"ถ้าบนเครื่องบินมีเหตุการณ์ฉุกเฉิน คุณผู้โดยสารจะช่วยฉันไหมคะ"
พนักงานต้อนรับบนเครื่องบินถามผมในขณะที่ผมกำลังพยายามแก้สายหูฟังที่พันกันอย่างยุ่งเหยิงในซองไอพอดของผมออก ทำให้ผมได้ยินสิ่งที่พนักงาน(สาว)ต้อนรับบอกกับผมไม่ชัดเจน
"ถ้าเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉินบนเครื่องบิน แล้วเราต้องร่อนลงจอด คุณผู้โดยสารจะช่วยดิฉันเปิดประตูฉุกเฉินได้ไหมคะ"
พนักงานต้อนรับบนเครื่องบินพูดพร้อมผายมือออกไปยังที่นั่งริมหน้าต่างในแถวที่ผมอยู่ ที่ตรงนั้นมีตัวหนังสือเขียนไว้เป็นภาษาอังกฤษว่า "Emergency exit"
และนั่นก็ทำให้ผมนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้
40 นาทีก่อนหน้านี้
ผมอยู่ที่สนามบินเชียงราย เวลาขณะนั้นประมาณ 19.30 น. เที่ยวบินของผมตามกำหนดการณ์แล้วจะออกเดินทางราวๆ 20.10 น. ผมจึงยังมีเวลาอ้อยอิ่งพอที่จะค่อยๆเดินไปเช็กอินที่เคาเตอร์ของสายการบินที่จองไว้ หลังจากทักทายพนักงานต้อนรับภาคพื้นดินพอเป็นพิธีแล้วผมจึงยื่นใบจองตั๋วเครื่องบินที่ได้ปรินท์เตรียมออกมาไว้ให้กับพนักงานหนุ่มพร้อมกับบัตรประชาชน พนักงานต้อนรับภาคพื้นดินหนุ่มเช็กเอกสารของผมอยู่ครู่หนึ่งแล้วบอกกับผมว่า
"คุณผู้โดยสาร ถ้าได้ที่นั่งฉุกเฉินจะสะดวกไหมครับ"
ที่นั่งฉุกเฉิน ที่นั่งฉุกเฉินคืออะไร ผมไม่ค่อยได้นั่งเครื่องบินบ่อยนักจึงไม่คุ้นเคยกับคำนี้
"ที่นั่งฉุกเฉิน เป็นที่นั่งที่ติดกับประตูฉุกเฉินครับ" พนักงานหนุ่มตอบ
ผมคิดว่าไอ้ที่นั่งฉุกเฉินที่ติดกับประตูฉุกเฉินนี่มันคงมีทางเดินฉุกเฉินและอะไรฉุกเฉินเต็มไปหมด
ผมจึงถามกลับไปว่า
"แล้วมีที่นั่งริมหน้าต่างไหมครับตอนนี้"
พนักงานหนุ่มก้มหน้าเช็กในคอมพิวเตอร์ครู่นึง จึงตอบกลับมาว่า
"ตอนนี้เหลือที่นั่งฉุกเฉินริมทางเดินกับ ที่นั่งปกติแต่เป็นที่นั่งตรงกลางระหว่างผู้โดยสาร 2 ข้างนะครับ"
ผมชั่งใจคิดอยุ่ครู่หนึ่ง แล้วคิดว่าอย่างน้อยถ้านั่งริมทางเดินก็จะมีพนักเป็นของตัวเองข้างหนึ่งละน่ะ เลยตัดสินใจเลือกที่นั่งฉุกเฉินริมทางเดิน
"ดีเลยครับ ที่นั่งฉุกเฉินเนี่ยจะมีขนาดกว้างกว่าที่นั่งปกติ สามารถนั่งได้สบายเลยล่ะครับ"
พนักงานหนุ่มรับคำผมแล้วก้มหน้าง่วนอยู่กับอะไรสักอย่างหนึ่ง ซึ่งตามปกติแล้วมันไม่น่าจะนานขนาดนี้
สักพักพนักงานหนุ่มจึงเงยหน้าขึ้นมาแล้วถามผมว่า
"คุณผู้โดยสารมีอาการปวดหลัง ปวดไหล่หรือเปล่าครับ"
"ห่ะ อะไรนะครับ" ผมได้ยินคำถามนี้ชัดเจนดี แต่เกิดอาการสงสัยว่าคำถามนี้มันเกี่ยวอะไรกับการออกตั๋วเครื่องบิน
"คุณผู้โดยสารมีอาการปวดแขน ปวดไหล่ หรือยกของหนักไม่ได้หรือเปล่าครับ"
อืม ผมไม่แน่ใจว่าคำถามนี้จะเกี่ยวอะไรแต่ก็ตอบไปตามตรง
"ตอนนี้ยังไม่ค่อยปวดครับ แต่บางทีนั่งทำงานนานๆก็ปวดไหล่เหมือนกัน"
ผมไม่แน่ใจว่าคำตอบที่ตอบไปนั้นตรงกับคำถามที่พนักงานหนุ่มถามผมหรือไม่ แต่อย่างไรก็แล้วแต่พนักงานหนุ่มก็ยื่นตั๋วเครื่องบินให้ผม
"เดินทางปลอดภัยนะครับ" พนักงานหนุ่มกล่าวส่งท้าย
อันที่จริงผมน่าจะรู้สึกตัวตั้งแต่ตอนนั้นแล้วว่านี่เป็นสัญญาณอะไรบางอย่าง
ตั้งแต่ตอนที่พนักงานหนุ่มพยายามเชื้อชวนให้ผมเลือกที่นั่งฉุกเฉินโดยความสมัครใจของผมเอง หรือตั้งแต่ตอนที่ผมซื้อน้ำหวานที่ขายเกินราคาจากร้านค้าในสนามบิน หรือตอนที่ผมเดินผ่านพนักงานรักษาความปลอดภัยที่บอกผมว่าผมไม่สามารถนำของเหลวพลางชี้ไปที่ขวดน้ำหวานที่ผมเพิ่งจะจิบไปได้นิดเดียวเข้ามาในบริเวณที่นั่งรอเครื่องบินได้ หรือตอนที่ผมต้องกระดกน้ำหวานขนาดความจุ 500 มิลลิลิตร ที่กะจะค่อยๆจิบขณะรอเครื่องบิน เป็นการกระดกทีเดียวหมดส่งผลให้ระดับน้ำตาลในร่างกายผมสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ทั้งหมดนี้มันน่าจะเป็นสัญญาณที่บอกผมให้เตรียมตัวไว้ เหมือนที่ลุงเบนเคยบอกผมไว้ว่า
"ความสามารถอันยิ่งใหญ่ มาพร้อมกับความรับผิดชอบอันใหญ่ยิ่ง"
"ถ้าเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉินบนเครื่องบิน แล้วเราต้องร่อนลงจอด คุณผู้โดยสารจะช่วยดิฉันเปิดประตูฉุกเฉินได้ไหมคะ"
เสียงของพนักงานต้อนรับสาวดึงผมออกมาจากภวังค์
"ได้เลยน้อง" ลุงผมยาวตัวอ้วนที่นั่งข้างผมตอบเสียงดังฟังชัดในขณะที่ผมและผู้โดยสารรอบๆตอบกันแบบงึมงำ
"ขอบคุณค่ะ ในกรณีที่มีเหตุฉุกเฉินนะคะ เครื่องบินเราอาจต้องลงจอดอาจจะเป็นทางบกหรือทางน้ำ พอเครื่องบินจอดสนิท ทางเราต้องขอแรงคุณผู้โดยสารช่วยเปิดประตูฉุกเฉินด้วยนะคะ แต่หากคุณผู้โดยสารเห็นว่าข้างนอกนั้นมีเพลิงไหม้ หรือเห็นว่าเครื่องบินส่วนนั้นจมน้ำอยู่ ก็ไม่ต้องเปิดประตูฉุกเฉินนะคะ เราจะใช้ทางออกฉุกเฉินด้านหน้าและด้านหลังแทน ส่วนวิธีการเปิดนั้นเรามีคู่มืออยู่ในพนักด้านหน้าให้คุณผู้โดยสารลองอ่านดูนะคะ"
พนักงานต้อนรับสาวพูดจบพลางยิ้มละไม
"โอ้ เยี่ยมเลย ขอผมลองเปิดดูได้ไหม" ลุงผมยาวที่นั่งข้างผมเอ่ยปาก
ผมแอบคิดในใจว่าบางทีลุงแกอาจจะอยากลองเชิงหรือกวนตีน แต่พนักงานต้อนรับสาวเองก็ไม่ได้ยี่หระใดๆ บางทีอาจมีคนขอลองเปิดมาหลายครั้งแล้วก็ได้
"ไม่ได้นะคะ ประตูฉุกเฉินจะเปิดได้ก็ต่อเมื่อมีเหตุฉุกเฉินและเครื่องบินจอดสนิทเท่านั้นค่ะ" พนักงานต้อนรับสาวกล่าวเรียบๆแต่เด็ดขาด
คุณลุงเองก็ไม่ได้ต่อปากต่อคำอะไร แกหยิบคู่มือขึ้นมานั่งพลิกดู 2-3 ทีก่อนจะหยิบวางลงไปที่เดิม
พนักงานต้อนรับสาวมองไปรอบๆ ก่อนจะกล่าวขอบคุณกลุ่มผู้โดยสารที่ได้รับมอบหมายหน้าที่นี้อันได้แก่ คุณลุงผมยาวที่นั่งอยุ่ข้างผมกับแฟนของแก คู่ลุงป้าในที่นั่งข้างหน้าผม ฝรั่งที่นั่งอยู่คนเดียวตรงที่นั่งแถวข้างผมและผู้โดยสารปกติในที่นั่งเยื้องถัดไป
ตอนนี้ความหวังในการดูแลรักษาความปลอดภัยของผู้โดยสาร(ในกรณีที่เกิดเหตุฉุกเฉิน) ของเครื่องบินลำนี้ได้ตกอยู่ในความรับผิดชอบ (ส่วนน้อยนิด) ของผมแล้ว ผมเริ่มรู้สึกราวกับว่าตัวเองเป็น ลุงเลียม นีลสัน จาก Nonstop นี่สินะที่ว่าเขาว่าสถานการณ์สร้างวีรบุรุษ ซึ่งผมคิดว่าไม่น่าจะมีผมคนเดียวที่รู้สึกแบบนี้ อย่างน้อยลุงผมยาวที่นั่งข้างผมก็น่าจะรู้สึกฮึดขึ้นมาเหมือนกัน สังเกตได้จากแกหันไปบอกแฟนของแกที่นั่งอยุ่ริมทางออกฉุกเฉินว่า
"นี่เธอน่ะ เรามาแลกที่กัน ฉันแข็งแรงกว่าเธอมีเหตุการณ์อะไรขึ้นมาจะได้ไม่เสียเวลา"
ลุงแกพูดจบก็ขยับตัวลุกขึ้นยืนแล้วสลับที่นั่งไปนั่งริมหน้าต่างแทนแฟนของแก
นี่สิคนไทยไม่ทิ้งกัน ผมชื่นชมในลุงร่างอ้วนผมยาวที่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าส่วนตน ถ้าเราทุกคนเห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวมมาก่อนสังคมก็คงจะดีขึ้นไม่น้อย
คิดได้ดังนั้นผมจึงเริ่มทบทวนขั้นตอนการเปิดประตูฉุกเฉินจากรูปอินโฟกราฟฟิกที่มีไว้ให้ ประตูฉุกเฉินที่ว่านี้มีลักษณะไม่เหมือนประตูทั่วไป พูดง่ายๆคือไม่มีที่จับลูกบิดอะไรทั้งสิ้น ถ้ามันไม่มีคำว่าฉุกเฉินติดอยู่ ผมก็จะไม่สังเกตุด้วยซ้ำว่ามันคือประตู ขั้นตอนการเปิดเองก็ง่ายๆไม่มีอะไรซับซ้อน โดยเริ่มจากให้คุณใช้มือขวาทำการกระชากผนังบางที่ซ่อนที่เปิดประตูออกมา พอผนังส่วนนั้นหลุดออกมาแล้วคุณก็จะเห็นแกนสำหรับกระชากคล้ายพวกเบรกฉุกเฉินบนรถไฟฟ้า จากนั้นให้คุณกระชากเจ้าแกนจับที่ว่านั้น พร้อมกับประคองผนังส่วนล่างไว้ด้วย เพราะหลังจากดึงแกนจับลงมาแล้ว ผนังทั้งผนังจะหลุดออกมาเลย
ผมไม่แน่ใจว่าขั้นตอนหลังจากนี้จะเป็นยังไง เพราะตามรูปตัวอย่างอินโฟกราฟฟิกแล้วเป็นรูปผู้โดยสารอุ้มเจ้าประตูฉุกเฉินที่ว่านี้ไว้ ในนั้นไม่ได้บอกว่าให้ทิ้งไว้นอกเครื่องหรือว่าเก็บไว้กับตัว แต่ถ้าเป็นผม ผมอาจจะใช้เจ้าประตูฉุกเฉินนี่ล่ะเป็นเลื่อนแล้วไถลลงไปพร้อมกันเลย
ผมซักซ้อมขั้นตอนในใจจนคิดว่าจำได้แล้วจึงทำตัวปกติไม่ให้มีพิรุธ แล้วเฝ้ารอเหตุการณ์ฉุกเฉินที่อาจจะเกิดขึ้นได้ทุกเวลา ไม่นานนักพนักงานต้อนรับก็นำอาหารมาเสิร์ฟตามปกติ ผมก็ทำตัวตามปกติ ฟังเพลงบนไอพอดของผมตามปกติ เหตุการณ์ทุกอย่างดูปกติตามอย่างที่เที่ยวบินควรจะเป็น เรามีจังหวะตกหลุมอากาศตามปกติสัก 2-3 ครั้ง แต่นอกนั้นแล้วเที่ยวบินนี้ก็สงบดี ไม่มีเหตุการณ์ฉุกเฉินใดๆเกิดขึ้นเลย
ถ้าคุณบังเอิญได้ที่นั่งฉุกเฉิน ที่ติดกับประตูฉุกเฉิน ขอให้คุณรู้ไว้ว่านี่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่โอกาสที่คุณจะได้เป็นวีรบุรุษนั้นมาถึงแล้ว
ประตูฉุกเฉิน
"ถ้าบนเครื่องบินมีเหตุการณ์ฉุกเฉิน คุณผู้โดยสารจะช่วยฉันไหมคะ"
พนักงานต้อนรับบนเครื่องบินถามผมในขณะที่ผมกำลังพยายามแก้สายหูฟังที่พันกันอย่างยุ่งเหยิงในซองไอพอดของผมออก ทำให้ผมได้ยินสิ่งที่พนักงาน(สาว)ต้อนรับบอกกับผมไม่ชัดเจน
"ถ้าเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉินบนเครื่องบิน แล้วเราต้องร่อนลงจอด คุณผู้โดยสารจะช่วยดิฉันเปิดประตูฉุกเฉินได้ไหมคะ"
พนักงานต้อนรับบนเครื่องบินพูดพร้อมผายมือออกไปยังที่นั่งริมหน้าต่างในแถวที่ผมอยู่ ที่ตรงนั้นมีตัวหนังสือเขียนไว้เป็นภาษาอังกฤษว่า "Emergency exit"
และนั่นก็ทำให้ผมนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้
40 นาทีก่อนหน้านี้
ผมอยู่ที่สนามบินเชียงราย เวลาขณะนั้นประมาณ 19.30 น. เที่ยวบินของผมตามกำหนดการณ์แล้วจะออกเดินทางราวๆ 20.10 น. ผมจึงยังมีเวลาอ้อยอิ่งพอที่จะค่อยๆเดินไปเช็กอินที่เคาเตอร์ของสายการบินที่จองไว้ หลังจากทักทายพนักงานต้อนรับภาคพื้นดินพอเป็นพิธีแล้วผมจึงยื่นใบจองตั๋วเครื่องบินที่ได้ปรินท์เตรียมออกมาไว้ให้กับพนักงานหนุ่มพร้อมกับบัตรประชาชน พนักงานต้อนรับภาคพื้นดินหนุ่มเช็กเอกสารของผมอยู่ครู่หนึ่งแล้วบอกกับผมว่า
"คุณผู้โดยสาร ถ้าได้ที่นั่งฉุกเฉินจะสะดวกไหมครับ"
ที่นั่งฉุกเฉิน ที่นั่งฉุกเฉินคืออะไร ผมไม่ค่อยได้นั่งเครื่องบินบ่อยนักจึงไม่คุ้นเคยกับคำนี้
"ที่นั่งฉุกเฉิน เป็นที่นั่งที่ติดกับประตูฉุกเฉินครับ" พนักงานหนุ่มตอบ
ผมคิดว่าไอ้ที่นั่งฉุกเฉินที่ติดกับประตูฉุกเฉินนี่มันคงมีทางเดินฉุกเฉินและอะไรฉุกเฉินเต็มไปหมด
ผมจึงถามกลับไปว่า
"แล้วมีที่นั่งริมหน้าต่างไหมครับตอนนี้"
พนักงานหนุ่มก้มหน้าเช็กในคอมพิวเตอร์ครู่นึง จึงตอบกลับมาว่า
"ตอนนี้เหลือที่นั่งฉุกเฉินริมทางเดินกับ ที่นั่งปกติแต่เป็นที่นั่งตรงกลางระหว่างผู้โดยสาร 2 ข้างนะครับ"
ผมชั่งใจคิดอยุ่ครู่หนึ่ง แล้วคิดว่าอย่างน้อยถ้านั่งริมทางเดินก็จะมีพนักเป็นของตัวเองข้างหนึ่งละน่ะ เลยตัดสินใจเลือกที่นั่งฉุกเฉินริมทางเดิน
"ดีเลยครับ ที่นั่งฉุกเฉินเนี่ยจะมีขนาดกว้างกว่าที่นั่งปกติ สามารถนั่งได้สบายเลยล่ะครับ"
พนักงานหนุ่มรับคำผมแล้วก้มหน้าง่วนอยู่กับอะไรสักอย่างหนึ่ง ซึ่งตามปกติแล้วมันไม่น่าจะนานขนาดนี้
สักพักพนักงานหนุ่มจึงเงยหน้าขึ้นมาแล้วถามผมว่า
"คุณผู้โดยสารมีอาการปวดหลัง ปวดไหล่หรือเปล่าครับ"
"ห่ะ อะไรนะครับ" ผมได้ยินคำถามนี้ชัดเจนดี แต่เกิดอาการสงสัยว่าคำถามนี้มันเกี่ยวอะไรกับการออกตั๋วเครื่องบิน
"คุณผู้โดยสารมีอาการปวดแขน ปวดไหล่ หรือยกของหนักไม่ได้หรือเปล่าครับ"
อืม ผมไม่แน่ใจว่าคำถามนี้จะเกี่ยวอะไรแต่ก็ตอบไปตามตรง
"ตอนนี้ยังไม่ค่อยปวดครับ แต่บางทีนั่งทำงานนานๆก็ปวดไหล่เหมือนกัน"
ผมไม่แน่ใจว่าคำตอบที่ตอบไปนั้นตรงกับคำถามที่พนักงานหนุ่มถามผมหรือไม่ แต่อย่างไรก็แล้วแต่พนักงานหนุ่มก็ยื่นตั๋วเครื่องบินให้ผม
"เดินทางปลอดภัยนะครับ" พนักงานหนุ่มกล่าวส่งท้าย
อันที่จริงผมน่าจะรู้สึกตัวตั้งแต่ตอนนั้นแล้วว่านี่เป็นสัญญาณอะไรบางอย่าง
ตั้งแต่ตอนที่พนักงานหนุ่มพยายามเชื้อชวนให้ผมเลือกที่นั่งฉุกเฉินโดยความสมัครใจของผมเอง หรือตั้งแต่ตอนที่ผมซื้อน้ำหวานที่ขายเกินราคาจากร้านค้าในสนามบิน หรือตอนที่ผมเดินผ่านพนักงานรักษาความปลอดภัยที่บอกผมว่าผมไม่สามารถนำของเหลวพลางชี้ไปที่ขวดน้ำหวานที่ผมเพิ่งจะจิบไปได้นิดเดียวเข้ามาในบริเวณที่นั่งรอเครื่องบินได้ หรือตอนที่ผมต้องกระดกน้ำหวานขนาดความจุ 500 มิลลิลิตร ที่กะจะค่อยๆจิบขณะรอเครื่องบิน เป็นการกระดกทีเดียวหมดส่งผลให้ระดับน้ำตาลในร่างกายผมสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ทั้งหมดนี้มันน่าจะเป็นสัญญาณที่บอกผมให้เตรียมตัวไว้ เหมือนที่ลุงเบนเคยบอกผมไว้ว่า
"ความสามารถอันยิ่งใหญ่ มาพร้อมกับความรับผิดชอบอันใหญ่ยิ่ง"
"ถ้าเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉินบนเครื่องบิน แล้วเราต้องร่อนลงจอด คุณผู้โดยสารจะช่วยดิฉันเปิดประตูฉุกเฉินได้ไหมคะ"
เสียงของพนักงานต้อนรับสาวดึงผมออกมาจากภวังค์
"ได้เลยน้อง" ลุงผมยาวตัวอ้วนที่นั่งข้างผมตอบเสียงดังฟังชัดในขณะที่ผมและผู้โดยสารรอบๆตอบกันแบบงึมงำ
"ขอบคุณค่ะ ในกรณีที่มีเหตุฉุกเฉินนะคะ เครื่องบินเราอาจต้องลงจอดอาจจะเป็นทางบกหรือทางน้ำ พอเครื่องบินจอดสนิท ทางเราต้องขอแรงคุณผู้โดยสารช่วยเปิดประตูฉุกเฉินด้วยนะคะ แต่หากคุณผู้โดยสารเห็นว่าข้างนอกนั้นมีเพลิงไหม้ หรือเห็นว่าเครื่องบินส่วนนั้นจมน้ำอยู่ ก็ไม่ต้องเปิดประตูฉุกเฉินนะคะ เราจะใช้ทางออกฉุกเฉินด้านหน้าและด้านหลังแทน ส่วนวิธีการเปิดนั้นเรามีคู่มืออยู่ในพนักด้านหน้าให้คุณผู้โดยสารลองอ่านดูนะคะ"
พนักงานต้อนรับสาวพูดจบพลางยิ้มละไม
"โอ้ เยี่ยมเลย ขอผมลองเปิดดูได้ไหม" ลุงผมยาวที่นั่งข้างผมเอ่ยปาก
ผมแอบคิดในใจว่าบางทีลุงแกอาจจะอยากลองเชิงหรือกวนตีน แต่พนักงานต้อนรับสาวเองก็ไม่ได้ยี่หระใดๆ บางทีอาจมีคนขอลองเปิดมาหลายครั้งแล้วก็ได้
"ไม่ได้นะคะ ประตูฉุกเฉินจะเปิดได้ก็ต่อเมื่อมีเหตุฉุกเฉินและเครื่องบินจอดสนิทเท่านั้นค่ะ" พนักงานต้อนรับสาวกล่าวเรียบๆแต่เด็ดขาด
คุณลุงเองก็ไม่ได้ต่อปากต่อคำอะไร แกหยิบคู่มือขึ้นมานั่งพลิกดู 2-3 ทีก่อนจะหยิบวางลงไปที่เดิม
พนักงานต้อนรับสาวมองไปรอบๆ ก่อนจะกล่าวขอบคุณกลุ่มผู้โดยสารที่ได้รับมอบหมายหน้าที่นี้อันได้แก่ คุณลุงผมยาวที่นั่งอยุ่ข้างผมกับแฟนของแก คู่ลุงป้าในที่นั่งข้างหน้าผม ฝรั่งที่นั่งอยู่คนเดียวตรงที่นั่งแถวข้างผมและผู้โดยสารปกติในที่นั่งเยื้องถัดไป
ตอนนี้ความหวังในการดูแลรักษาความปลอดภัยของผู้โดยสาร(ในกรณีที่เกิดเหตุฉุกเฉิน) ของเครื่องบินลำนี้ได้ตกอยู่ในความรับผิดชอบ (ส่วนน้อยนิด) ของผมแล้ว ผมเริ่มรู้สึกราวกับว่าตัวเองเป็น ลุงเลียม นีลสัน จาก Nonstop นี่สินะที่ว่าเขาว่าสถานการณ์สร้างวีรบุรุษ ซึ่งผมคิดว่าไม่น่าจะมีผมคนเดียวที่รู้สึกแบบนี้ อย่างน้อยลุงผมยาวที่นั่งข้างผมก็น่าจะรู้สึกฮึดขึ้นมาเหมือนกัน สังเกตได้จากแกหันไปบอกแฟนของแกที่นั่งอยุ่ริมทางออกฉุกเฉินว่า
"นี่เธอน่ะ เรามาแลกที่กัน ฉันแข็งแรงกว่าเธอมีเหตุการณ์อะไรขึ้นมาจะได้ไม่เสียเวลา"
ลุงแกพูดจบก็ขยับตัวลุกขึ้นยืนแล้วสลับที่นั่งไปนั่งริมหน้าต่างแทนแฟนของแก
นี่สิคนไทยไม่ทิ้งกัน ผมชื่นชมในลุงร่างอ้วนผมยาวที่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าส่วนตน ถ้าเราทุกคนเห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวมมาก่อนสังคมก็คงจะดีขึ้นไม่น้อย
คิดได้ดังนั้นผมจึงเริ่มทบทวนขั้นตอนการเปิดประตูฉุกเฉินจากรูปอินโฟกราฟฟิกที่มีไว้ให้ ประตูฉุกเฉินที่ว่านี้มีลักษณะไม่เหมือนประตูทั่วไป พูดง่ายๆคือไม่มีที่จับลูกบิดอะไรทั้งสิ้น ถ้ามันไม่มีคำว่าฉุกเฉินติดอยู่ ผมก็จะไม่สังเกตุด้วยซ้ำว่ามันคือประตู ขั้นตอนการเปิดเองก็ง่ายๆไม่มีอะไรซับซ้อน โดยเริ่มจากให้คุณใช้มือขวาทำการกระชากผนังบางที่ซ่อนที่เปิดประตูออกมา พอผนังส่วนนั้นหลุดออกมาแล้วคุณก็จะเห็นแกนสำหรับกระชากคล้ายพวกเบรกฉุกเฉินบนรถไฟฟ้า จากนั้นให้คุณกระชากเจ้าแกนจับที่ว่านั้น พร้อมกับประคองผนังส่วนล่างไว้ด้วย เพราะหลังจากดึงแกนจับลงมาแล้ว ผนังทั้งผนังจะหลุดออกมาเลย
ผมไม่แน่ใจว่าขั้นตอนหลังจากนี้จะเป็นยังไง เพราะตามรูปตัวอย่างอินโฟกราฟฟิกแล้วเป็นรูปผู้โดยสารอุ้มเจ้าประตูฉุกเฉินที่ว่านี้ไว้ ในนั้นไม่ได้บอกว่าให้ทิ้งไว้นอกเครื่องหรือว่าเก็บไว้กับตัว แต่ถ้าเป็นผม ผมอาจจะใช้เจ้าประตูฉุกเฉินนี่ล่ะเป็นเลื่อนแล้วไถลลงไปพร้อมกันเลย
ผมซักซ้อมขั้นตอนในใจจนคิดว่าจำได้แล้วจึงทำตัวปกติไม่ให้มีพิรุธ แล้วเฝ้ารอเหตุการณ์ฉุกเฉินที่อาจจะเกิดขึ้นได้ทุกเวลา ไม่นานนักพนักงานต้อนรับก็นำอาหารมาเสิร์ฟตามปกติ ผมก็ทำตัวตามปกติ ฟังเพลงบนไอพอดของผมตามปกติ เหตุการณ์ทุกอย่างดูปกติตามอย่างที่เที่ยวบินควรจะเป็น เรามีจังหวะตกหลุมอากาศตามปกติสัก 2-3 ครั้ง แต่นอกนั้นแล้วเที่ยวบินนี้ก็สงบดี ไม่มีเหตุการณ์ฉุกเฉินใดๆเกิดขึ้นเลย
ถ้าคุณบังเอิญได้ที่นั่งฉุกเฉิน ที่ติดกับประตูฉุกเฉิน ขอให้คุณรู้ไว้ว่านี่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่โอกาสที่คุณจะได้เป็นวีรบุรุษนั้นมาถึงแล้ว