[CR] เที่ยวอินเดียลุยๆ สไตล์เด็กศิลป์ Part 2

-สถานีต่อไปเมือง  Agra
     ตื่นแต่เช้าเตรียมตัว เอาไปแต่ของสำคัญอย่าลืมกล้องเด็ดขาด  พาสปอร์ตด้วย เมืองนี้เราเดินทางแบบไปเช้า-เย็นกลับ เลยต้องออกแต่เช้าหน่อย เดินทางไปโดยรถไฟ  แค่พูดถึงรถไฟก็ตื่นเต้นแล้ว  นี่มันสถานที่ในตำนานชัดๆอยากจะลองนั้งมานานแล้วว่าจะเหมือนรถไฟไทยหรือป่าว  เคยเห็นพวกภาพและเรื่องราวรถไฟที่อินเดียจากเน็ตมาอยู่บ้าง ก็อยากจะลองนั้งจริงๆสักครั้ง  แล้วเรื่องที่โครตพลาดก็คือ ดันใส่ชุดเดรสกระโปรงไปไง ใครจะรู้รถไฟอินเดีย  เขามีชั้นข้างบนให้ปีนขึ้นไปนั้งได้ แล้วมันไม่ได้มีบันไดให้ปีนนะ คือใช้ความสามารถในการปีนของแต่ละคนล่วนๆ แล้วไอบ้าเอ่ยข้าใส่กระโปรงมานะ หึมมตัดสินใจอยู่นานว่าจะปีนยังไง สุดท้ายก็ต้องปีนเพราะเหมือนว่าการนั้งชั้นบนมันปลอดภัยว่าข้างล่าง  แล้วตอนนั้นก็มีที่ตรงนั้นว่างพอดี  คือเรารู้เลยว่าคนอินเดียนี่คงแอบมอง กางเกงในเรายับอ่ะ แต่พลาดจริงๆ เตือนไว้สำหรับสาวๆที่อยากจะลองนั้งรถไฟละกัน  อย่างลิอาจอยากสวยใส่กระโปรงเที่ยว  แล้วนั้งรถไฟนะ โดยแอบดูกางเกงในฟรีแน่ๆ ฮ่าๆๆ


(สถานีรถไฟ  พอดีตอนนั้นรีบมากเลยจำชื่อสถานีไม่ได้)

-ถึงซะที เมือง "Agra"
    นั้งรถตั้งแต่แปดโมงเช้าถึงราวๆเที่ยงกว่า นั้งประมาณ 4 ชม. อยู่ที่ว่ารถมันจะจอดนานแค่ไหน ก็คล้ายๆรถไฟไทยอ่ะแหละเรทตลอด บนรถก็มีคนมาขายของกินตลอด หลังจากลงรถเราเดินทางไป Tal Mahal  โดยแท็กซี่คะมีให้เลือกเยอะ  ออกมาหน้าสถานีก็มีเต็มเลย  ราคาประมาณ 700 รูปี ที่แพงเพราะมันเป็นแท็กซี่แบบมีแอร์เลยอ่ะ  และเหมือนคนส่วนใหญ่ก็มาที่นี่เพื่อมาดู Taj Mahal  มันก็เลยชาร์จหน่อยแหละปกติ  ระหว่างทางบนรถคนขับแท็กซี่ก็ชวนคุยตลอด ไม่รู้จะถามอะไรหนักหนา เราไม่ค่อยสนใจหรอก เป็นคนชอบมองออกไปนอกกระจก เพื่อสังเกตถึงความแตกต่าง ผู้คน สถาปัตยกรรมตร์ และงานศิลปะ ของเมืองนั้นๆ ว่าเป็นอย่างไรบ้าง

-ถึงซะที  "Taj Mahal"  สถาปัตยกรรมแห่งความรัก


"Taj Mahal"

    มาเริ่มต้นกันด้วยภาพอนุสรณ์แห่งความรักก่อนเลย ก่อนจะมาลองเข้าไปเสิร์ซอ่านประวัติความเป็นมาในกูเกิลสักนิดมันจะทำให้การมา Taj Mahal ของคุณวิเศษยิ่งขึ้นไปอีกหลายเท่า เราเองตอนไปก็แทบไม่ได้รู้อะไรมาก รู้แค่เป็นอนุสรณ์แห่งความรักที่กษัตริย์พระองค์หนึ่ง สร้างให้กับพระมเหสีพระองค์หนึ่งเท่านั้นเอง  แต่เรื่องราวของมันพอเราได้ไปอ่านแล้วรู้สึกซึ่งมาก ที่จะมีใครรักกันได้มากขนาดนี้ และเป็นสถาปัตยกรรมที่งดงามสมคำล่ำลือจริงๆ ค่าเข้าชม  Taj Mahal ราคา 750 รูปีคะ เขาก็จะมีน้ำเปล่าให้ขวดนึง กับถุงผ้าเอาไว้ใส่เท้ากันเปื่อยคะ(คงไม่ได้กันเท้าเราเปื่อยหรอกนะคะ น่าจะกันอนุสรณ์เขาเปื่อยมากกว่า )
    ไม่รู้นี่จะเรียกว่าทริคได้ไหม คือมันค่อนข้างจะร้อนมากเท้าแทบไหม้  และอีกอย่างหนึ่งน่าจะสำคัญนะ คือถ้าสาวๆนักเที่ยวคนไหนที่ไม่อยากดำ (รู้ว่าสาวไทยชอบขาวๆ) แนะนำว่าอย่าใส่เดรสสายเดี่ยวแบบเรานะ ได้ดำแน่ๆ ขนานเราเป็นพวกบ้าผิวแทน คือตอนนี้ที่หลังยังเป็นรอยเสื้อไม่หายเลย เออแล้วอีกอย่างนึง ถ้าคุณมีผิวที่ค่อนขาวหน้าออกหมวยๆหน่อย  คุณจะหลีกเลี่ยงไม่ได้เลยกับการที่จะมีคนอินเดียมาขอถ่ายรูปคุณตลอดเวลา แบบเหมือนเป็นดารายังไงยังงั้นเลย  เราโดนไปเกือบ 20 คน ตอนนั้นคิดในหัวว่าถ้าไม่มีตังกลับไทยนะ กูจะยืนถือป้ายเก็บตังคนมาขอถ่ายรูปแน่ๆ แต่ก็เป็นประสบการณ์ที่ฮาดีไปอีกแบบ


(เด็กอินเดีย มาถ่ายรูปด้วย น่ารักมากๆ)

-ออกมาได้แล้ว สักทีเถอะ!!
    หลังจากนั้งๆ นอนๆ เดินไปเดินมา ถ่ายรูป(อยู่ยังกับบ้านตัวเอง)อยู่เกิบสามชั่วโมง เพื่อ?? กลัวไม่คุ้ม 750 ไง!!เดินออกมาเหอะ  เออแล้วบัตรที่เขาให้มาก็อย่าเพิ่งทิ้งนะ  รู้สึกว่าตอนเข้าห้องน้ำมันจะต้องใช้ด้วย เมื่อออกจาก Taj Mahal ทางประตูด้านข้างก็จะเจอกับตลาด ที่ขายของที่ระลึกมากมาย  เราเองไม่ได้ซื้ออะไรหรอก เป็นมนุษย์ที่ขี้เกียจแบกของไปแบบจนๆ แล้วอีกอย่างที่สำคัญคือประเทศอินเดีย เป็นประเทศที่ตรวจแบบเข้มงวดมากนะ  ไม่ว่าจะเข้า จะออก ที่ไหน ยังไง ต้องโดนตรวจหมด แยกหญิง-ชาย ทุกที่ ขนานแค่ขึ้น Metro ยังตรวจเลย เราเองไม่แน่ใจว่าเขามีสงครามอะไรกันหรือป่าว เพราะเห็นเหมือนมีรอยลูกกระสุนใน Metro station ด้วย กระจกร้าวเลย อย่าพกอะไรแปลกๆ อย่าพกอาวุธ กันไว้น่าจะดีกว่า ไปต่างประเทศถ้ามีเรื่องราว ยาว ไม่มันส์  ไม่รู้ด้วยนะ หมดสนุกแน่


(กลัวจะนึกภาพความเข้มงวดไม่ออก)

-ออกมาเก็บภาพผู้คน  และซึบซับบรรยากาศกันดีกว่า
   ไปติดอยู่ในนั้นตั้งนานเหมือนโดนดูด  จริงๆถ้ามีเวลาหน่อยไม่จำเป็นต้อง ไป-กลับ แบบเราก็ได้ ลองนอนนี่สักคืนเดินชมเมืองให้รอบน่าจะได้อะไรเยอะอยู่


(พี่น้องอินเดียสองคน เป็นภาพที่น่ารักมาก เจอขณะเดินเล่น)

   ภาพข้างบนทำให้นึกถึง หนังเรื่อง  Chilldren of heaven  มาก ใครไม่เคยดูลองไปหาดูนะคะ เป็นหนังที่ดีเรื่องหนึ่งเลย  เห้ย!! นี่เรากำลังเขียนเรื่องการท่องเที่ยวอยู่นะ  มาแนะนำหนังเฉยเลย!! ;) ฮ่าๆ   ถ้าใครอยากซื้อของฝากเป็นที่ระลึก แนะนำให้ต่อแบบจัดๆ เลยนะคะ  อย่าเกรงใจ  คือถ้าไม่ให้ก็ทำทีเดินออก เดี่ยวเขาก็มาอ่อนวอนเราเอง  กุญแจสำคัญของการใช้ชีวิตอยู่ที่นี่คือ ต้องใจแข็ง ต้องเนียนๆ นิ่งเข้าไว้  เดี่ยวได้เอง
   ขากลับของเรา ทีแรกว่าจะกลับโดยรถไฟเหมือนเดิน  แต่มันนานเกินไป  ซึ่งเราเองอยู่เพลินจนเย็นมากแล้ว จึงตัดสินใจกลับโดยรถทัวร์ ดีกว่า  ค่ารถทัวร์ จาก Agra>Delhi ราคา 300 รูปีคะ  ใช้เวลานั้งประมาณ 3 ชั่วโมงกว่าๆ แต่เราว่าทรมานกว่านั้งรถไฟเยอะเลย  เพราะมันสั่นๆๆตลอดเวลา จะนอนก็นอนไม่ได้  จะดูวิวแก้เบื่อก็ดันหันไปเจอคนนั้งขี้!! ฮ่าๆๆ  อย่างเคยคะ รถทัวร์ก็มีสองชั้นเหมือนกัน  ซึ่งก็ต้องปีนอีกจนได้!!  โดนแอบดูกางเกงในอีกแล้ว เฮ้อออ!! เออลืมบอกว่า เดินทางมาขึ้นรถยังไง  ไม่ยากบอกคนขับตุ๊กๆให้พามาที่นั้งรถทัวร์ แล้วต่อจัดๆ  เดี่ยวเขาพามาเอง
   พอถึง Delhi แน่นอนว่าดึกมากแล้ว  มีแต่รถตุ๊กๆเท่านั้น มันจึงเป็นตัวเลือกเดียวของเรา  และเหตุการณ์ครั้งนี้ได้สอนให้เรารู้เลย ว่าการต่อลองที่แท้จริงนั้นเป็นอย่างไร  ประสบการณ์การฟังฝรั้งกับคนอินเดียทะเลาะกัน มันทำให้เรารู้ว่า เวลาคุณต่อลองอะไรที่นี่ คุณต้องจริงจัง และไม่ยอมง่ายๆ  เราเป็นพวกอะไรนิดหน่อยไม่เป็นไรหรอก ให้ๆไปเถอะไรงี้  ขี้เกียจคุย  (ซึ่งอย่าทำนะ ขอร้อง!! อย่ายอมให้ตัวเองเสียในส่วนที่ไม่ควรเสีย เด็ดขาด)


(ขอจบเมืองนี้ด้วยรูปอินเดียจัดๆ  สิ่งมีชีวิตทั้งหลาย  เกิด แก่ เจ็บ ตาย กินอยู่ร่วมกันอย่างสันติ)

-สถานนีต่อไป เมือง “ Manali”
    ตื่นแต่เช้าอีกตามเคย เตรียมตัว เก็บข้าวของ และตรวจเช็คสัมภาระทั้งหมดของคุณให้ดี(ถ้าจะให้ดีตรวจสักสามรอบนะคะ) เช็คเอ้าออกจากโรงแรมแต่เช้าตรู่เพื่อไปขึ้นรถทัวร์ ไปเมือง Manali กัน สำหรับเมืองนี้ใช้เวลาเดือนทางตั้งแต่ ประมาณ 9 โมงเช้า ถึง 10 เช้าโมงกว่าๆ ของอีกวันนึงเลย คือวันทั้งวันใช้ชีวิตอยู่แต่บนรถ และสิ่งที่คุณไม่ควรลืมนำติดตัวมาคือ ยาดม,mp3,ไอพอต หรือเครื่องให้ความบันเทิงทุกชนิดที่คุณมี เพราะว่ามันโครตจะไม่มีอะไรทำ และเบื่อมากกกก ตอนขึ้นมาบนรถตรงที่นั้งของทุกคนจะมีถุงกระดาษเสียบเอาไว้ให้ ไม่ต้องแปลกใจ มันคือถุงอวกนั้นเอง!! ซึ่งตลอดทริปนี้  เราอวกไป 3 รอบ ก็ทางมันแบบ!!เอิ่ม  แม่ฮ่องสอนต้องเรียกพี่  สำหรับค่ารถทัวร์ ราวๆ 3800 รูปี  ทำไมถึงแพง เพราะมันไกลมาก และรวมกับค่ารถไป  Leh Ladahk  ด้วย


เมือง  “Manali city” (Vashisht)

-ถึงซะทีเมือง "Manali Hippies City"
   สำหรับเมืองนี้เรียกได้ว่าเป็นเมืองในฝันของเราเลยก็ว่าได้  เพราะเป็นเมืองที่ธรรมชาติมากๆ อ้อมล้อมไปด้วยภูเขาและธารน้ำ อากาศค่อนข้างจะหนาว  อากาศดีมากๆ อย่าลืมพกเสื้อกันหนาวมากันด้วยล่ะ ทำไมเราถึงเรียกเมืองนี้ว่า “Manali Hippies city” เพราะเป็นเมืองที่ฮิปปิ้มากๆ มีกลุ่มคนชาวต่างชาติจำนวนมาก ที่ใช้ชีวิตแบบฮิปปี้เดินทางมาอยู่ที่เมืองนี้  

-การเดินทางมาที่พัก
    หลังจากลงจากรถทัวร์แล้ว ให้นั้งตุ๊กๆต่อมา โดยบอกเขาว่าไป  Vashisht  นั้นคือชื่อชุมชนของรูปภาพข้างบน  สำหรับโรงแรมที่เราพักอยู่ที่นี่
ชื่อโรงแรม Zuri  Hotel ราคาห้องถูกจนต้องอ่าปากค้าง ราคาคืนล่ะ 350 รูปี เป็นเงินไทยประมาณ 180 บาท  ไงตกใจละสิ ทำไมมันถูกขนานนี้  เราก็ไม่รู้เหมือนกัน เราใช้เวลาอยู่ที่นี่สองคืน แล้วราคาถูกวิวก็ไม่ได้ไก่กาเลยนะ


(วิวที่มองจาก หน้าห้องของโรงแรง  Zuri Hotel)

   เราไม่แปลกใจเลยที่ทำไมเมืองนี้ถึงมีฮิปปี้เยอะ  เพราะว่าเมืองนี้และอีกหลายๆเมืองของอินเดียมีต้นกัญชาขึ้นเต็มตามข้างทาง ยังกับเป็นต้นดอกหญ้าของบ้านเรา ซึ่งข้างๆโรงแรมของเรานั้นมีหลายสิบพุ่มเลย  สงสัยว่าที่นี่เขาจะถูกกฎหมายละมั้ง เราตื่นเต้นมาก เพราะเราไม่เคยเห็นต้นจริงๆ ที่ใหญ่ขนานนี้มาก่อนเลย ไหนๆก็ไหนๆแล้ว มาขนานนี้แล้ว เยอะขนานนี้ก็ขอลองซะหน่อยละกัน ฮิ หลังจากนั้นเหตุการณ์ก็จำได้แค่ลางๆ เพราะคืนนั้นทั้งคืนมันดาร์คมาก  จำได้ว่าอยู่แต่ใต้ผ้าห่มไม่พูดไม่จากับใครเลย ฝรั้งกับเพื่อนข้างห้องเขาคงตลกเรากันมาก ก็นะ!!เล่าเป็นประสบการณ์ฮาๆให้ฟัง จริงๆทำตัวเพี้ยนๆไว้เยอะ  ใครที่รักการใช้ชีวิตแบบฮิปปี้แบบเสรีชน  น่าจะรักและหลงใหลเมืองนี้เลยล่ะ


(บรรยากาศหน้าห้องโรงแรม Zuri Hotel  และเพื่อนข้างห้อง)

   ข้างบนเป็นภาพเพื่อนข้างห้องสุดฮิปของเรา และสาวฮิปปี้ที่อยู่ๆก็มาร่วมวงร้องเพลงด้วยกัน ที่เมืองนี้ถ้าอยู่ดีๆมีคนเดินเข้ามาคุยด้วยก็อย่าตกใจ คุยกับเขาไปเลย  เขาก็มาทักทายมาชวนคุยมาแชร์ประสบการณ์ของเขาให้เราฟังนั้นแหละ แต่เราเสียดายมากที่ไม่ได้ขออีเมล์ติดต่อไว้สักคน เสียดายสุดๆๆๆ

-มาหาที่เที่ยวกันดีกว่า  (โม้เรื่องไร้สาระเยอะละ)
   ที่ชุมชนนี้แค่เดินเล่นให้รอบ และถ่ายรูปก็ฟินแล้ว เมืองนี้จะมีวัดอยู่ตรงกลาง ในวัดจะมีบ่อน้ำพุร้อน รู้สึกจะเสียค่าเข้าไม่รู้เท่าไหร่  เพราะเราไม่ได้เข้าไป  หน้าวัดก็มีบ่อน้ำพุร้อนอีกบ่อหนึ่งซึ่งคนในหมู่บ้านนี้เขาก็ใช้ซักผ้า อาบน้ำกันตามปกติ ดูแล้วน่ารักดี แต่ก็ไม่ได้ลงไปเล่นกับเขาหรอก เพราะน้ำมันโครตร้อนเลย กลิ่นคร้ายๆไข่ต้น และอีกอย่างคือหนุ่มๆอินเดียเล่นกันเต็มเลย ถ้าอยู่ดีๆเราเข้าไปก็จะดูแปลก แค่เดินผ่านก็เขินแล้ว  
   ถ้าเดินไปทางข้างหลังหมู่บ้านไปเรื่อยๆลึกเข้าไปในป่า ก็จะเจอธารน้ำตกที่สวยมาก ถ้าจะดูแบบสวยมากต้องเดินขึ้นเขาไปให้สุดเลย  ยังกับอยู่ในหนังเรื่อง "The lord of the ring"  คือบรรยากาศสวยมาก ทีแรกว่าจะแก้ผ้าเล่นน้ำตกแต่แค่ลองเอาเท้าแช่น้ำก็เกือบจะเป็นน้ำแข็งอยู่ล่ะ ไม่ไหวๆ เลยได้แต่ซึมซับบรรยากาศอย่างเดียว ใกล้ๆน้ำตกมีวัดเล็กอยู่ด้วย แต่ไม่มีพระนะ เหมือนเป็นแค่ที่ให้เข้าไปไหว้เฉยๆ ประมาณนั้น


(ชาวบ้านนั้งถักนิตติ้ง ระหว่างทางเดินไปน้ำตก)

    หน้าตาชาวหน้าแถวนี้ก็ออกจะเหมือนชนเผ่าหน่อย เราไม่รู้ว่าเขาเรียกกันว่าชนชาติอะไร แต่เราชอบหน้าตาและสไตล์การแต่งตัวของเขามาก อาหารและของฝากก็ราคาไม่แพงเลย หวังว่าเพื่อนจะชอบเมืองนี้กันนะคะ


(ภาพระหว่างเดินสำรวจหมู่บ้าน)

**ครั้งหน้ามาต่อกันด้วย สถานที่เป่าหมายในการเดินทางครั้งนี้ของเรา เมือง Leh Ladahk นั้นเอง และเมืองสุดท้ายในการเดินครั้งนี้ กับประสบการณ์ที่เกิบจะไม่ได้กลับมาไทย!! เศร้า  ( ขอบคุณที่เข้ามาติดตามนะคะ ยิ้ม )
ชื่อสินค้า:   เที่ยวอินเดีย Delhi,Agra,Manali,Leh Ladahk,Srinaga
คะแนน:     
**CR - Consumer Review : ผู้เขียนรีวิวนี้เป็นผู้ซื้อสินค้าหรือเสียค่าบริการเอง ไม่มีผู้สนับสนุนให้สินค้าหรือบริการฟรี และผู้เขียนรีวิวไม่ได้รับสิ่งตอบแทนในการเขียนรีวิว
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่