สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 3
ตอบในมุมศาสนาแล้วกันครับ
ในมุมศาสนามองว่าสิ่งต่างๆที่มีอยู่รอบตัวนั้น แท้จริงแล้วไม่ใช่สิ่งนั้นๆจริงๆ
เช่นรถ จริงๆแล้วก็เกิดจากการประกอบกันของเหล็ก ยาง ไม้ ผ้า เป็นต้น
ความเป็นรถ มันก็มีอยู่ แต่มีอยู่อย่างชั่วคราว ตราบเท่าที่ เหล็กยางไม้ผ้า...ประกอบกันเป็นตัวรถอยุ่
เมื่อไหร่ สิ่งเหล่านี้ชำรุดเสียหายไป ความเป็นรถก็หายไปด้วยเช่นกัน
พูดง่ายๆว่าสิ่งเหล่านี้ มีอยู่ เพราะมีเหตุปัจจัย เมื่อเหตุปัจจัยดับลง สิ่งเหล่านั้นย่อมดับลงตามไปด้วย
แม้คนเอง ก็เป็นส่วนประกอบของธาตุต่างๆมาประกอบกันชั่วขณะเวลาหนี่งๆ
เมื่อถึงเวลาของมัน มันก็ชำรุดเสียหาย แก่ตายไปตามกาลเวลา
ดังนั้นความเป็นตัวตนที่จริงแท้ของสรรพสิ่งนั้น จึงไม่มีอยุ่จริง
เพราะถ้าตัวตนมีอยู่ ตัวตนนั้นก็ควรที่จะไม่เสื่อม ไม่เปลี่ยนแปลง ไม่ดับสลาย สามารถบังคับให้เป็นไปตามที่ต้องการได้
แต่เพราะความเป็นตัวตนที่แท้จริงนั้นไม่มีอยู่จริง จึงมีสภาพที่ทนอยู่ในสภาพเดิมไม่ได้นาน ต้องเปลี่ยนแปลง บังคับบัญชาให้เป็นดังต้องการไม่ได้
ทางพุทธศาสนาจึงสอนให้ปุถุชน ทำความเข้าใจ มองให้ทะลุถึงสภาพที่แท้จริงของทุกสรรพสิ่งนี้
เพื่อละวางความยึดมั่นในสิ่งต่างๆรวมถึงตัวเรา ว่าจะต้องเป็นตามที่เราต้องการ พ่อแม่เราต้องไม่ตาย คนรักต้องรักเรา งานการต้องเจริญก้าวหน้า etc
เพราะแท้จริงแล้ว มันไม่มีสิ่งใดที่เป็นตัวตนที่แท้ แม้แต่ตัวเราเอง แล้วเราจะบังคับควบคุมสิ่งอื่นๆให้เป็นตามที่เราต้องการได้อย่างไร
เมื่อไม่ยึด เมื่อไม่คาดหวัง เมื่อมองเห็นสิ่งต่างๆในสภาพที่มันเป็น
เมื่อสิ่งเหล่านั้น เปลี่ยนแปลงไป ร่างกายเจ็บป่วย คนรักตายจาก งานการไม่เจริญก้าวหน้า etc
ก็๋ย่อมเห็นซึ้งว่าแท้จริงแล้ว ที่เป็นอยู่มันก็เป็นของมันตามสภาพแบบนั้น ไม่ควรที่จะไปยึดไปถือมั่น
เมื่อเห็นซึ้งถึงสภาพแก่นแท้ ย่อมละวางได้ เมื่อละวางได้ ก็หมดความทุกข์ครับ
ในมุมศาสนามองว่าสิ่งต่างๆที่มีอยู่รอบตัวนั้น แท้จริงแล้วไม่ใช่สิ่งนั้นๆจริงๆ
เช่นรถ จริงๆแล้วก็เกิดจากการประกอบกันของเหล็ก ยาง ไม้ ผ้า เป็นต้น
ความเป็นรถ มันก็มีอยู่ แต่มีอยู่อย่างชั่วคราว ตราบเท่าที่ เหล็กยางไม้ผ้า...ประกอบกันเป็นตัวรถอยุ่
เมื่อไหร่ สิ่งเหล่านี้ชำรุดเสียหายไป ความเป็นรถก็หายไปด้วยเช่นกัน
พูดง่ายๆว่าสิ่งเหล่านี้ มีอยู่ เพราะมีเหตุปัจจัย เมื่อเหตุปัจจัยดับลง สิ่งเหล่านั้นย่อมดับลงตามไปด้วย
แม้คนเอง ก็เป็นส่วนประกอบของธาตุต่างๆมาประกอบกันชั่วขณะเวลาหนี่งๆ
เมื่อถึงเวลาของมัน มันก็ชำรุดเสียหาย แก่ตายไปตามกาลเวลา
ดังนั้นความเป็นตัวตนที่จริงแท้ของสรรพสิ่งนั้น จึงไม่มีอยุ่จริง
เพราะถ้าตัวตนมีอยู่ ตัวตนนั้นก็ควรที่จะไม่เสื่อม ไม่เปลี่ยนแปลง ไม่ดับสลาย สามารถบังคับให้เป็นไปตามที่ต้องการได้
แต่เพราะความเป็นตัวตนที่แท้จริงนั้นไม่มีอยู่จริง จึงมีสภาพที่ทนอยู่ในสภาพเดิมไม่ได้นาน ต้องเปลี่ยนแปลง บังคับบัญชาให้เป็นดังต้องการไม่ได้
ทางพุทธศาสนาจึงสอนให้ปุถุชน ทำความเข้าใจ มองให้ทะลุถึงสภาพที่แท้จริงของทุกสรรพสิ่งนี้
เพื่อละวางความยึดมั่นในสิ่งต่างๆรวมถึงตัวเรา ว่าจะต้องเป็นตามที่เราต้องการ พ่อแม่เราต้องไม่ตาย คนรักต้องรักเรา งานการต้องเจริญก้าวหน้า etc
เพราะแท้จริงแล้ว มันไม่มีสิ่งใดที่เป็นตัวตนที่แท้ แม้แต่ตัวเราเอง แล้วเราจะบังคับควบคุมสิ่งอื่นๆให้เป็นตามที่เราต้องการได้อย่างไร
เมื่อไม่ยึด เมื่อไม่คาดหวัง เมื่อมองเห็นสิ่งต่างๆในสภาพที่มันเป็น
เมื่อสิ่งเหล่านั้น เปลี่ยนแปลงไป ร่างกายเจ็บป่วย คนรักตายจาก งานการไม่เจริญก้าวหน้า etc
ก็๋ย่อมเห็นซึ้งว่าแท้จริงแล้ว ที่เป็นอยู่มันก็เป็นของมันตามสภาพแบบนั้น ไม่ควรที่จะไปยึดไปถือมั่น
เมื่อเห็นซึ้งถึงสภาพแก่นแท้ ย่อมละวางได้ เมื่อละวางได้ ก็หมดความทุกข์ครับ
แสดงความคิดเห็น
ที่เขาว่า จริงๆแล้วทุกอย่างบนโลกไม่มีอยู่จริง รวมทั้งตัวเอง มันคืออะไร ยังไง งง
ผมอยากรู้ว่าคนที่เข้าใจเรื่องนี้ เห็นภาพอะไร มีลำดับการคิดยังไงกับเรื่องนี้ จริงๆแล้วมันมีความหมายว่ายังไง และเอามาใช้ในชีวิตประจำวันยังไง เพราะผมก็เห็นว่ามันมีอยู่จริง ตรงหน้าเนี่ย - -
ขอ แท็กทั้ง หว้ากอ และ ศาสนานะครับ ผมอยากเห็นทั้ง2 มุมมอง ขอสุภาพนะครับ
ปล.ผมไม่ได้นับถือศาสนา
ขอบคุณครับ