คนชั่วไม่ควรมีเสียงเท่าคนดี คนโง่ไม่ควรมีสิทธิเท่าคนฉลาด ?

กระทู้คำถาม
ตอบแบบตรงๆแมนๆ ซื่อสัตย์กับตัวเอง ในใจใครคิดแบบนี้บ้างครับ ?

ชั่วโมงนี้ คำว่า "คนดี" ดูจะฮิตอินเทรนด์ เพราะประเทศกำลังถูกปกตรองด้วยกลุ่มคนที่เรียกตัวเองว่า กลุ่มคนดี ที่ไม่จำเป็นต้องมีใครเลือกมานั่นเอง

ในฐานะคนสองสังคม คือคนที่เกิดและเติบโตมาในสังคมชนบท ท้องถิ่นทุรกันดาร แบบสังคมชาวบ้านครึ่งชีวิต และ อีกครึ่งชีวิตได้สัมผัสกับสังคมเมือง ท่ามกลางแวดวงคนชั้นกลางและ ชั้นสูงของสังคม พบว่า คนดี และ คนชั่ว คนโง่ และ คนฉลาด มีอยู่ทั้งสองสังคมแหละครับ

1.สังคมคนจน โง่ และ ด้อยการศึกษา ในชนบท
ซึ่งส่วนมาก็หมายถึงคนจนในชนบทของไทยนั่นแหละครับ เพราะคำว่าชนบทเป็นตัวแทนของความยากจนได้เป็นอย่างดี

คนดี   ของสังคมนี้ คือคนชนบทที่ยังบริสุทธิ์เรียบง่ายทางความคิดอยู่มาก มีนิสัยใจคอเหมือนคนชนบทสมัยก่อน คือมีความเมตตากรุณา โอบอ้อมอารี กลัวบาปกรรม เอื้อเฟื้อ มีน้ำใจ ซ่ื่อสัตย์ตรงไปตรงมา คิดอย่างไรพูดอย่างนั้น เกรงกลัวต่อการกระทำชั่ว การประพฤติผิดศีล เพราะกลัวบาป เป็นคนส่วนใหญ่ของชนบททั่วๆไปที่ยังทำให้สังคมชนบทยังคงน่าอยู่ ผมเกิดและเติบโตมาท่ามกลางคนกลุ่มนี้ จึงรู้สึกเห็นใจพวกเขาเป็นพิเศษเวลาถูกเอารัดเอาเปรียบ หรือ ถูกปล้นสิทธิไป เพราะพวกเขาไม่เคยต้องการอะไรมากมายนอกเหนือจากชีวิตความเป็นอยู่ที่ดี ลูกหลานมีการมีงานทำ ครอบครัวอยู่พร้อมหน้าเท่านั้นเอง

คนชั่ว   ของสังคมนี้ คือพวกนักเลงหัวไม้ และ ผู้มีอิทธิพลประจำท้องถิ่น ลูกน้องนักการเมือง พวกนี้งานการไม่ทำ สุมหัวดื่มเหล้า เสพย์ ค้ายาเสพย์ติด หาเรื่องตีรันฟันแทง และ ใช้อิทธิพลข่มขู่ มักก่ออาชญากรรม ชั่น ฆ่า ข่มขืน ลักขโมย ปล้นทรัพย์  หรือถ้าอยู่ในเมืองก็เป็น เด็กแวนซ์ เด็กสก๊อย สร้างปัญหาสังคม โดยมากเป็นอาชญากรรมที่เกิดขึ้นกับทรัพย์สินและชีวิตของผู้เสียหายโดยตรง เป็นคนส่วนน้อยที่ควรหลีกเลี่ยงอย่างยิ่งหากไปใช้ชีวิตในชนบท และ ทำให้ชนบนยังคงมีความ "เถื่อน" อยู่ภายใต้ความสงบนั้น แต่ก็ยังดีที่โดยมากพวกนี้มักมีเรื่องกันเองระหว่างก๊วน มากกว่าจะไประรานชาวบ้านที่ทำมาหากินปกติ  ความเดือดร้อนจึงอยู่ในวงจำกัด

คนโง่ คนโง่ของสังคมชนบท จะอยู่ในรูปแบบของคนไม่รู้หนังสือ ไม่รู้กฎหมาย กฎระเบียบทางราชการ ทำให้ถูกเอารัดเอาเปรียบโดยนายหน้า ผู้มีอิทธิพล หรือ เจ้าหนี้เงินกู้บ่อยๆ ประกอบกับนิสัยที่คิดอะไรแบบง่ายๆไม่ซับซ้อน ไม่เอาเรื่องเอาราวกับใครจึงมักถูกเอาเปรียบเสมอ แต่ถ้ามีเพื่อนบ้าน คนในชุมชนที่เข้มแข็ง ก็จะดูแลคุ้มครองกันเองได้ ลักษณะจะเป็นคนซื่อๆ เซ่อๆ ทำงานเก่ง แต่ไม่ค่อยจะรักษาสั่งสมทรัพย์สินเอาไว้ได้

คนฉลาด คนฉลาดของสังคมชนบท หรือ ที่มักเรียกว่าผู้รู้ หรือ ปราชญ์ชาวบ้าน ไม่ได้ฉลาดเพราะเรียนสูง แต่มักเป็นคนมีไหวพริบ สติปัญญาดี สั่งสมประสบการณ์ชีวิตมายาวนานจนเป็นที่พึ่งทางความคิด และ ผู้นำชุมชนให้กับชาวบ้านได้ เช่น พวกกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ผู้นำชุมชน พระ

2.ในสังคมคนฉลาด มีการศึกษา และ มีฐานะ
ซึ่งหมายถึงคนในเมืองหลวง และ ในเขตเทศบาลต่างจังหวัดทั่วประเทศ หรือ เรียกรวมๆว่าคนเมืองนั่นแหละครับ

คนดี คนดีของสังคมนี้คือคนที่มีจรรยาบรรณในวิชาชีพ และ มีอุดมการณ์ เป็นตำรวจที่ดี เป็นคุณหมอที่ดี เป็นอาจารย์ที่ดี เป็นนักศึกษาที่ดี ฯลฯ กลุ่มนี้เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงหลักในการทำงานและ พัฒนาประเทศให้เจริญรุดหน้า และมีจำนวนมากกว่าคนไม่ดี ที่บอกว่าเป็นกำลังหลักเพราะเพียบพร้อมไปด้วยความดี และความรู้ความสามารถ เทียบกับคนดีในชนบทซึ่งมีแต่ความดี ไม่มีความรู้ความสามารถด้วยทำให้ คนกลุ่มนี้ดูมีค่ากับประเทศมากกว่าจนบางคนก็เกิดมายาคติคิดเลยเถิดไปว่า เป็นกลุ่มที่มีคุณค่าต่อสังคมที่สุด และควรมีสิทธิเหนือคนที่มีคุณค่าน้อยกว่า นำมาสู่ความเป็นคนดีที่เห็นแก่ตัวเบาๆ และมีจิตสาธารณะน้อยลง ตัวอย่างเช่น ปัญหาการต่อเติม การใช้จุดกลับรถในบ้านจัดสรรค์ การรบกวนเพื่อนบ้าน การจอดรถในทางสาธารณะ การใช้อภิสิทธิ์ลัดคิว ซึ่งไม่ใช่เรื่องชั่วร้ายมากมาย แต่เป็นความเห็นแก่ตัวเล็กๆน้อยๆของคนดีเมือง  เพื่อนผมส่วนใหญ่ 90% จัดอยู่ในกลุ่มนี้

คนชั่ว คนชั่วในสังคมนี้ไม่ได้ออกมาในรูปแบบของผู้มิอิทธิพลท้องถิ่น ตีรันฟันแทง ฟรือ ปล้น ฆ่า ส่งผลต่อชีวิตและทรัพย์สินโดยตรงเหมือนสังคมชนบท แต่เป็นคนชั่วที่มี Power หรือขอบเขตในการก่อกรรมทำเข็ญทรงพลังกว่าคนชั่วในชนบทมาก สามารถส่งผลกระทบต่อคนทั่วไปได้ในวงกว้าง เพราะเป็นคนชั่วที่มีความรู้ความสามารถ และ มีกำลังทรัพย์ จึงอยู่ในรูปแบบของพวกเจ้าพ่อ เจ้ามือหวย เจ้าของบ่อน เจ้าของธุรกิจมืด ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ และ แน่นอน นักการเมืองขั่ว ก็จัดอยู่ในกลุ่มนี้ พวกนี้ไม่ปล้น ฆ่า ข่มขืน ใครแต่อยู่ในรูปของการคดโกง และ ช่วงชิงผลประโยชน์สาธารณะ เป็นสมบัติส่วนตัวเสียมากกว่า รวมถึงการเอารัดเอาเปรียบในเชิงธุรกิจ ทำให้ประเทศอ่อนแอ

คนโง่ คนในเมืองส่วนมากกมีการศึกษา แล้วจะมีคนโง่ได้อย่างไร ? จริงอยู่การศึกษาทำให้คนฉลาดขึ้น คนโง่ในสังคมเมืองจึงฉลาดกว่าคนโง่ในชนบท เผลอๆ ฉลาดกว่า คนฉลาดในชนบทด้วย แต่เทียบกับคนฉลาดในสังคมเมืองแล้วก็คือคนโง่อยู่ดี โตมาในเมืองก็จริงแต่เรียนหนังสือไม่เก่ง ไม่ใฝ่รู้ใฝ่เรียน ไม่สนใจงานการมัวแต่เที่ยวเตร่ เสพย์ยา ใช้เงินฟุ่มเฟือยและใช้ชีวิตอย่างไร้ค่าจนไม่ได้พัฒนาคุณภาพสมองให้สอดคล้องกับคุณภาพชีวิต ถึงแม้จะมีฐานะดี แต่ก็ไม่สามารถพัฒนากิจการงานใดๆให้เกิดประโยชน์ได้ เวลาเข้าทำงานก็ใช้เส้นสายเครือญาติ เบียดบังตำแหน่งจากคนที่ฉลาดกว่า เหมาะสมกว่าตน เป็นคนกลุ่มหนึ่งที่บ่อนทำลายระบบของสังคมให้ไปไม่ถึงไหนด้วยระบบเส้นสาย

คนฉลาด คนฉลาดในสังคมเมืองคือคนที่ได้รับการศึกษาดี มีความคิดดี และมักเรียนในระดับสูงกว่าคนปกติ เช่นจบ ป.โท จบ ดร. จากต่างประเทศ พวกนี้คือคนส่วนน้อยที่กุมสภาพของสังคมทั้งหมดของประเทศไว้ และ เป็นหัวหอกในการที่จะนำพาประเทศไปทางใดแล้วแต่วิสัยทัศน์ซึ่งก็มักจะเกินกว่าคนปกติ พบเห็นได้ใน เจ้าของธุรกิจ หรือ ตำแหน่งบริหารองค์กรขนาดใหญ่ทั่วๆไป และ ตำแหน่งระดับประเทศ เป็นคนส่วนน้อยที่มีคุณภาพที่สุด แต่เนื่องจากมีจำนวนน้อย จึงไม่ใช่กำลังหลักในการพัฒนาประเทศ แต่เป็นผู้กำหนดทิศทางเสียมากกว่า

ตัวอย่างที่ยกมาต่างๆเหล่านี้คือการจำแนกคนสองสังคมคร่าวๆโดยใช้เกณฑ์ คนดี คนชั่ว คนโง่ และ คนฉลาด  ซึ่งถ้ามองสังคมให้รอบด้าน และ ไม่อยู่ในกะลา ใบใดใบหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นกะลาคนจน กะลาคนรวย กะลาเมือง กะลาชนบท ที่จะบดบังไม่ให้เราเห็นทั้งองคาพยพของประเทศ กลายเป็นคนไม่รู้จักตัวเองไปได้ จะเห็นว่าทุกสังคมมีทั้งคนดี คนชั่ว คนโง่ และคนฉลาด  

ตัวอย่างชุดความคิดที่เป็นกะลาของคนชนบท ก็เช่น คนรวยมีแต่คนเลวที่จ้องจะเอารัดเอาเปรียบคนจน และ ที่รวยๆนั้นโกงเขามาทั้งนั้น เป็นต้น
ตัวอย่างชุดความคิดที่เก็นกะลาของคนเมือง ก็เช่น คนชนบทไม่มีปัญญาเลี้ยงลูก แต่ขยันผลิตลูก ขณะที่คนเมืองมีปัญญาเลี้ยงลูกเหลือเฟือ แต่มีลูกยาก
เด็กมีบุญไม่ค่อยมีมาเกิด  เป็นต้น

ที่ยกตัวอย่างเช่นนี้เพราะตัวผมเองเคยคลุกคลีของเพื่อนทุ้งสองกลุ่ม

เพื่อนเด็กชนบทที่เกเรก็มี  โดดเรียน กินเหล้า สูบบุหรี่ ไม่เรียนหนังสือ ถ้าเป็นผู้หญิงก็ท้องตั้งแต่ 17-18 ไม่มีปัญญาเลี้ยงลูกทั้งผัวทั้งเมีย ต้องเข้ากรุงไปทำงานโรงงานทิ้งลูกให้ปู่ย่าตายายเลี้ยง  แต่เด็กที่ยากจนแต่ตั้งใจเรียนหนังสือจนจบสูงๆมีอาชีพ หน้าที่การงานดีๆก็เยอะ เช่นกัน

เพื่อนเด็กในเมืองที่เกเร พ่อแม่เลี้ยงด้วยเงิน ไม่มีเวลาให้ กินเหล้า เสพย์ยา เที่ยวเตร่ มั่ว Sex  สวิงกิ้ง จัดปาร์ตี้เอ็กคลูซีฟเฉพาะ ลูกคนรวยเมาหัวราน้ำ ผ้าผ่อนหลุดลุ่ย กินตรงไหนเอากันตรงนั้น จน รปภ. และ คนขับรถต้องตามลากตามเก็บส่งกลับบ้าน พ่อแม่ส่งไปนอกก็ไปมั่วเหลวแหลกเหมือนเดิม และเช่นกัน ส่วนที่ดีๆตั้งใจเรียนจนจบมหาวิทยาลัยดีๆ วุฒิการศึกษาสูงๆ กลับมารับช่วงกิจการต่อจากที่บ้านก็เยอะ

ประเด็นหลักจากทั้งหมดที่กล่าวมาก็คือ ทุกสังคมนั้น คนดีก็ดีเหมือนกัน คนเหลวแหลกก็เหลวแหลกพอๆกัน มีคนโง่และคนฉลาดเหมือนๆกัน ถ้ายึดหลัก "คนชั่วไม่ควรมีเสียงเท่าคนดี คนโง่ไม่ควรมีสิทธิเท่าคนฉลาด " ตามท่านว่า ก็ควรมีคนถูกตัดสิทธิทั้งสองฝ่าย ไม่ใช่ตัดสิทธิฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งฝ่ายเดียวขณะที่อีกฝ่ายมีสิทธิจนล้น ที่สำคัญการที่ไปตัดสินว่าคนอื่น เป็นคนโง่ หรือ คนชั่ว โดยขาดความเข้าใจในความแตกต่างของสังคม และตั้งเกณฑ์ขึ้นมาเองเพื่อพิพากษาผู้อื่นแบบเหมารวมนั้น เป็นความคิดที่ตื้นเขินและเต็มไปด้วยอคติอย่างมากของคนที่ไม่รู้จักประเทศตัวเองเท่านั้น หากเปรียบประเทศเป็นเหมือนร่างกายคน คนที่ไม่รู้จักตัวเอง ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองมีกี่แขน กี่ขา รูปร่างหน้าตาเป็นยังไง ตรงไหนแข็งแรง ตรงไหนง่อย ตรงไหนดี ตรงไหนแย่ แล้วจะมาอาสารับใช้ขับเคลื่อนร่างกายนี้ จะเป็นไปได้อย่างไรในเมื่อท่านแทบไม่รู้อะไรเลย

จึงไม่แปลกใจเลยว่าทำไมออกนโยบายมาเท่าไหร่ก็ไม่โดน ประชาชนไม่นิยมเสียที  แต่ก็ควรมีความพยายามต่อไปในวิถีทางที่ถูกต้อง ไม่ใช่การตัดสิทธิ หรือ ปล้นสิทธิของคนอื่นๆ ไปดื้อๆด้วยการคิดเอาเองว่า ถ้าเหลือแต่พวกเราที่เป็นคนดี ได้มีอำนาจวาสนาแล้ว ประเทศจะดีเอง  ซึ่งมันไม่ใช่หนาผมว่า

เพราะคนดี คนชั่ว คนฉลาด คนโง่ ในสังคมมันปนกันดุจเม็ดทราย ที่ไม่อาจใช้ตะแกรงร่อนให้แยกออกจากกัน การบริหารจัดการจึงควรดึงพลังของคนดีขับเคลื่อนออกมาจากข้างในด้วยความสมัครใจของพวกเขาเอง ไม่ใช่สร้างบรรทัดฐานขึ้นมาเป็นตะแกรง เปิดเพลงให้ฟัง แล้วพยายามร่อนเอาคนดี อย่างกะร่อนทองยังไงยังงั้น


บ่นยาวเลย

จากใจ คน โง่ ฟาย แดง จน และ การศึกษาน้อย  คนหนึ่ง ถ้าจะจัดแยกคนด้วยมาตรฐานของคนดีปัจจุบันน่ะนะ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่