถึงขนาดควบคุมกลไกตลาด ผลักดันราคาแบบที่เคยฝันว่าจะทำได้ การรับจำนำยุ้งฉาง ก็เป็นวิธีที่ดีกว่า การรับจำนำใบประทวน แบบที่ทำมา เพราะสุดท้าย ชาวนาส่วนใหญ่ ก็จะต้องขายข้าวเอง ในเวลาที่เห็นว่าเหมาะสม เพราะจะได้เงินเยอะกว่า ราคารับจำนำ
แต่ที่ทำให้การรับจำนำครั้งนี้ มีความผิดปกติ อยู่ก็คือ ราคารับจำนำ ใช้ 90% ของราคาเป้าหมาย ซึ่งดูแล้วน่าจะสูงกว่า ราคาตลาดอยู่ ดังนั้น โอกาสที่ราคาจะไม่สูงกว่าราคารับจำนำ ซึ่งเป็นผลให้ชาวนาไม่ไถ่ถอนข้าว ก็เป็นไปได้อยู่ ดังนั้นจริง ๆ แล้วถ้าต้องการแค่ชะลอการขาย ก็ไม่ควรกำหนดราคารับจำนำสูงเกินไป ทำให้มีความเสี่ยงที่จะไม่ไถ่ถอนกันได้ ซึ่งเป็นผลให้รัฐบาลอาจจะต้องมีข้าวเข้าสต๊อก อีกจำนวนมาก
แต่มีอีกจุดนึงที่สองสามวันนี้ ไม่มีการพูดถึงในกระทู้เกี่ยวกับการจำนำยุ้งฉาง คือเรื่องชนิดข้าวที่รับจำนำยุ้งฉาง เพราะตัวนี้มีความสำคัญเช่นกัน เพราะที่รัฐบาลจะรับจำนำนั้น เป็นเพียงข้าวหอมมะลิ กับข้าวเหนียวเท่านั้น ไม่ได้รับจำนำข้าวเจ้า ที่รัฐบาลมีล้นสต๊อกอยู่ตอนนี้
ดังนั้น เมื่อเป็นข้าวสองชนิดนั้น ถึงแม้จะไม่ไถ่ถอน รัฐบาลก็ไม่น่าจะลำบากในการระบายข้าวมากนัก เพราะเป็นข้าวที่เป็นที่ต้องการของตลาด และโอกาสที่ราคาจะสูงกว่าราคาจำนำ ยังมีความเป็นไปได้อยู่
ความแตกต่างของการจำนำข้าวรัฐบาลยิ่งลักษณ์ กับการจำนำข้าวที่ผ่านมาและกำลังจะทำ
การรับจำนำข้าวในสมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ เป็นการรับจำนำที่แตกต่างจากการรับจำนำในอดีต ที่มีเป้าหมายต้องการชะลออุปทานที่ออกสู่ตลาดพร้อม ๆ กัน แล้วทำให้ราคาตกต่ำ ให้ชาวนาบางส่วน เก็บข้าวไว้ก่อน ไม่รีบนำมาขายพร้อม ๆ กัน เก็บข้าวไว้ก่อน แล้วค่อยนำออกมาขายในช่วงราคาที่เหมาะสม โดยช่วงที่เก็บข้าวไว้ หากจำเป็นต้องใช้เงิน ก็สามารถนำข้าวมาจำนำกับรัฐบาล แล้วนำเงินบางส่วนไปใช้ก่อน เมื่อขายข้าวได้ ก็นำเงินมาไถ่ถอนข้าวไป
แต่การรับจำนำของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ มีความแตกต่างจากหลักคิดนี้อย่างชัดเจน เพราะเป็นการให้ราคารับจำนำในราคานำตลาดมาก และตั้งเป้ากว้านข้าวมาอยู่ในมือรัฐบาลให้ได้เกือบทั้งหมด เพื่อเป็นคนควบคุมกลไกตลาด โดยหวังว่า ราคาข้าวจะสูงขึ้น จนอาจจะสูงกว่าราคารับจำนำ แต่เมื่อที่ผ่านมาทำไม่ได้ ก็ทำให้ ไม่มีการไถ่ถอนข้าวเกิดขึ้น และทำให้เกิดผลเสียหายเกิดขึ้น เกินห้าแสนล้านบาทอย่างที่เห็น
ซึ่งถ้าเป็นการรับจำนำแบบคาดหวังว่าจะมีการไถ่ถอน ถ้าหากไม่มีการเคลื่อนย้ายข้าว ก็ทำให้ทุกฝ่ายสะดวก ไม่ต้องขนย้ายข้าวไปมา ดังนั้น การรับจำนำโดยฝากข้าวไว้กับเกษตรกร ก็เป็นวิธีที่ใช้กันมา ถ้าถึงเวลาชาวนาขายข้าว ก็ค่อยเกิดกระบวนการเคลื่อนย้ายไปสู่ผู้ซื้อที่แท้จริง หรือถ้าหากมีบางส่วน ที่ไม่ไถ่ถอน ค่อยเกิดกระบวนการขนย้ายข้าวมาเข้าสู่โกดังกลางของรัฐบาลต่อไป
เช่นจำนำล้านตัน ไม่ไถ่ถอนหนึ่งแสนตัน ก็ค่อยขนข้าวจำนวนแสนตัน ไม่ใช่ขนทั้งล้านตันมาเก็บ แล้วเวลาไถ่ถอน ก็ยุ่งยากในการขนคืนอีก
ซึ่งจริง ๆ สมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ก็มีการรับจำนำยุ้งฉางเช่นกัน แต่เมื่อเป็นการจำนำแบบไม่มีการไถ่ถอน สุดท้ายก็ต้องขนย้ายข้าวทั้งหมดมาเข้าโกดังกลางอยู่ดี ดังนั้นในปีที่สอง จึงมีการจำนำยุ้งฉางจำนวนไม่มาก
ดังนั้นในครั้งนี้ เมื่อรัฐบาลคิดว่า จำเป็นต้องนำการจำนำกลับมาใช้ ในหลักคิดเดิม ๆ ที่ต้องการชะลอการขายของชาวนา ไม่ใช่ตั้งเป้าสูงถึงขนาดควบคุมกลไกตลาด ผลักดันราคาแบบที่เคยฝันว่าจะทำได้ การรับจำนำยุ้งฉาง ก็เป็นวิธีที่ดีกว่า การรับจำนำใบประทวน แบบที่ทำมา เพราะสุดท้าย ชาวนาส่วนใหญ่ ก็จะต้องขายข้าวเอง ในเวลาที่เห็นว่าเหมาะสม เพราะจะได้เงินเยอะกว่า ราคารับจำนำ
แต่ที่ทำให้การรับจำนำครั้งนี้ มีความผิดปกติ อยู่ก็คือ ราคารับจำนำ ใช้ 90% ของราคาเป้าหมาย ซึ่งดูแล้วน่าจะสูงกว่า ราคาตลาดอยู่ ดังนั้น โอกาสที่ราคาจะไม่สูงกว่าราคารับจำนำ ซึ่งเป็นผลให้ชาวนาไม่ไถ่ถอนข้าว ก็เป็นไปได้อยู่ ดังนั้นจริง ๆ แล้วถ้าต้องการแค่ชะลอการขาย ก็ไม่ควรกำหนดราคารับจำนำสูงเกินไป ทำให้มีความเสี่ยงที่จะไม่ไถ่ถอนกันได้ ซึ่งเป็นผลให้รัฐบาลอาจจะต้องมีข้าวเข้าสต๊อก อีกจำนวนมาก
แต่มีอีกจุดนึงที่สองสามวันนี้ ไม่มีการพูดถึงในกระทู้เกี่ยวกับการจำนำยุ้งฉาง คือเรื่องชนิดข้าวที่รับจำนำยุ้งฉาง เพราะตัวนี้มีความสำคัญเช่นกัน เพราะที่รัฐบาลจะรับจำนำนั้น เป็นเพียงข้าวหอมมะลิ กับข้าวเหนียวเท่านั้น ไม่ได้รับจำนำข้าวเจ้า ที่รัฐบาลมีล้นสต๊อกอยู่ตอนนี้
ดังนั้น เมื่อเป็นข้าวสองชนิดนั้น ถึงแม้จะไม่ไถ่ถอน รัฐบาลก็ไม่น่าจะลำบากในการระบายข้าวมากนัก เพราะเป็นข้าวที่เป็นที่ต้องการของตลาด และโอกาสที่ราคาจะสูงกว่าราคาจำนำ ยังมีความเป็นไปได้อยู่