“หลายครั้งหลายคราที่ภาพลักษณ์ภายนอกตามพิมพ์นิยมของสังคมก็หลอกหลอนจิตใต้สำนึกเรา และบังคับให้เราเชื่อว่ารูปแบบนี้แหละ คือสิ่งที่ดีเลิศและทุกคนควรน้อมรับปฏิบัติตาม”
ตลอดระยะเวลากว่าสองชั่วโมงที่เราสละเวลาอันสมควรแก่การเข้านอนมานั่งในโรงภาพยนตร์ เพื่อชมหนังที่ปากต่อหลายปากก็เร่งเร้าให้เราไปดูให้ได้
Gone Girl หนังกลิ่นไอนีโอนัวร์ ที่ตัวผู้กำกับก็มีความตั้งใจดีในการนำเสนอ และเราเองก็รู้สึกได้ เรื่องราวก็เรียกได้ว่าถูกเล่าออกมาได้ดีผ่านการตัดต่อตามแบบฉบับของหนังสไตล์นี้ หนังยังแอบมีการพูดถึงประเด็นที่ดูจะเป็นเครื่องปรุงหลักก็คือชีวิต(ภายหลังการ)สมรส วิกฤตการณ์เศรษฐกิจที่สหรัฐฯ เคยเผชิญซึ่งตัวผู้กำกับเองก็ดูจงใจกระแหนะกระแหน เพราะนี่เองก็เป็นเหตุผลหลักในการดำเนินไปของเส้นเรื่อง สังคมเมืองและชนบท วัฒนธรรมการเสพสื่อตลอดจนจริยธรรมของสื่อ และท้ายที่สุด แต่ไม่สุดท้าย ก็คือ การเลี้ยงดู นั่นคงรวมถึงสถาบันครอบครัวที่มุ่งเน้นให้บุตรหลานประสบความสำเร็จตามขนบของอเมริกัน
ทั้งหมดทั้งมวล ตัวหนังต้องการฉายภาพความเป็นไปของวัฒนธรรมและค่านิยมบางอย่างที่เกิดขึ้น (มานาน) และดำรงอยู่ในสังคมร่วมสมัย (จะว่าดำรงอยู่อย่างเงียบๆ หรือไม่ คำตอบก็คงไม่ใช่) ที่เราเองก็หลงลืม และปล่อยปะละเลย จนกระทั่งฝันร้ายก็ถือกำเนิดเกิดขึ้น ซึ่งที่ปรากฎในหนัง ถ้าถามเราว่ามันมีอยู่จริงหรือไม่ มันมีอยู่แค่ในนิยายหรือบนแผ่นฟิล์มหรือไม่ เราก็ว่าไม่ใช่ เพราะสิ่งที่เราเห็นตามหน้าหนังสือพิมพ์รายวัน หรือทุกวันนี้ก็บนนิวฟีด สิ่งเหล่านี้แหละที่เป็นคำตอบโดยไร้คำอธิบาย ข่าวอาชญากรรมทั้งหลายที่เกิดขึ้นก็มักจะมีเบื้องหลังมาจากคนที่มีการศึกษาเสมอ
สิ่งเหล่านี้แปลว่าอะไร จะเป็นอะไรไปได้จากการที่ชาวบ้านตาสีตาสา เอาจริงๆ ก็ไม่ใช่แค่คนในชนบท คนเมืองเองที่เสพสื่อ หรือไม่อาจรู้เท่าทันเล่ห์เหลื่อมของคนฉ่อฉล เขาหรือเธอก็คงตกเป็นเหยื่ออยู่ร่ำไป (เราไม่อยากพูดเรื่องการเมืองนะ)
แต่โดยภาพรวม เราว่าประเด็นต่างๆที่หนังพยายามนำเสนอ มันยังขาดพลัง และดูจะมุ่งเน้นไปที่ในอารมณ์นัวร์มากเสียจนกระทั่ง รายละเอียดอีกหลายอย่างที่จะเสริมพลังให้กับหนังถูกลดทอนบทบาทลงไป หรือจะมองอีกมุม เราว่าหนังยังนำเสนอประเด็นดังกล่าวไม่น่าสนใจเพียงพอ และกลายเป็นว่าเราสนุกกับการติดตามเรื่องราวว่าจะเกิดเหตุการณ์อะไรต่อในช๊อตหน้า แต่เมื่อหนังจบ เรากลับรู้สึกว่างเปล่า ทั้งๆ ที่มีประเด็นมากมายอยู่ในหนัง
"มนุษย์เรา ฉลาดเกินไปหรือเปล่า?"
ปล. สัญลักษณ์หลายอย่างก็สวยดีนะ
ร่วมพูดคุยเกี่ยวกับภาพยนตร์ทางเฟสได้เลยน่ะครับ
https://www.facebook.com/survival.king
Tempy Movies Review รีวิวหนัง: Gone Girl {David Fincher}, 2014
“หลายครั้งหลายคราที่ภาพลักษณ์ภายนอกตามพิมพ์นิยมของสังคมก็หลอกหลอนจิตใต้สำนึกเรา และบังคับให้เราเชื่อว่ารูปแบบนี้แหละ คือสิ่งที่ดีเลิศและทุกคนควรน้อมรับปฏิบัติตาม”
ตลอดระยะเวลากว่าสองชั่วโมงที่เราสละเวลาอันสมควรแก่การเข้านอนมานั่งในโรงภาพยนตร์ เพื่อชมหนังที่ปากต่อหลายปากก็เร่งเร้าให้เราไปดูให้ได้
Gone Girl หนังกลิ่นไอนีโอนัวร์ ที่ตัวผู้กำกับก็มีความตั้งใจดีในการนำเสนอ และเราเองก็รู้สึกได้ เรื่องราวก็เรียกได้ว่าถูกเล่าออกมาได้ดีผ่านการตัดต่อตามแบบฉบับของหนังสไตล์นี้ หนังยังแอบมีการพูดถึงประเด็นที่ดูจะเป็นเครื่องปรุงหลักก็คือชีวิต(ภายหลังการ)สมรส วิกฤตการณ์เศรษฐกิจที่สหรัฐฯ เคยเผชิญซึ่งตัวผู้กำกับเองก็ดูจงใจกระแหนะกระแหน เพราะนี่เองก็เป็นเหตุผลหลักในการดำเนินไปของเส้นเรื่อง สังคมเมืองและชนบท วัฒนธรรมการเสพสื่อตลอดจนจริยธรรมของสื่อ และท้ายที่สุด แต่ไม่สุดท้าย ก็คือ การเลี้ยงดู นั่นคงรวมถึงสถาบันครอบครัวที่มุ่งเน้นให้บุตรหลานประสบความสำเร็จตามขนบของอเมริกัน
ทั้งหมดทั้งมวล ตัวหนังต้องการฉายภาพความเป็นไปของวัฒนธรรมและค่านิยมบางอย่างที่เกิดขึ้น (มานาน) และดำรงอยู่ในสังคมร่วมสมัย (จะว่าดำรงอยู่อย่างเงียบๆ หรือไม่ คำตอบก็คงไม่ใช่) ที่เราเองก็หลงลืม และปล่อยปะละเลย จนกระทั่งฝันร้ายก็ถือกำเนิดเกิดขึ้น ซึ่งที่ปรากฎในหนัง ถ้าถามเราว่ามันมีอยู่จริงหรือไม่ มันมีอยู่แค่ในนิยายหรือบนแผ่นฟิล์มหรือไม่ เราก็ว่าไม่ใช่ เพราะสิ่งที่เราเห็นตามหน้าหนังสือพิมพ์รายวัน หรือทุกวันนี้ก็บนนิวฟีด สิ่งเหล่านี้แหละที่เป็นคำตอบโดยไร้คำอธิบาย ข่าวอาชญากรรมทั้งหลายที่เกิดขึ้นก็มักจะมีเบื้องหลังมาจากคนที่มีการศึกษาเสมอ
สิ่งเหล่านี้แปลว่าอะไร จะเป็นอะไรไปได้จากการที่ชาวบ้านตาสีตาสา เอาจริงๆ ก็ไม่ใช่แค่คนในชนบท คนเมืองเองที่เสพสื่อ หรือไม่อาจรู้เท่าทันเล่ห์เหลื่อมของคนฉ่อฉล เขาหรือเธอก็คงตกเป็นเหยื่ออยู่ร่ำไป (เราไม่อยากพูดเรื่องการเมืองนะ)
แต่โดยภาพรวม เราว่าประเด็นต่างๆที่หนังพยายามนำเสนอ มันยังขาดพลัง และดูจะมุ่งเน้นไปที่ในอารมณ์นัวร์มากเสียจนกระทั่ง รายละเอียดอีกหลายอย่างที่จะเสริมพลังให้กับหนังถูกลดทอนบทบาทลงไป หรือจะมองอีกมุม เราว่าหนังยังนำเสนอประเด็นดังกล่าวไม่น่าสนใจเพียงพอ และกลายเป็นว่าเราสนุกกับการติดตามเรื่องราวว่าจะเกิดเหตุการณ์อะไรต่อในช๊อตหน้า แต่เมื่อหนังจบ เรากลับรู้สึกว่างเปล่า ทั้งๆ ที่มีประเด็นมากมายอยู่ในหนัง
"มนุษย์เรา ฉลาดเกินไปหรือเปล่า?"
ปล. สัญลักษณ์หลายอย่างก็สวยดีนะ
ร่วมพูดคุยเกี่ยวกับภาพยนตร์ทางเฟสได้เลยน่ะครับ https://www.facebook.com/survival.king